ฝากวิจารณ์ด้วยค่ะ เอาเลยเต็มที่ รับได้หมด ขอบคุณล่วงหน้ามากๆค่ะ
****อันนี้เกริ่นเรื่องนะคะ*****
ภายในออฟฟิศขนาดย่อมที่อัดแน่นไปด้วยโต๊ะทำงานหลายสิบโต๊ะ ‘ปุณพัฒน์’ เจ้าของเรือนร่างผอมเพรียวในชุดเสื้อเชิ้ตคอปกกับกางเกงยีนรัดรูปสีซีดกำลังเอนกายราบเรียบลงกับพนักของเก้าอี้
ปลายนิ้วเรียวอีกข้างยกขึ้นแตะขอบแว่นสีเข้มของตัวเองให้เคลื่อนลงจากระดับสายตาเล็กน้อย ก่อนดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยจะถูกปิดซ่อนภายใต้เปลือกตาที่ถูกแต่งแต้มด้วยอายไลน์เนอร์สีจาง แก้มนวลเนียนที่ระบายบรัชออนสีเนื้ออ่อนๆบนใบหน้าเรียวได้รูปนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวไม่ค่อยชอบแต่งหน้าสักเท่าไหร่
ทรงผมยาวประบ่าที่ซอยให้เข้ารูปกับโครงหน้าสวยนั้นก็ด้วย มันถูกดัดเป็นลอนใหญ่อ่อนๆ พร้อมปล่อยให้กระเซอะกระเซิงตามอารมณ์อ่อนไหวของเจ้าตัว จะมีก็แต่เพียงหนังยางสีเข้มเท่านั้นที่รัดรวบผมครึ่งหนึ่งเอาไว้ให้รู้ว่าเขาเองก็ยังพอจะสนใจรูปหัวของตัวเองอยู่บ้าง
“หกโมงแล้วเหรอเนี่ย?” เสียงห้าวละเมอออกมาเบาๆขณะยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาเรือนหรูที่ตัวเองเก็บเงินตัดใจซื้อมาเป็นปี
บรรยากาศภายนอกออฟฟิศดูมืดครึ้มขึ้นถนัดตา ดวงตาเรียวมองทอดออกไปนอกบานกระจกใสเบื้องหน้า ก้อนเมฆหลายก้อนกำลังเคลื่อนตัวมารวมกันราวกับจะตั้งฝนห่าใหญ่ และมันก็เป็นมาอย่างนั้นทุกๆปีตามฤดูกาลของมัน
“ทำโอทีหรือเปล่าวะปอ?” เสียงของ ‘หนุ่ม’ หรือ ‘อรรถพล’ ชายหนุ่มหน้าคมผิวเข้มเดินตรงมาวางแฟ้มงานพลาสติกเล่มหนาลงกับโต๊ะทำงานข้างๆเขา
“ก็คิดอยู่น่ะพี่..” เสียงห้าวตอบออกไปเท่านั้นก่อนจะงอตัวกลับมาตั้งแขนเท้าคางกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ตัวเดิมของตัวเอง ริมฝีปากหยักสีธรรมชาติกำลังยื่นบูดบึ้งออกมาข้างหน้าคล้ายจะบอกอาการเซ็งจิตสุดขีดกับภาวะงานที่ทำในแต่ละวัน
อรรธพลส่ายหน้าทั้งยิ้มออกมาน้อยๆให้กับท่าทางของน้องคนสนิทในที่ทำงานอย่างเขา
ปุณพัฒน์เข้ามาทำงานที่นี่ได้สองปีกว่าแล้ว.. และเขาก็ทำงานได้เป็นอย่างดีภายใต้บริษัทรับออกแบบบ้านและตกแต่งภายในของเมืองไทยอย่างที่นี่
ผลงานและพัฒนาการในการทำงานของสาวเจ้าเป็นที่ยอมรับในแวดวงคนทำงานประเภทเดียวกัน เงินเดือนที่พุ่งพรวดขึ้นตามสถานะความสามารถก็มากพอจนทำให้เขาสามารถตั้งตัวได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมานั้นดูดีเสียแทบหมด ปุณพัฒน์ควรจะเป็นคนที่มีความสุขสมหวังกับความสำเร็จในชีวิต แต่เปล่าเลย.. ภายใต้กรอบแว่นหนากลับซ่อนสายตาเย็นชาราวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มาช่างไร้ความหมาย มันคล้ายกับเนื้อเพลงที่ถูกแต่งจนเพราะเสนาะหู แต่ก็ยังขาดท่อนที่สำคัญไป..
“อะไรไม่ดีก็ลืมๆไปบ้าง..” อรรถพลยิ้มเป็นมิตร
คำพูดนั้นของรุ่นพี่ทำให้ริมฝีปากที่ยื่นเมื่อครู่เปลี่ยนทีเป็นยิ้มเหยียดบางๆ มือเรียวค่อยถอดแว่นตาที่กั้นกลางระหว่างตัวเองกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ออกช้าๆและเริ่มคิดตาม
ลืมๆไปบ้างงั้นเหรอ..?
คำถามนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกวันของการทำงาน และในทุกขณะที่คนใกล้ชิดรอบตัว ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็พูดอย่างนั้นเมื่อเห็นตัวเขาเองกำลังใช้ชีวิตอย่างกับคนซังกะตาย
“ก็ลืมไปแล้วนะพี่.. แค่ตอนนี้มันยังไม่มีอะไรใหม่ๆให้ทำมั้ง..”
นั่นคงเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ดีที่สุดแล้ว เพื่อไม่ให้ใครต่อใครต้องมาคอยคิดมากและแสดงความเป็นห่วงเป็นใยในตัวเขา
และมันก็เป็นอย่างที่พูดจริงๆ..
ตลอดระยะเวลาปีกว่าที่เรื่องราวเลวร้ายในชีวิตได้ผ่านพ้นไป ปุณพัฒน์พยายามอย่างหนักในการทุ่มเททุกอย่างลงกับงาน เขาเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่มีเงินเดือนสูงพอตัวแต่ก็ยังไม่วายตะเกียกตะกายทำโอทีเพิ่มหรือรับจ๊อบทำงานพิเศษเสริม แลกกับการที่ไม่ต้องปล่อยให้ตัวเองเหงา หาเวลาไปเที่ยวเพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆจนแทบจะเชื่อแล้วว่าตัวเองสามารถประกอบอาชีพไกด์เสริมได้อีกทาง และสุดท้าย.. สิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะทำได้ในชีวิต คือการพยายามเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้ได้ทุกๆสองสัปดาห์ ด้วยหวังว่าจิตใจที่ห่อเหี่ยวแห้งแล้งจะฟื้นคืน
เขาพยายามมาหมดทุกทางแล้ว..
แต่รอยช้ำในอดีตก็ไม่มีวันจะหายไป มันให้ความรู้สึกราวกับเป็นแผลสดที่ไม่มีวันจะตกสะเก็ด ซ้ำยังส่งความรู้สึกเจ็บอยู่เสมอทุกครั้งที่นึกถึง
“ก็เพราะว่าปอเป็นอย่างนี้ น้ำถึงได้อยากจะหนีไปให้พ้นๆ..”
ประโยคที่หวนนึกถึงกี่ทีก็แสนเจ็บปวดนั้นแล่นเข้ามาในสมองที่โล่งโพลนของตัวเอง.. นั่นคือเสียงของ ‘ชลธร’ ผู้หญิงที่ยังคงเป็นรักแรกในความทรงจำ ผู้หญิงคนเดียวที่เป็นเสมือนรอยร้าวบางๆในชีวิต..
สองทุ่มสี่สิบห้า.. คือช่วงเวลาที่เขาจำได้แม่น คืนนั้นเป็นคืนที่ฝนตกหนักจนบานหน้าต่างไม้สั่นไปทั้งบ้าน ที่นั่นคือเรือนไม้ทรงไทยหลังสีขาวสวยขนาดสองชั้นที่ปุณพัฒน์ออกแบบดีไซน์ใส่ความโมเดิร์นเข้าไปได้อย่างลงตัว
มันสวยงาม.. และมันเป็นเงินทุกบาททุกสตางค์จากหยาดเหงื่อทุกเม็ดของเขา เพื่อให้มันเป็นบ้านพักหลังเดียวที่รวมใจของคนสองคนเอาไว้ เขาและเธอ น้ำ..
“อย่าไปเลยนะน้ำ ปอขอโทษ ปอผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีก ให้อภัยกันนะ?” เขาพูดมันด้วยเสียงที่สั่นเครือ และพูดในขณะที่โอบรอบตัวชลธรเอาไว้แน่นหนา
สาเหตุที่เธอจะจากไปวันนี้มีอยู่ข้อเดียว คือ.. เขายังไม่ดีพอ!
“น้ำอยากไป ปล่อยน้ำไปเถอะนะ ทนไม่ไหวแล้ว น้ำอยากมีความสุขมากกว่านี้ มันอาจจะดีสำหรับเราทั้งคู่นะ”
นั่นคือเหตุผลของหล่อน ชลธรปาดน้ำตาหยดสุดท้ายออกจากใบหน้าสวยหวาน เธอกระชับมือเข้ากับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่บ่ายของวัน เพื่อหวังจะได้ออกเดินทางไปก่อนที่คนรักของเธอ ปุณพัฒน์.. จะมาถึง!
“ถ้าไม่มีน้ำ ปอคงอยู่ไม่ได้!” ปุณพัฒน์ประกาศคำนั้น!
เขารู้สึกถึงความหมายของมันมากพอ! ชลธรเป็นเหมือนทุกๆอย่างในชีวิตของเขา ตั้งแต่สมัยเรียน จนกระทั่งพวกเขาทำงาน และลงท้ายด้วยการตัดสินใจอยู่ร่วมกันฉันคนรัก เธอเป็นกำลังใจที่ดีภายหลังจากที่พ่อกับแม่ของเขาเสียไป... เธอกลายเป็นทุกอย่างมาโดยตลอด!
และในนาทีนั้นเขากำลังจะสูญเสียเธอไปเพราะนิสัยใจร้อนวู่วามของตัวเอง! ทั้งหมดยังเป็นความผิดของเขา!
ชลธรกำลังจะหนีไปเมืองนอกโดยไม่คิดจะหวนกลับมาอีก!
