เย็นวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์ โดยคามิน คมนีย์
หนังสือเรื่องนี้ตีพิมพ์ตั้งแต่ 2547 แต่เพิ่งมารีวิวเอาตอน 2557 อาจจะช้าไป 10 ปีนะคะ 5555 เราคิดว่าคงมีคนอ่าน
สารคดีเรื่องนี้มาเยอะแล้ว แต่เราจะรีวิว (บวกแนะนำ) ให้คนที่ยังไม่ได้อ่านหรือกำลังคิดจะหยิบขึ้นมาอ่าน
(เฮลโหลวว ยังมีคนที่ยังไม่เคยอ่านอยู่ใช่มั้ยคะ 555) ไม่ว่าจะจากห้องสมุดหรือร้าน หนังสือ และอื่นๆ ลองเอาไปพิจารณาดูนะคะ
หนังสือเล่มนี้เราเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเมื่อวันอังคาร (26 สิงหาคม 57) ตอนเรียนวิชาการเขียนสารคดีซึ่งอาจารย์สั่งให้อ่านหนังสือสารคดีทุกสัปดาห์และท่านได้หาหนังสือมาให้
“เย็นวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์” ชื่อเรื่องที่คล้องจองกันนี้เตะตาเรามาก (อานุภาพของการตั้งชื่อเรื่องโดนๆ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง)
ทำให้เราหยิบมันขึ้นมาและอ่านจบภายในหนึ่งวัน (ทั้งๆ ที่เราเป็นคนอ่านสารคดีนานหลายวันมากกว่าจะจบทั้งๆที่ไม่ถึง 200 หน้าก็เถอะ - - แต่ถ้านิยาย 400-500 หน้า ดาวก็อ่านจบในคืนเดียวค่ะ โถ่ววว)
เรื่องย่อโดยสังเขป (ย่อจริงๆนะ 5 บรรทัดแค่นั้นเอง 5555)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ชายหนุ่มคนหนึ่งลาออกจากงานประจำที่เขาเบื่อหน่ายมาเป็นนักวิ่งทาง ผ่านอุปสรรคต่างๆ เจ็บตัวระหว่างฝึกซ้อม
เจ็บใจกับคำดูถูก ได้รับบทเรียนนานา จากการวิ่ง แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ ฝึกฝนเรียนรู้และพัฒนาตนเองจากบทเรียนที่ได้รับ
ภายในเวลาหนึ่งปี เขาลงแข่งขันวิ่งมินิมาราธอน ฮาล์ฟมาราธอน และมาราธอน ได้ถ้วยรางวัลรวมทั้งหมด 9 ใบ
ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความพยายาม และความตั้งใจของเขา นอกจากนี้เขายังมีความฝันอีกอย่างหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า
นั่นคือการเป็นนักเขียน (ซึ่งเขาก็ได้เป็นนักเขียนจากงานนี้แล้วนั่นเอง)
วิเคราะห์
ผู้เขียนใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 ในการดำเนินเรื่อง ทำให้เวลาอ่านเหมือน กำลังอ่านไดอารี่ของตัวเอง ภาษาอ่านง่าย ไม่ได้เป็นวิชาการเว่อร์เหมือนสารคดีอื่นที่รู้จัก เริ่มเล่าเรื่องจากการเบื่อหน่ายงานประจำของเขา ทั้งๆที่อาชีพนักกฎหมายประจำกระทรวง คงเป็นงานที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มากในสายตาของหลายคน แต่คนเรามีความสุขกับสิ่งต่างๆไม่เหมือนกัน บางคนต้องดิ้นรนทำงานให้ได้เงินเยอะที่สุด ในขณะที่บางคนยอมทิ้งงานที่มั่นคง ออกมาทำตามความต้องการ ทำตาม ความฝัน ความสุขของคนไม่สามารถวัดได้ด้วยเกณฑ์เดียวกันจริงๆ
ด้วยถ้อยคำ สำนวนการเล่าเรื่องของเขา บางครั้งสอดแทรกความเป็นคนมีอารมณ์ขันไว้ในตัวหนังสือ ทำให้อ่านไปยิ้มไป บางครั้งถึงขั้นขำไม่หยุด รู้สึกอยากติดตามอ่านเรื่องราวของเขาต่อไปเรื่อยๆ คอยลุ้น ให้กำลังใจเขาอยู่ในใจ ความตั้งใจ ของเขา ทำให้เราชื่นชม และเมื่อเขามีอุปสรรคก็ทำให้เราใจหาย เมื่อเขาเดินทางไปวิ่งแข่ง ณ สถานที่ต่างๆ ก็จะมีการเล่า เรื่องและสอดแทรกมุมมองความคิดของเขาไว้ด้วย ซึ่งน่าสนใจทีเดียว
