หนึ่งใจในแผ่นดิน ตอนที่สิบห้า

กระทู้สนทนา
ตอนที่สิบสาม
http://ppantip.com/topic/32414303
ตอนที่สิบสี่
http://ppantip.com/topic/32459073






หนึ่งใจในแผ่นดิน     ตอนที่สิบห้า



            เขาพูดไม่ออกเมื่อรู้ข่าวจากปากน้องสาวว่าพ่อของเขาเรียกคนงานที่เพิ่งส่งมากลับด่วน นี่เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า ทำไมพ่อถึงไม่บอกเรื่องนี้กับเขาเลย

          “พ่อบอกว่าเป็นงานใหญ่และเจ้าของงานเร่งให้เสร็จก่อนกำหนดค่ะ ที่บอกพี่ก้องช้าเพราะพ่อรู้ว่าพี่ไม่สบายเลยอยากให้พี่พักผ่อนเต็มที่ก่อน”
          “งานของใคร” เขาถามทันที

          “เอ่อ...คือ...งาน... งานของ...ควีนส์คอร์ป” เธอลืมเตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้ไปเสียสนิท แต่ควีนส์คอร์ปก็เป็นเหตุผลสามัญประจำตัวในยามฉุกเฉินของเธอ

        “งานของควีนส์คอร์ป !” ก้องพูดเสียงเข้ม “พี่จะโทรหาปราณ เคลียร์กับมันให้รู้เรื่อง”
        “พี่ปราณไปฝรั่งเศส !”

       “งั้นพี่จะโทรหาคุณหญิงแทน” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง

       “คุณย่าไปบวชชีพรามณ์ !”

    ก้องปฐพีหรี่ตามองน้องสาวมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มจนเกินพอดีของเธอ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ พี่จะไปคุยกับผู้ใหญ่ฯ ขอแรงชาวบ้านช่วยพวกเรา”  

         เขาเดินมุ่งไปยังเรือนผู้ใหญ่บ้านโดยไม่ฟังเสียงเรียกของธิดา ก้องหยุดมองรถกระบะสีขาวที่จอดอยู่ด้านล่างก่อนขึ้นบันได เห็นแค่ตัวรถแล้วนึกหมั่นไส้เจ้าของรถ ถ้าในคืนนั้นเขาไม่ยั้งใจตัวเองไว้ก่อนเขาคงเดินไปกระชากตัวมันออกจากไหมแก้วด้วยความอิจฉาชายหนุ่มเดินขึ้นเรือนไปหวังประจันหน้ากับอริหัวใจแต่กลับพบว่าเอกรัตน์ไม่ได้มาคนเดียว

     “สวัสดีครับคุณทรงชัย” ก้องปฐพีนั่งลงข้างผู้ใหญ่บ้านแล้วกล่าวทักทายแขกอาวุโสที่สุดของเรือน ชายหนุ่มกวาดสายตามองแขกคนอื่นที่นั่งเรียงหน้ากัน

    “อ้าว ตรีรัตน์ ขอบใจมากที่มาช่วยงานวันก่อน” เขาทักทายสาวผมมวยร่างเล็กอย่างคุ้นเคย ทำให้ทรงชัยและเอกรัตน์หันขวับไปมองตรีรัตน์ที่ส่งยิ้มแหยๆให้

    “เอ แล้วนั่น ไอ้เด็กที่พ่อไม่ให้ค่าขนมนี่ ขาหายแล้วนี่นา ครั้งหน้าก็อย่าไปแบมือขอตังค์ใครเขาล่ะ เพราะครั้งต่อไปพ่อเอ็งอาจจะหักขาเอ็งแทนค่าขนมนะเว้ย” เขาทักทายเด็กวัยรุ่นอริเก่า

    “เฮ้ย พูดงี้มาลองดูอีกสักตั้งไหมวะ !” ทวีรัตน์ลุกขึ้นทำท่ากร่างค้ำหัวผู้ใหญ่บ้าน เด็กวัยรุ่นเลือดร้อนไม่มีทางยอมให้ใครมาพูดจาหักหน้าเด็ดขาด ถ้าเป็นตามท้องถนนเขาคงยกพวกลุยไปแล้ว แถมยิ่งต่อหน้านายทรงชัยผู้เป็นพ่อด้วยแล้วทวีรัตน์ยิ่งอยากแสดงให้เห็นว่าเขาสมที่จะเป็นลูกของนักเลงเจ้าถิ่น