และที่เจ็บปวดกว่าอะไรทั้งหมด.. เธอ.. กำลังจะได้เริ่มต้นใหม่กับใครบางคน ‘ใคร’ ที่ดีกว่าเขาในทุกๆด้าน!
“หึ...” ริมฝีปากเรียวแสยะยิ้ม
ภาพความทรงจำในอดีตที่คิดถึงกี่ทีก็เฝ้าแต่สมเพสตัวเองนั้น บัดนี้มันกลับทำให้เขาหัวเราะ ช่างน่าตลก.. ที่ไม่ว่ามันจะผ่านมานานเพียงใด เธอยังสามารถทำให้เขาเจ็บร้าวในอกได้เสมอทุกครั้งที่นึกถึง
“งั้นก็ไปหาอะไรใหม่ๆทำดีไหม?” อรรถพลยังยิ้มขณะที่พูดกับรุ่นน้องหน้าคม เขาวางแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งลงตรงหน้าปุณพัฒน์ ก่อนเจ้าตัวจะหันมาเลิกคิ้วมองกลับอย่างงุนงง
“อะไรพี่?” ร่างสูงโปร่งยังว่าขณะยกแว่นขึ้นติดข้างแก้มอีกครั้ง สองมือเรียวยกแฟ้มตรงหน้ามาเปิดอ่าน กวาดสายตามองตามตัวอักษรหลายบรรทัดที่ปรากฏบนหน้ากระดาษสีขาว
“โปรเจคใหม่ของบริษัทไง.. พี่เสนอให้แกไปทำ..”
ปุณพัฒน์ยังเลิกคิ้ว สายตาคมภายใต้กรอบแว่นสีเข้มหรี่ตาลงมองตัวเลขหลักแสนของรายได้ที่เขาจะได้รับภายหลังจากโปรเจคงานสิ้นสุดลง และยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดนั้น.. โปรเจคที่ว่ายังเป็นการร่วมมือกับอีกหนึ่งบริษัทชื่อดังของต่างประเทศ ซึ่งนั่นหมายความว่าหากเขาตกลง ปุณพัฒน์จะต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลาถึงสามเดือนเลยทีเดียว!
มันเป็นความหวังที่เขาจะได้ก้าวหน้าในอาชีพไปอีกขั้น และเป็นการทำงานในต่างแดนที่สายตาคมเคยถวิลหา!
“เอาไง? จะไปหรือไม่ไป?” อรรถพลยังถามยั่วให้คนมองยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม สายตาที่เขามองรุ่นน้องตีความหมายได้ไม่ยากเลยว่าปุณพัฒน์จะตกลงหรือไม่..
“จะไม่ไปได้ยังไงเล่า!” ประโยคนั้นว่ารับก่อนเจ้าตัวจะแสดงอาการตื่นเต้นเป็นลิงได้ถ้วยเมื่อเขากำลังฟุ่บหน้าลงกับแฟ้มโปรเจคงานราคาหลักแสนนั้น
อรรถพลยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับแสดงความดีใจด้วยการเอื้อมมือไปตบบ่ารุ่นน้องที่กำลังยิ้มจนตาหยี นี่เป็นโอกาสครั้งแรกของปุณพัฒน์ที่จะได้ไปเรียนรู้งานกับบริษัทต่างประเทศ แถมยังเป็นโอกาสให้รุ่นน้องหน้าใสได้ไปเปิดหูเปิดตา หลุดออกจากสภาวะเศร้าเหงาซึม ซังกะตายในชีวิตอย่างนี้เสียที!
“ทำให้ดีที่สุด!” รุ่นพี่หนุ่มพูดพร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นให้เขาทั้งสองนิ้วเพิ่มพลังใจให้คนมอง
“ขอบคุณมากนะพี่..” ปุณพัฒน์ยิ้มรับ
***
แสงอาทิตย์จางลงจนลับตา.. ร่างสูงขับรถเดินทางกลับบ้านเป็นปกติ เลนถนนนอกเมืองวันนี้ช่างดูว่างเปล่าเหลือเกิน ถ้าเป็นเวลาปกติ ค่ำวันนี้คงเต็มไปด้วยรถหลายคันสวนกันไปมา
สายตาคมเหลือบมองแฟ้มเอกสารเล่มหนาข้างตัว มือก็จับพวงมาลัยรถหมุนไปตามทางเรื่อยๆ.. คงดีถ้าหากวันนี้มีใครสักคนร่วมยินดีในความสำเร็จไปกับเขา ชีวิตในเมืองใหญ่ที่ไม่เหลือใครแบบนี้ช่างเดียวดายจนน่าใจหาย การอยู่โดยลำพังนั้น.. แม้จะดีที่ได้สู้ทนทำทุกสิ่งอย่างด้วยตัวเอง แต่บางนาทีก็แอบเปล่าเปลี่ยวหัวใจอย่างเสียไม่ได้ ดูเหมือนว่าเงาของตัวเองจะกลายเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของเขาไปแล้ว
ปุณพัฒน์เคลื่อนรถเข้าที่เก็บก่อนจะเดินเท้าเข้าบ้านอย่างเคยๆ ร่างสูงเปิดประตูบานไม้ที่ฉลุลายสวยงามเบื้องหน้าเข้าไปอย่างเหนื่อยอ่อน มือเรียวเอื้อมแตะสวิตไฟที่ข้างผนังใกล้ๆ รองเท้าผ้าใบคู่เก่งถูกถอดเก็บวางไว้บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ มือเรียวถอดแว่นตาสีเข้มลงวางกับโต๊ะไม้เบื้องหน้า ก่อนสายตาคมจะเหลือบมองไปยังกรอบรูปที่คุ้นเคยใกล้ๆกัน
ชลธร..