ผู้เขียนได้สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการวิ่งซึ่งมาจากประสบการณ์จริงของเขา และจากการอ่านหนังสือหาข้อมูลต่างๆ เพื่อเป็นนักวิ่งที่ถูกต้อง ถูกหลัก ทำ ให้ผู้อ่านได้รับความรู้ในเรื่องนี้ไปด้วย รวมทั้งอาจเป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มหันมาวิ่งออกกำลังกาย
การอ่านหนังสือของใครมันก็เหมือนเรากำลังอ่านความคิดของคนนั้นด้วย ซึ่งแนวความคิดของผู้เขียนที่สะท้อนออกมาผ่านหนังสือเล่มนี้
ทำให้เราได้แง่คิดมากมาย ที่มากกว่าแค่ความสนุก หรือความรู้เกี่ยวกับการวิ่ง แต่ทำให้มองโลกได้กว้างขึ้น เข้าใจคนมากขึ้น
นอกจากนี้เรายังประทับใจประวัติชีวิตของเขา (เขียนไว้อยู่หน้าท้ายสุด) จะมีซักกี่คนที่สอบเข้ามหาลัยเพราะอยากเป็นหมอ แต่สอบใหม่สองรอบ ก็ติดเภสัชที่เดียวกันสองรอบ รอบสามติดวิศวะ (เพราะเขาไม่ได้เลือกเภสัช ฮา) เรียนๆไปไม่ชอบ ก็ลาออก สุดท้ายมาจบอยู่ที่เรียนรามคำแหง ด้วยเกียรตินิยม ภายในสามปี พอเริ่มงานก็ได้ทุนไปเรียนต่อที่มหาลัยชื่อดังที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กลับมาทำงาน ทำงานสักพักสุดท้ายก็ลาออกเพื่อทำตามความฝัน จะมีซักกี่คนกันที่ใช้ชีวิตได้คุ้มขนาดนี้ เรายังรู้สึกอิจฉาเขาเล็กๆที่ได้ทำอะไรหลายอย่างขนาดนี้
สำหรับเราที่เพิ่งรู้จักและได้อ่านหนังสือเล่มนี้รู้สึกว่าขอบคุณตัวเองที่เลือกหยิบมันขึ้นมา รู้สึกว่าโชคดีที่อย่างน้อยก็เคยได้อ่านมัน
และอยากส่งต่อเรื่องราวดีๆ แก่เพื่อนๆ ถ้าใครชอบอ่านสารคดีที่ไม่ใช่สไตล์วิชาการไปเลย แต่สอดแทรกความสนุกไว้ด้วยน่าจะชอบเรื่องนี้นะ
แต่มันก็แล้วแต่คนเนาะ ไม่ว่ากัน
เอาล่ะ จบรีวิวค่ะ 55555 อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่อง วกไปวนมา เพราะเพิ่งเคยรีวิวครั้งแรก น้อมรับคำติ (ชม) ทุกประการค่า
สาเหตุอีกอย่างที่มาเขียนรีวิวคือ อาจารย์ให้เขียนสรุปสิ่งที่อ่านมา ภายใน 5 บรรทัด ซึ่งสำหรับดาว ดาวว่ามันไม่พอออออ
สิ่งที่ได้ต้องการบอกต้องการพูดมันมากกว่านั้น (แต่ขัดคำสั่งอาจารย์ไม่ได้ค่ะ กร๊ากกกกก) ขอบคุณมากค่า
[SR] เมื่อฉันรู้จัก "เย็นวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์" ช้าถ ึง10 ปี
หนังสือเรื่องนี้ตีพิมพ์ตั้งแต่ 2547 แต่เพิ่งมารีวิวเอาตอน 2557 อาจจะช้าไป 10 ปีนะคะ 5555 เราคิดว่าคงมีคนอ่าน
สารคดีเรื่องนี้มาเยอะแล้ว แต่เราจะรีวิว (บวกแนะนำ) ให้คนที่ยังไม่ได้อ่านหรือกำลังคิดจะหยิบขึ้นมาอ่าน
(เฮลโหลวว ยังมีคนที่ยังไม่เคยอ่านอยู่ใช่มั้ยคะ 555) ไม่ว่าจะจากห้องสมุดหรือร้าน หนังสือ และอื่นๆ ลองเอาไปพิจารณาดูนะคะ
หนังสือเล่มนี้เราเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเมื่อวันอังคาร (26 สิงหาคม 57) ตอนเรียนวิชาการเขียนสารคดีซึ่งอาจารย์สั่งให้อ่านหนังสือสารคดีทุกสัปดาห์และท่านได้หาหนังสือมาให้
“เย็นวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์” ชื่อเรื่องที่คล้องจองกันนี้เตะตาเรามาก (อานุภาพของการตั้งชื่อเรื่องโดนๆ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง)
ทำให้เราหยิบมันขึ้นมาและอ่านจบภายในหนึ่งวัน (ทั้งๆ ที่เราเป็นคนอ่านสารคดีนานหลายวันมากกว่าจะจบทั้งๆที่ไม่ถึง 200 หน้าก็เถอะ - - แต่ถ้านิยาย 400-500 หน้า ดาวก็อ่านจบในคืนเดียวค่ะ โถ่ววว)
เรื่องย่อโดยสังเขป (ย่อจริงๆนะ 5 บรรทัดแค่นั้นเอง 5555)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วิเคราะห์