    “ไอ้โท นั่งลง !” แต่คนเป็นพ่อกลับรู้สึกอับอายหุ่นขี้ยาของลูกชายคนรองที่แค่ยืนยังเกรงว่ามันจะล้ม  

    “เอ้อ...คนกันเองทั้งนั้นๆ นั่งคุยกันสบายกว่านะ” ผู้ใหญ่บ้านไกล่เกลี่ยก่อนมีเรื่อง เขาหันไปทางชายหนุ่มนี่ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลก็เกิดภาวะเกรียนเข้าแทรก

    “ผู้ใหญ่ฯ ครับ เราคุยธุระของเราต่อเถอะ” เอกรัตน์แสยะปากแล้วเบนหน้าไปทางผู้ใหญ่บ้าน

    “อย่างที่พ่อผมบอกนั่นแหละครับผู้ใหญ่ฯ ที่พ่อผมอยากช่วยนี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการหาเสียงทั้งสิ้น ผู้ใหญ่ฯ วางใจเถอะ ไม่มีใครมองผู้ใหญ่ฯ ไม่ดีแน่” เอกรัตน์พูดสิ่งที่พูดค้างต่อ

    “ใช่ ผู้ใหญ่ฯ อย่าปฏิเสธน้ำใจกันเลยนะ ฉันเองก็เป็นคนในท้องถิ่นใกล้เคียง แล้วก็รู้จักมักจี่กับผู้ใหญ่ฯ มานาน ถ้าหมู่บ้านช้างมีเรื่องเดือดร้อนฉันคงทนนิ่งดูดายไม่ได้” ทรงชัยเอ่ยหลังยกถ้วยชาร้อนขึ้นจิบ แล้วใช้นิ้วกรีดหนวดที่เปียกชื้นด้วยน้ำชาเพื่อให้มันเข้าทรง สายตาของนักเลงวัยดึกชำเลืองมองไอ้หนุ่มที่ยังนั่งฟังนิ่งอยู่ข้างผู้ใหญ่ฯ

    “คือ..” ผู้ใหญ่บ้านหันไปมองชายที่นั่งด้านข้าง “ฉันก็ไม่ได้อยากปฏิเสธน้ำใจหรอกนะ ทุกครั้งเวลาที่หมู่บ้านไหนเดือดร้อนเราก็จะช่วยๆ กันตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่งานนี้ฉันคงต้องถามความเห็นเจ้าของงานเขาก่อน”  

    “คุณก้องก็มาได้จังหวะพอดี นายทรงชัยเขาเห็นว่างานฟื้นฟูหมู่บ้านมันจะเสร็จช้า นี่ก็เข้าหน้าฝนแล้ว เขาเลยจะอาสาส่งคนมาช่วยงาน คุณก้องเห็นว่า...”

    “ไม่ครับ ขอบคุณ” เขาตอบทันทีโดยไม่รอให้ผู้ใหญ่บ้านพูดจบ

    “คิดเร็วไปหรือเปล่าพ่อหนุ่ม ถึงแม้งานนี้จะเป็นงานอาสาสมัครของบริษัทชลธาร แต่ไอ้คำว่าอาสาสมัครนี่หมายความว่าใครๆก็มีส่วนร่วมทำได้ไม่ใช่หรือ อีกอย่างถ้าพ่อหนุ่มปฏิเสธน้ำใจ ฉันว่าชาวบ้านคงไม่ได้มองพ่อหนุ่มเป็นคนขี้เกรงใจหรอกนะ แต่เขาจะมองว่าพ่อหนุ่มเป็นคนใจแคบเสียมากกว่า แล้วถ้าเป็นแบบนั้นมันอาจทำให้บริษัทชลธารเสียชื่อได้นะ” ทรงชัยกล่าว

    “ผมว่าเราให้ชาวบ้านโหวตดีกว่านะครับ เพราะอย่างไรเสียเรือนที่พวกเรากำลังจะทำนี่ก็ต้องถามเจ้าของบ้านที่แท้จริงว่า...พอใจที่จะให้ใครเข้ามาช่วยบ้าง...หวังว่าคนสร้างบ้านอย่างนายคงเคยได้ยินวลีที่ว่า ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่นะ” เอกรัตน์เสริมความเห็นของคนเป็นพ่อ