คนมองยิ้มออกมา... ดูเหมือนว่าการหยุดมองรูปใครบางคนเช่นนี้จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปเสียแล้ว ภาพข้างหน้าเป็นภาพที่ถูกถ่ายโดยฝีมือของเขาเอง เธอกำลังหัวเราะอย่างสดใสภายใต้แสงแดดจ้าริมทะเลเมื่อสองปีที่แล้ว มือที่ยื่นมาชิดจนตกกรอบของภาพไปนั้นไม่ใช่อะไร... เพราะเธอกำลังเอื้อมมือมาจับกับมือของคนถ่ายเอาไว้นั่นเอง ช่วงเวลาเหล่านั้นนึกถึงทีไรก็มีความสุข
เขาไม่เคยโทษเธอเลยที่จากไป... หากแต่เพียงนึกน้อยใจเท่านั้นที่เธอเลือกจะทิ้งกันไปง่ายๆ มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน เธอได้เริ่มต้นใหม่กับใครอีกคนในขณะที่ปล่อยให้เขาเจ็บปวดทรมาน จ่อมจมอยู่กับความผิดที่ตัวเองก่อ ทุกอย่างคลาดเคลื่อนไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ตัวแปรหลายอย่างที่เกิดขึ้นส่งผลให้การเริ่มต้นใหม่กลายเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย นอกจากนิสัยที่เข้ากันไม่ได้แล้วยังมีอะไรอีก...
นอกจากใครบางคนที่เดินเข้ามากินพื้นที่คนสองคนได้ไม่นานกลับกลายเป็นว่าที่คนสำคัญคนต่อไป...?
ก็แค่เธอมาถอดใจง่ายๆ หรือแค่เพียงว่าความรักที่มีให้มันร่อยหรอลงแล้ว..
หรือไม่.. ก็แค่เจอใครคนใหม่ที่ดีกว่า!
“หึ..” ปุญพัฒน์แสยะยิ้ม ก่อนจะตบฝ่ามือเข้ากับกระเป๋ากางเกงข้างลำตัว หยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นระรัวขึ้นมากดรับ
“ไอ้ปอ! จันทร์หน้านะเว้ย ที่แกออกเดินทาง อย่าลืมเคลียร์ของให้หมด ไฟล์ทบินผู้ใหญ่เขาจัดเอาไว้ให้แล้ว...” เสียงอรรถพลดังมาตามสายพร้อมกับเสียงเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดของชายหนุ่มดังโยเยเข้ามาด้วย
“ฮะๆ..” คนฟังหัวเราะร่วน เสียงของน้องไม้หอมลูกสาววัยแปดเดือนเพียงคนเดียวของรุ่นพี่ทำให้เขายิ้มออก
“จะไม่ได้เจอหลานหลายเดือนเลย คิดถึงแย่หวะพี่..”
“เออ! งั้นก็มาช่วยรับไปเลี้ยงที เอาไปอยู่ด้วยพี่ให้ทั้งค่าข้าวค่าขนมเลย” อรรถพลว่ารับไปเรื่อย ชายหนุ่มพูดกับรุ่นน้องได้ไม่นานก็เป็นอันต้องรีบวางสาย เพราะลูกน้อยในอ้อมกอดทำท่าจะงอแงหนักกว่าเดิม
ปุณพัฒน์ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆให้กับรุ่นพี่ การเป็นคุณพ่อมือใหม่ดูจะขัดๆกับบุคลิกแสนห้าวของอรรถพลเล็กน้อย แต่ก็หวังว่าไม่นานคงจะชิน ก็เจ้าตัวเล็กถึงจะขี้แงแต่ก็น่ารักน่าหยิกเสียขนาดนั้น!
คนตัวสูงยิ้มอ่อนๆ พอพูดถึงเรื่องเคลียร์ข้าวของขึ้นมา ปลายเท้างามก็แซะกล่องใบใหญ่ที่วางตั้งไว้ใกล้โต๊ะให้ย้ายตำแหน่งมาอยู่ตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆวางกรอบรูปสวยในมือที่เคยเฝ้ามองมาตลอดปีกว่าลงไปในนั้น
ชลธรยังคงยิ้มสวย... เธอดูอ่อนโยนและมีเสน่ห์ ใบหน้าของเธอและรอยยิ้มสดใสนั้นเรียกความสนใจจากใครต่อใครได้เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งเขา..
“นานแค่ไหนแล้วรู้ไหม? ที่เราไม่ได้เจอกัน แต่ปอกลับเจอน้ำทุกคืน...” เสียงห้าวพร่าลงพร้อมกับสายตาคมที่กำลังจะเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา มันเจ็บปวด... แต่ทว่าก็มีความสุข มันช่างน่าเศร้า... แต่ทว่าก็กลับเติมเต็มความรู้สึกบางอย่าง คิดถึง...
