จิตที่มีสมาธิย่อมบริสุทธิ์จากกิเลส จากนิวรณ์และแม้จากความลำเอียง
จิตที่มีสมาธิเท่านั้นจึงจะเห็นธรรม (ความจริงแท้ของธรรมชาติ)
แม้เพียงได้ยินหรือได้อ่านข้อความที่ไม่น่าชอบใจ แล้วเกิดความขัดเคืองใจขึ้นมาแม้เพียงเล็กน้อย สมาธิก็จะหายไป แล้วก็จะไม่เห็นธรรม
อย่างเช่น เมื่อเรามีความเชื่อว่าตายแล้วยังมีตัวเราเกิดขึ้นมาใหม่เพื่อมารับผลกรรม หรือยังเชื่อว่ามีนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เชื่อว่ามีเทวดา น้างฟ้า เป็นต้น ทั้งๆที่เราก็ไม่เคยได้พบเห็นหรือสัมผัสจริงไเลย เอาแต่เชื่อตามตำราหรือเชื่อตามคนอื่น แต่เมื่อมีคนมาบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้น ไม่มีเหตุผลมาอธิบาย และไม่มีความจริงมารองรับ เราก็จะเกิดความรู้สึกขัดเคืองใจขึ้นมาทันที นี่แสดงว่าจิตของเราไม่มีสมาธิแล้ว และก็จะมองไม่เห็นความจริงที่ว่า แม้ตำราก็อาจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนมาก่อนที่จะถึงเราได้ และแม้ครูอาจารย์ที่เรานับถือท่านเองก็อาจมีความเห็นผิดมาก่อนแล้วก็ได้ เป็นต้น
เมื่องมองไม่เห็นความจริงแม้ขั้นต้นนี้ แล้วจะมาเห็นความจริงที่ลึกซึ้งเรื่องอนัตตาหรืออริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร?
ดังนั้นเราจึงควรมองกลับมาดูตัวเราว่าเรามีสมาธิในการฟังหรืออ่านกันอย่างเพียงพอแล้วหรือยัง? ถ้ายังก็ต้องตั้งใจให้มากขึ้น แต่ถ้าแม้จะตั้งใจอย่างไรสมาธิก็ยังไม่เกิด ก็เป็นไปได้ว่าเรายังไม่มีพื้นฐานของสมาธิเพียงพอ อันได้แก่ศีล ซึ่งสรุปอยู่ที่ การมีเจตนาที่จะไม่เบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งกามารมณ์ของผู้อื่น รวมทั้งการมีเจตนาที่จะไม่พูดโกหก คำหยาบ คำส่อเสียด และพูดเพ้อเจ้ออยู่เสมอ เมื่อมีศีลถูกต้องแล้วสมาธิก็จะเกิดได้ง่าย และก็ทำให้การฟังหรืออ่านธรรมะแล้วเกิดการเห็นธรรมได้โดยง่าย เพราะรู้จักว่าอะไรคือเหตุ อะไรคือผล อะไรคือความจริง อะไรคือความเชื่อ อะไรควรศึกษา อะไรไม่ควรศึกษา อะไรคือโทษ อะไรคือประโยชน์ รวมทั้งอะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุของทุกข์ อะไรคือความดับทุกข์ และอะไรคือวิธีการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์
เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วย่อมมองเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นอยู่จริง
จิตที่มีสมาธิเท่านั้นจึงจะเห็นธรรม (ความจริงแท้ของธรรมชาติ)
แม้เพียงได้ยินหรือได้อ่านข้อความที่ไม่น่าชอบใจ แล้วเกิดความขัดเคืองใจขึ้นมาแม้เพียงเล็กน้อย สมาธิก็จะหายไป แล้วก็จะไม่เห็นธรรม
อย่างเช่น เมื่อเรามีความเชื่อว่าตายแล้วยังมีตัวเราเกิดขึ้นมาใหม่เพื่อมารับผลกรรม หรือยังเชื่อว่ามีนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เชื่อว่ามีเทวดา น้างฟ้า เป็นต้น ทั้งๆที่เราก็ไม่เคยได้พบเห็นหรือสัมผัสจริงไเลย เอาแต่เชื่อตามตำราหรือเชื่อตามคนอื่น แต่เมื่อมีคนมาบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้น ไม่มีเหตุผลมาอธิบาย และไม่มีความจริงมารองรับ เราก็จะเกิดความรู้สึกขัดเคืองใจขึ้นมาทันที นี่แสดงว่าจิตของเราไม่มีสมาธิแล้ว และก็จะมองไม่เห็นความจริงที่ว่า แม้ตำราก็อาจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนมาก่อนที่จะถึงเราได้ และแม้ครูอาจารย์ที่เรานับถือท่านเองก็อาจมีความเห็นผิดมาก่อนแล้วก็ได้ เป็นต้น
เมื่องมองไม่เห็นความจริงแม้ขั้นต้นนี้ แล้วจะมาเห็นความจริงที่ลึกซึ้งเรื่องอนัตตาหรืออริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร?
ดังนั้นเราจึงควรมองกลับมาดูตัวเราว่าเรามีสมาธิในการฟังหรืออ่านกันอย่างเพียงพอแล้วหรือยัง? ถ้ายังก็ต้องตั้งใจให้มากขึ้น แต่ถ้าแม้จะตั้งใจอย่างไรสมาธิก็ยังไม่เกิด ก็เป็นไปได้ว่าเรายังไม่มีพื้นฐานของสมาธิเพียงพอ อันได้แก่ศีล ซึ่งสรุปอยู่ที่ การมีเจตนาที่จะไม่เบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งกามารมณ์ของผู้อื่น รวมทั้งการมีเจตนาที่จะไม่พูดโกหก คำหยาบ คำส่อเสียด และพูดเพ้อเจ้ออยู่เสมอ เมื่อมีศีลถูกต้องแล้วสมาธิก็จะเกิดได้ง่าย และก็ทำให้การฟังหรืออ่านธรรมะแล้วเกิดการเห็นธรรมได้โดยง่าย เพราะรู้จักว่าอะไรคือเหตุ อะไรคือผล อะไรคือความจริง อะไรคือความเชื่อ อะไรควรศึกษา อะไรไม่ควรศึกษา อะไรคือโทษ อะไรคือประโยชน์ รวมทั้งอะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุของทุกข์ อะไรคือความดับทุกข์ และอะไรคือวิธีการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์