    “เอ่อ...แต่งานนี้เราก็ต้องขอบคุณบริษัทชลธารที่เข้ามาทำให้ตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นป่านนี้ชาวบ้านหลายหลังคาเรือนคงเดือดร้อนกันแย่ แต่ก็นะคุณก้อง ฉันในฐานะที่เป็นผู้นำชุมชนก็ต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้ลูกบ้าน ซึ่งถ้าฉันเลือกเองไม่ได้ก็ต้องให้สิทธิ์ลูกบ้านเป็นผู้เลือกตามความเห็นของเอกรัตน์” ผู้ใหญ่บ้านพยายามพูดให้ดูเป็นกลาง

    “ก็คงต้องตามนั้นครับ เชิญพวกคุณจัดโหวตกันตามสบาย” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มหัวให้ผู้ใหญ่ฯเป็นการลา คงไม่ต้องพูดจุดประสงค์ของการมาหาผู้ใหญ่บ้านแล้วในเมื่อเสียงส่วนใหญ่สรุปกันแบบนั้น “แต่ผมขอบอกไว้ก่อนว่า ถ้าคนของคุณมาทำกับกับผมแล้ว คนที่มีสิทธิ์ขาดในการสั่งงานคือผมคนเดียว”
    
    “อวดดี !” เอกรัตน์บ่นเสียงดังจงใจให้หญิงสาวที่กำลังจัดยาได้ยิน

    “บ่นถึงใครกัน” เธอถามโดยไม่หันไปมองหน้าเขา ไหมแก้วสาละวนกับยาล็อตใหม่ที่มีผู้บริจาคส่งมาให้ ตัวยาแต่ละตัวกำลังเป็นชนิดที่เธอต้องการอยู่ทีเดียวโดยเฉพาะยาต้านมาลาเรียลางสายพันธ์ที่หาซื้อมาไม่ได้ง่ายๆ เธอนึกขอบคุณคนบริจาคคนนี้ที่รู้ใจเธอนัก

    “ก็ไอ้พ่อนังสายป่านนั่นไง”

    “พ่อนังสายป่าน” ไหมแก้วทวนคำพูดตามแล้วอดยิ้มขำไม่ได้เมื่อนึกถึงหน้าพ่อลูกช้างที่เอกรัตน์พูดถึง

    “เขาทำอะไรให้เอกหรือไง เอกถึงได้ไม่พอใจแบบนั้น” ไหมแก้วจัดยาชุดสุดท้ายเรียบร้อยแล้วเดินมานั่งกับชายหนุ่มที่ระเบียง สายตาเธอแอบเหลือบมองทางคนที่ถูกกล่าวถึง เขาคนนั้นกำลังคุยกับเจ้าของเรือนที่จะเสร็จเป็นรูปเป็นร่างอีกหลัง เหลือเพียงแค่อีกสามหลังเท่านั้น ความรับผิดชอบของชลธารที่มีต่อหมู่บ้านช้างก็จะเสร็จสมบูรณ์ แปลกจริงที่เธอรู้สึกหวิวในหน้าอกเมื่อรู้ว่าอีกไม่นานเธอคงไม่ได้มองเขาทำงานจากบนเรือนเหมือนทุกวัน

    “มันไม่ต้องทำอะไรเลยไหมแก้ว แค่มันยืนเฉยๆ เอกก็ไม่สบอารมณ์แล้ว” เอกรัตน์พูดอย่างหงุดหงิด ยิ่งนึกถึงท่าทางการมองและคำพูดคำจาของมันด้วยแล้วทำให้อารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ แต่มันคงไม่ทำให้เขาฉุนไปมากกว่าตอนที่เห็นไหมแก้วพูดคุยกับมันถึงแม้จะเป็นเรื่องงานก็เถอะ

    “พ่อให้คนมาช่วยงานก่อสร้างจะได้เสร็จไวๆ และมันจะได้กลับบ้านมันไปซะให้พ้นหูพ้นตาเสียที” เอกรัตน์เล่าต่อ ประโยคแรกคือความตั้งใจ ส่วนประโยคหลังคือผลพลอยที่สำคัญมากกว่าความตั้งใจ

    “คุณทรงชัย...ให้คนมาช่วยงานที่นี่หรือ” ไหมแก้วถามด้วยใบหน้าวิตก

    “ใช่ พ่อเขาเห็นว่าคนงานไม่พอแบบนี้จะทำให้งานเสร็จช้า ยังมีชาวบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วในเมื่อพ่อเต็มใจยื่นความช่วยเหลือแต่มันกลับอวดดี หยิ่งยโส” เขาว่ากล่าวต่ออย่างหงุดหงิดแต่เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวแล้วอดสงสัยไม่ได้