ช่วยวิจารณ์นิยายแนว ญ รัก ญ ให้ทีค่ะ
****อันนี้เกริ่นเรื่องนะคะ*****
ภายในออฟฟิศขนาดย่อมที่อัดแน่นไปด้วยโต๊ะทำงานหลายสิบโต๊ะ ‘ปุณพัฒน์’ เจ้าของเรือนร่างผอมเพรียวในชุดเสื้อเชิ้ตคอปกกับกางเกงยีนรัดรูปสีซีดกำลังเอนกายราบเรียบลงกับพนักของเก้าอี้
ปลายนิ้วเรียวอีกข้างยกขึ้นแตะขอบแว่นสีเข้มของตัวเองให้เคลื่อนลงจากระดับสายตาเล็กน้อย ก่อนดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยจะถูกปิดซ่อนภายใต้เปลือกตาที่ถูกแต่งแต้มด้วยอายไลน์เนอร์สีจาง แก้มนวลเนียนที่ระบายบรัชออนสีเนื้ออ่อนๆบนใบหน้าเรียวได้รูปนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวไม่ค่อยชอบแต่งหน้าสักเท่าไหร่
ทรงผมยาวประบ่าที่ซอยให้เข้ารูปกับโครงหน้าสวยนั้นก็ด้วย มันถูกดัดเป็นลอนใหญ่อ่อนๆ พร้อมปล่อยให้กระเซอะกระเซิงตามอารมณ์อ่อนไหวของเจ้าตัว จะมีก็แต่เพียงหนังยางสีเข้มเท่านั้นที่รัดรวบผมครึ่งหนึ่งเอาไว้ให้รู้ว่าเขาเองก็ยังพอจะสนใจรูปหัวของตัวเองอยู่บ้าง
“หกโมงแล้วเหรอเนี่ย?” เสียงห้าวละเมอออกมาเบาๆขณะยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาเรือนหรูที่ตัวเองเก็บเงินตัดใจซื้อมาเป็นปี
บรรยากาศภายนอกออฟฟิศดูมืดครึ้มขึ้นถนัดตา ดวงตาเรียวมองทอดออกไปนอกบานกระจกใสเบื้องหน้า ก้อนเมฆหลายก้อนกำลังเคลื่อนตัวมารวมกันราวกับจะตั้งฝนห่าใหญ่ และมันก็เป็นมาอย่างนั้นทุกๆปีตามฤดูกาลของมัน
“ทำโอทีหรือเปล่าวะปอ?” เสียงของ ‘หนุ่ม’ หรือ ‘อรรถพล’ ชายหนุ่มหน้าคมผิวเข้มเดินตรงมาวางแฟ้มงานพลาสติกเล่มหนาลงกับโต๊ะทำงานข้างๆเขา
“ก็คิดอยู่น่ะพี่..” เสียงห้าวตอบออกไปเท่านั้นก่อนจะงอตัวกลับมาตั้งแขนเท้าคางกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ตัวเดิมของตัวเอง ริมฝีปากหยักสีธรรมชาติกำลังยื่นบูดบึ้งออกมาข้างหน้าคล้ายจะบอกอาการเซ็งจิตสุดขีดกับภาวะงานที่ทำในแต่ละวัน
อรรธพลส่ายหน้าทั้งยิ้มออกมาน้อยๆให้กับท่าทางของน้องคนสนิทในที่ทำงานอย่างเขา
ปุณพัฒน์เข้ามาทำงานที่นี่ได้สองปีกว่าแล้ว.. และเขาก็ทำงานได้เป็นอย่างดีภายใต้บริษัทรับออกแบบบ้านและตกแต่งภายในของเมืองไทยอย่างที่นี่
ผลงานและพัฒนาการในการทำงานของสาวเจ้าเป็นที่ยอมรับในแวดวงคนทำงานประเภทเดียวกัน เงินเดือนที่พุ่งพรวดขึ้นตามสถานะความสามารถก็มากพอจนทำให้เขาสามารถตั้งตัวได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมานั้นดูดีเสียแทบหมด ปุณพัฒน์ควรจะเป็นคนที่มีความสุขสมหวังกับความสำเร็จในชีวิต แต่เปล่าเลย.. ภายใต้กรอบแว่นหนากลับซ่อนสายตาเย็นชาราวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มาช่างไร้ความหมาย มันคล้ายกับเนื้อเพลงที่ถูกแต่งจนเพราะเสนาะหู แต่ก็ยังขาดท่อนที่สำคัญไป..
“อะไรไม่ดีก็ลืมๆไปบ้าง..” อรรถพลยิ้มเป็นมิตร
คำพูดนั้นของรุ่นพี่ทำให้ริมฝีปากที่ยื่นเมื่อครู่เปลี่ยนทีเป็นยิ้มเหยียดบางๆ มือเรียวค่อยถอดแว่นตาที่กั้นกลางระหว่างตัวเองกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ออกช้าๆและเริ่มคิดตาม
ลืมๆไปบ้างงั้นเหรอ..?
คำถามนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกวันของการทำงาน และในทุกขณะที่คนใกล้ชิดรอบตัว ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็พูดอย่างนั้นเมื่อเห็นตัวเขาเองกำลังใช้ชีวิตอย่างกับคนซังกะตาย
“ก็ลืมไปแล้วนะพี่.. แค่ตอนนี้มันยังไม่มีอะไรใหม่ๆให้ทำมั้ง..”