ผู้เขียนใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 ในการดำเนินเรื่อง ทำให้เวลาอ่านเหมือน กำลังอ่านไดอารี่ของตัวเอง ภาษาอ่านง่าย ไม่ได้เป็นวิชาการเว่อร์เหมือนสารคดีอื่นที่รู้จัก เริ่มเล่าเรื่องจากการเบื่อหน่ายงานประจำของเขา ทั้งๆที่อาชีพนักกฎหมายประจำกระทรวง คงเป็นงานที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มากในสายตาของหลายคน แต่คนเรามีความสุขกับสิ่งต่างๆไม่เหมือนกัน บางคนต้องดิ้นรนทำงานให้ได้เงินเยอะที่สุด ในขณะที่บางคนยอมทิ้งงานที่มั่นคง ออกมาทำตามความต้องการ ทำตาม ความฝัน ความสุขของคนไม่สามารถวัดได้ด้วยเกณฑ์เดียวกันจริงๆ
ด้วยถ้อยคำ สำนวนการเล่าเรื่องของเขา บางครั้งสอดแทรกความเป็นคนมีอารมณ์ขันไว้ในตัวหนังสือ ทำให้อ่านไปยิ้มไป บางครั้งถึงขั้นขำไม่หยุด รู้สึกอยากติดตามอ่านเรื่องราวของเขาต่อไปเรื่อยๆ คอยลุ้น ให้กำลังใจเขาอยู่ในใจ ความตั้งใจ ของเขา ทำให้เราชื่นชม และเมื่อเขามีอุปสรรคก็ทำให้เราใจหาย เมื่อเขาเดินทางไปวิ่งแข่ง ณ สถานที่ต่างๆ ก็จะมีการเล่า เรื่องและสอดแทรกมุมมองความคิดของเขาไว้ด้วย ซึ่งน่าสนใจทีเดียว
ผู้เขียนได้สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการวิ่งซึ่งมาจากประสบการณ์จริงของเขา และจากการอ่านหนังสือหาข้อมูลต่างๆ เพื่อเป็นนักวิ่งที่ถูกต้อง ถูกหลัก ทำ ให้ผู้อ่านได้รับความรู้ในเรื่องนี้ไปด้วย รวมทั้งอาจเป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มหันมาวิ่งออกกำลังกาย
การอ่านหนังสือของใครมันก็เหมือนเรากำลังอ่านความคิดของคนนั้นด้วย ซึ่งแนวความคิดของผู้เขียนที่สะท้อนออกมาผ่านหนังสือเล่มนี้
ทำให้เราได้แง่คิดมากมาย ที่มากกว่าแค่ความสนุก หรือความรู้เกี่ยวกับการวิ่ง แต่ทำให้มองโลกได้กว้างขึ้น เข้าใจคนมากขึ้น
นอกจากนี้เรายังประทับใจประวัติชีวิตของเขา (เขียนไว้อยู่หน้าท้ายสุด) จะมีซักกี่คนที่สอบเข้ามหาลัยเพราะอยากเป็นหมอ แต่สอบใหม่สองรอบ ก็ติดเภสัชที่เดียวกันสองรอบ รอบสามติดวิศวะ (เพราะเขาไม่ได้เลือกเภสัช ฮา) เรียนๆไปไม่ชอบ ก็ลาออก สุดท้ายมาจบอยู่ที่เรียนรามคำแหง ด้วยเกียรตินิยม ภายในสามปี พอเริ่มงานก็ได้ทุนไปเรียนต่อที่มหาลัยชื่อดังที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กลับมาทำงาน ทำงานสักพักสุดท้ายก็ลาออกเพื่อทำตามความฝัน จะมีซักกี่คนกันที่ใช้ชีวิตได้คุ้มขนาดนี้ เรายังรู้สึกอิจฉาเขาเล็กๆที่ได้ทำอะไรหลายอย่างขนาดนี้
สำหรับเราที่เพิ่งรู้จักและได้อ่านหนังสือเล่มนี้รู้สึกว่าขอบคุณตัวเองที่เลือกหยิบมันขึ้นมา รู้สึกว่าโชคดีที่อย่างน้อยก็เคยได้อ่านมัน
และอยากส่งต่อเรื่องราวดีๆ แก่เพื่อนๆ ถ้าใครชอบอ่านสารคดีที่ไม่ใช่สไตล์วิชาการไปเลย แต่สอดแทรกความสนุกไว้ด้วยน่าจะชอบเรื่องนี้นะ
แต่มันก็แล้วแต่คนเนาะ ไม่ว่ากัน
เอาล่ะ จบรีวิวค่ะ 55555 อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่อง วกไปวนมา เพราะเพิ่งเคยรีวิวครั้งแรก น้อมรับคำติ (ชม) ทุกประการค่า
สาเหตุอีกอย่างที่มาเขียนรีวิวคือ อาจารย์ให้เขียนสรุปสิ่งที่อ่านมา ภายใน 5 บรรทัด ซึ่งสำหรับดาว ดาวว่ามันไม่พอออออ
สิ่งที่ได้ต้องการบอกต้องการพูดมันมากกว่านั้น (แต่ขัดคำสั่งอาจารย์ไม่ได้ค่ะ กร๊ากกกกก) ขอบคุณมากค่า