นั่นคงเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ดีที่สุดแล้ว เพื่อไม่ให้ใครต่อใครต้องมาคอยคิดมากและแสดงความเป็นห่วงเป็นใยในตัวเขา
และมันก็เป็นอย่างที่พูดจริงๆ..
ตลอดระยะเวลาปีกว่าที่เรื่องราวเลวร้ายในชีวิตได้ผ่านพ้นไป ปุณพัฒน์พยายามอย่างหนักในการทุ่มเททุกอย่างลงกับงาน เขาเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่มีเงินเดือนสูงพอตัวแต่ก็ยังไม่วายตะเกียกตะกายทำโอทีเพิ่มหรือรับจ๊อบทำงานพิเศษเสริม แลกกับการที่ไม่ต้องปล่อยให้ตัวเองเหงา หาเวลาไปเที่ยวเพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆจนแทบจะเชื่อแล้วว่าตัวเองสามารถประกอบอาชีพไกด์เสริมได้อีกทาง และสุดท้าย.. สิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะทำได้ในชีวิต คือการพยายามเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้ได้ทุกๆสองสัปดาห์ ด้วยหวังว่าจิตใจที่ห่อเหี่ยวแห้งแล้งจะฟื้นคืน
เขาพยายามมาหมดทุกทางแล้ว..
แต่รอยช้ำในอดีตก็ไม่มีวันจะหายไป มันให้ความรู้สึกราวกับเป็นแผลสดที่ไม่มีวันจะตกสะเก็ด ซ้ำยังส่งความรู้สึกเจ็บอยู่เสมอทุกครั้งที่นึกถึง
“ก็เพราะว่าปอเป็นอย่างนี้ น้ำถึงได้อยากจะหนีไปให้พ้นๆ..”
ประโยคที่หวนนึกถึงกี่ทีก็แสนเจ็บปวดนั้นแล่นเข้ามาในสมองที่โล่งโพลนของตัวเอง.. นั่นคือเสียงของ ‘ชลธร’ ผู้หญิงที่ยังคงเป็นรักแรกในความทรงจำ ผู้หญิงคนเดียวที่เป็นเสมือนรอยร้าวบางๆในชีวิต..
สองทุ่มสี่สิบห้า.. คือช่วงเวลาที่เขาจำได้แม่น คืนนั้นเป็นคืนที่ฝนตกหนักจนบานหน้าต่างไม้สั่นไปทั้งบ้าน ที่นั่นคือเรือนไม้ทรงไทยหลังสีขาวสวยขนาดสองชั้นที่ปุณพัฒน์ออกแบบดีไซน์ใส่ความโมเดิร์นเข้าไปได้อย่างลงตัว
มันสวยงาม.. และมันเป็นเงินทุกบาททุกสตางค์จากหยาดเหงื่อทุกเม็ดของเขา เพื่อให้มันเป็นบ้านพักหลังเดียวที่รวมใจของคนสองคนเอาไว้ เขาและเธอ น้ำ..
“อย่าไปเลยนะน้ำ ปอขอโทษ ปอผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีก ให้อภัยกันนะ?” เขาพูดมันด้วยเสียงที่สั่นเครือ และพูดในขณะที่โอบรอบตัวชลธรเอาไว้แน่นหนา
สาเหตุที่เธอจะจากไปวันนี้มีอยู่ข้อเดียว คือ.. เขายังไม่ดีพอ!
“น้ำอยากไป ปล่อยน้ำไปเถอะนะ ทนไม่ไหวแล้ว น้ำอยากมีความสุขมากกว่านี้ มันอาจจะดีสำหรับเราทั้งคู่นะ”
นั่นคือเหตุผลของหล่อน ชลธรปาดน้ำตาหยดสุดท้ายออกจากใบหน้าสวยหวาน เธอกระชับมือเข้ากับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่บ่ายของวัน เพื่อหวังจะได้ออกเดินทางไปก่อนที่คนรักของเธอ ปุณพัฒน์.. จะมาถึง!
“ถ้าไม่มีน้ำ ปอคงอยู่ไม่ได้!” ปุณพัฒน์ประกาศคำนั้น!
เขารู้สึกถึงความหมายของมันมากพอ! ชลธรเป็นเหมือนทุกๆอย่างในชีวิตของเขา ตั้งแต่สมัยเรียน จนกระทั่งพวกเขาทำงาน และลงท้ายด้วยการตัดสินใจอยู่ร่วมกันฉันคนรัก เธอเป็นกำลังใจที่ดีภายหลังจากที่พ่อกับแม่ของเขาเสียไป... เธอกลายเป็นทุกอย่างมาโดยตลอด!
และในนาทีนั้นเขากำลังจะสูญเสียเธอไปเพราะนิสัยใจร้อนวู่วามของตัวเอง! ทั้งหมดยังเป็นความผิดของเขา!
ชลธรกำลังจะหนีไปเมืองนอกโดยไม่คิดจะหวนกลับมาอีก!
และที่เจ็บปวดกว่าอะไรทั้งหมด.. เธอ.. กำลังจะได้เริ่มต้นใหม่กับใครบางคน ‘ใคร’ ที่ดีกว่าเขาในทุกๆด้าน!
“หึ...” ริมฝีปากเรียวแสยะยิ้ม
ภาพความทรงจำในอดีตที่คิดถึงกี่ทีก็เฝ้าแต่สมเพสตัวเองนั้น บัดนี้มันกลับทำให้เขาหัวเราะ ช่างน่าตลก.. ที่ไม่ว่ามันจะผ่านมานานเพียงใด เธอยังสามารถทำให้เขาเจ็บร้าวในอกได้เสมอทุกครั้งที่นึกถึง
“งั้นก็ไปหาอะไรใหม่ๆทำดีไหม?” อรรถพลยังยิ้มขณะที่พูดกับรุ่นน้องหน้าคม เขาวางแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งลงตรงหน้าปุณพัฒน์ ก่อนเจ้าตัวจะหันมาเลิกคิ้วมองกลับอย่างงุนงง
“อะไรพี่?” ร่างสูงโปร่งยังว่าขณะยกแว่นขึ้นติดข้างแก้มอีกครั้ง สองมือเรียวยกแฟ้มตรงหน้ามาเปิดอ่าน กวาดสายตามองตามตัวอักษรหลายบรรทัดที่ปรากฏบนหน้ากระดาษสีขาว
“โปรเจคใหม่ของบริษัทไง.. พี่เสนอให้แกไปทำ..”
ปุณพัฒน์ยังเลิกคิ้ว สายตาคมภายใต้กรอบแว่นสีเข้มหรี่ตาลงมองตัวเลขหลักแสนของรายได้ที่เขาจะได้รับภายหลังจากโปรเจคงานสิ้นสุดลง และยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดนั้น.. โปรเจคที่ว่ายังเป็นการร่วมมือกับอีกหนึ่งบริษัทชื่อดังของต่างประเทศ ซึ่งนั่นหมายความว่าหากเขาตกลง ปุณพัฒน์จะต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลาถึงสามเดือนเลยทีเดียว!
มันเป็นความหวังที่เขาจะได้ก้าวหน้าในอาชีพไปอีกขั้น และเป็นการทำงานในต่างแดนที่สายตาคมเคยถวิลหา!
“เอาไง? จะไปหรือไม่ไป?” อรรถพลยังถามยั่วให้คนมองยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม สายตาที่เขามองรุ่นน้องตีความหมายได้ไม่ยากเลยว่าปุณพัฒน์จะตกลงหรือไม่..
“จะไม่ไปได้ยังไงเล่า!” ประโยคนั้นว่ารับก่อนเจ้าตัวจะแสดงอาการตื่นเต้นเป็นลิงได้ถ้วยเมื่อเขากำลังฟุ่บหน้าลงกับแฟ้มโปรเจคงานราคาหลักแสนนั้น
อรรถพลยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับแสดงความดีใจด้วยการเอื้อมมือไปตบบ่ารุ่นน้องที่กำลังยิ้มจนตาหยี นี่เป็นโอกาสครั้งแรกของปุณพัฒน์ที่จะได้ไปเรียนรู้งานกับบริษัทต่างประเทศ แถมยังเป็นโอกาสให้รุ่นน้องหน้าใสได้ไปเปิดหูเปิดตา หลุดออกจากสภาวะเศร้าเหงาซึม ซังกะตายในชีวิตอย่างนี้เสียที!
“ทำให้ดีที่สุด!” รุ่นพี่หนุ่มพูดพร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นให้เขาทั้งสองนิ้วเพิ่มพลังใจให้คนมอง
“ขอบคุณมากนะพี่..” ปุณพัฒน์ยิ้มรับ
***
แสงอาทิตย์จางลงจนลับตา.. ร่างสูงขับรถเดินทางกลับบ้านเป็นปกติ เลนถนนนอกเมืองวันนี้ช่างดูว่างเปล่าเหลือเกิน ถ้าเป็นเวลาปกติ ค่ำวันนี้คงเต็มไปด้วยรถหลายคันสวนกันไปมา
สายตาคมเหลือบมองแฟ้มเอกสารเล่มหนาข้างตัว มือก็จับพวงมาลัยรถหมุนไปตามทางเรื่อยๆ.. คงดีถ้าหากวันนี้มีใครสักคนร่วมยินดีในความสำเร็จไปกับเขา ชีวิตในเมืองใหญ่ที่ไม่เหลือใครแบบนี้ช่างเดียวดายจนน่าใจหาย การอยู่โดยลำพังนั้น.. แม้จะดีที่ได้สู้ทนทำทุกสิ่งอย่างด้วยตัวเอง แต่บางนาทีก็แอบเปล่าเปลี่ยวหัวใจอย่างเสียไม่ได้ ดูเหมือนว่าเงาของตัวเองจะกลายเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของเขาไปแล้ว
ปุณพัฒน์เคลื่อนรถเข้าที่เก็บก่อนจะเดินเท้าเข้าบ้านอย่างเคยๆ ร่างสูงเปิดประตูบานไม้ที่ฉลุลายสวยงามเบื้องหน้าเข้าไปอย่างเหนื่อยอ่อน มือเรียวเอื้อมแตะสวิตไฟที่ข้างผนังใกล้ๆ รองเท้าผ้าใบคู่เก่งถูกถอดเก็บวางไว้บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ มือเรียวถอดแว่นตาสีเข้มลงวางกับโต๊ะไม้เบื้องหน้า ก่อนสายตาคมจะเหลือบมองไปยังกรอบรูปที่คุ้นเคยใกล้ๆกัน
ชลธร..
คนมองยิ้มออกมา... ดูเหมือนว่าการหยุดมองรูปใครบางคนเช่นนี้จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปเสียแล้ว ภาพข้างหน้าเป็นภาพที่ถูกถ่ายโดยฝีมือของเขาเอง เธอกำลังหัวเราะอย่างสดใสภายใต้แสงแดดจ้าริมทะเลเมื่อสองปีที่แล้ว มือที่ยื่นมาชิดจนตกกรอบของภาพไปนั้นไม่ใช่อะไร... เพราะเธอกำลังเอื้อมมือมาจับกับมือของคนถ่ายเอาไว้นั่นเอง ช่วงเวลาเหล่านั้นนึกถึงทีไรก็มีความสุข
เขาไม่เคยโทษเธอเลยที่จากไป... หากแต่เพียงนึกน้อยใจเท่านั้นที่เธอเลือกจะทิ้งกันไปง่ายๆ มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน เธอได้เริ่มต้นใหม่กับใครอีกคนในขณะที่ปล่อยให้เขาเจ็บปวดทรมาน จ่อมจมอยู่กับความผิดที่ตัวเองก่อ ทุกอย่างคลาดเคลื่อนไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ตัวแปรหลายอย่างที่เกิดขึ้นส่งผลให้การเริ่มต้นใหม่กลายเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย นอกจากนิสัยที่เข้ากันไม่ได้แล้วยังมีอะไรอีก...
นอกจากใครบางคนที่เดินเข้ามากินพื้นที่คนสองคนได้ไม่นานกลับกลายเป็นว่าที่คนสำคัญคนต่อไป...?
ก็แค่เธอมาถอดใจง่ายๆ หรือแค่เพียงว่าความรักที่มีให้มันร่อยหรอลงแล้ว..
หรือไม่.. ก็แค่เจอใครคนใหม่ที่ดีกว่า!
“หึ..” ปุญพัฒน์แสยะยิ้ม ก่อนจะตบฝ่ามือเข้ากับกระเป๋ากางเกงข้างลำตัว หยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นระรัวขึ้นมากดรับ
“ไอ้ปอ! จันทร์หน้านะเว้ย ที่แกออกเดินทาง อย่าลืมเคลียร์ของให้หมด ไฟล์ทบินผู้ใหญ่เขาจัดเอาไว้ให้แล้ว...” เสียงอรรถพลดังมาตามสายพร้อมกับเสียงเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดของชายหนุ่มดังโยเยเข้ามาด้วย
“ฮะๆ..” คนฟังหัวเราะร่วน เสียงของน้องไม้หอมลูกสาววัยแปดเดือนเพียงคนเดียวของรุ่นพี่ทำให้เขายิ้มออก
“จะไม่ได้เจอหลานหลายเดือนเลย คิดถึงแย่หวะพี่..”
“เออ! งั้นก็มาช่วยรับไปเลี้ยงที เอาไปอยู่ด้วยพี่ให้ทั้งค่าข้าวค่าขนมเลย” อรรถพลว่ารับไปเรื่อย ชายหนุ่มพูดกับรุ่นน้องได้ไม่นานก็เป็นอันต้องรีบวางสาย เพราะลูกน้อยในอ้อมกอดทำท่าจะงอแงหนักกว่าเดิม
ปุณพัฒน์ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆให้กับรุ่นพี่ การเป็นคุณพ่อมือใหม่ดูจะขัดๆกับบุคลิกแสนห้าวของอรรถพลเล็กน้อย แต่ก็หวังว่าไม่นานคงจะชิน ก็เจ้าตัวเล็กถึงจะขี้แงแต่ก็น่ารักน่าหยิกเสียขนาดนั้น!
คนตัวสูงยิ้มอ่อนๆ พอพูดถึงเรื่องเคลียร์ข้าวของขึ้นมา ปลายเท้างามก็แซะกล่องใบใหญ่ที่วางตั้งไว้ใกล้โต๊ะให้ย้ายตำแหน่งมาอยู่ตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆวางกรอบรูปสวยในมือที่เคยเฝ้ามองมาตลอดปีกว่าลงไปในนั้น
ชลธรยังคงยิ้มสวย... เธอดูอ่อนโยนและมีเสน่ห์ ใบหน้าของเธอและรอยยิ้มสดใสนั้นเรียกความสนใจจากใครต่อใครได้เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งเขา..
“นานแค่ไหนแล้วรู้ไหม? ที่เราไม่ได้เจอกัน แต่ปอกลับเจอน้ำทุกคืน...” เสียงห้าวพร่าลงพร้อมกับสายตาคมที่กำลังจะเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา มันเจ็บปวด... แต่ทว่าก็มีความสุข มันช่างน่าเศร้า... แต่ทว่าก็กลับเติมเต็มความรู้สึกบางอย่าง คิดถึง...