    “มีอะไรหรือไหมแก้ว” เอกรัตน์มองคิ้วที่ชนกันของเธอ

    “แล้ว...คุณก้องเขาว่ายังไง”

    “มันจะว่ายังไงได้ แค่เอกบอกมันว่าให้ชาวบ้านโหวตเองว่าจะให้คนของพ่อทำหรือไม่ทำ มันก็เถียงไม่ออกแล้ว คนสร้างบ้านก็ต้องถามคนอยู่สิว่าพอใจจะให้ใครสร้างให้” เขานั่งชันเข่ามองไปทางชายคนยืนข้างหญิงอาวุโสเพียงแค่มองจากระยะไกลก็นึกหมั่นไส้ครามครัน แต่เรือนหลังนั้นดูแปลกตากว่าหลังอื่น โดยเฉพาะบันไดทางขึ้นเรือนที่ชันน้อยกว่าและมีชั้นพักบันไดแบบที่เรือนหลังอื่นไม่มี เอกรัตน์มองชาวบ้านหลายคนกำลังยืนมุงที่หน้าบ้านอย่างสนใจแล้วทำให้เขาอยากรู้ว่าเรือนหลังนั้นมันพิเศษตรงไหนกัน

    “ไหม” เขาหันเหความสนใจมาที่หญิงสาวที่นิ่งเงียบไป “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูเงียบๆ”

        “ไหมกลัวว่าคนงานของคุณทรงชัยจะทำงานกับชลธารแล้ว...มีปัญหาน่ะ คือ...คุณก้องเขาเป็นคนที่เข้มงวดเรื่องงานมาก” เธอหาเหตุผลตอบ  

          เอกรัตน์มองหญิงสาวบีบมือตัวเอง ไหมแก้วมักจะทำแบบนี้ทุกครั้งที่เธอมีเรื่องกังวล และสิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่ตอนนี้มันก็มีผลกระทบกับจิตใจของเขามากเสียด้วย หรือว่าเธอเองก็ไม่พอใจที่พ่อของเขาจะส่งคนมาช่วย พอคิดแบบนี้เอกรัตน์ก็มีอารมณ์ขุ่นมัวทันที

     “พรุ่งนี้เราจะได้รู้กันว่าชาวบ้านเลือกแบบไหน ไหมไม่ต้องเป็นกังวลแทนมันหรอก ถ้ามีปัญหามากนักเอกจะไปคุยกับมัน” เขาพูดแล้วลุกขึ้นอย่างกะทันหัน

          นักการเมืองหนุ่มเดินลงเรือนคุณหมอสาวแล้วเดินตรงดิ่งไปยังผู้ชายคนที่ถ้าไม่จำเป็นเขาจะไม่เสวนาด้วยเด็ดขาด ชายหนุ่มสี่ตาเดินแทรกตัวผ่านชาวบ้านเข้าไปเพื่อให้ถึงตัวหัวหน้าคนงานอวดดี แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดมองภาพหญิงชราที่กำลังเคลื่อนตัวขึ้นไปบนเรือนโดยที่เธอยังนั่งอยู่บนเก้าอี้อลูมิเนียม กลไกการทำงานของฟันเฟืองและการชักรอกถูกออกแบบมาเพื่อผ่อนน้ำหนักได้ดี หญิงวัยกลางคนผู้เป็นลูกสาวเพียงแค่หมุนสิ่งบังคับด้วยแรงของเธอก็พาผู้เป็นมารดาส่งถึงบนเรือนได้อย่างปลอดภัยและนิ่มนวล เสียงปรบมือของชาวบ้านดังเกรียวกราวอย่างยินดี

    “ทีนี้ คุณน้าก็พาคุณยายขึ้นลงเรือนได้ไม่ลำบากแล้วครับ” สถาปนิกหนุ่มบอกกับเจ้าของเรือนด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่เธอพาแม่ของเธอเข้าห้องเรียบร้อย

    “ขอบคุณคุณมากเลย จริงๆแล้วฉันไม่คิดว่าคุณจะทำให้ถึงขนาดนี้” เธอยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณน้ำใจของชายหนุ่มอย่างไม่คิดว่าใครอายุน้อยกว่าหรือมากกว่า เพราะสำหรับเรื่องนี้จะให้พูดด้วยคำพูดแล้วมันยังไม่พอเลยสำหรับสิ่งที่เขาทำให้

    ก้องปฐพียกมือไหว้ตอบอย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็เต็มใจทำให้อยู่แล้ว”

    “พวกเราโชคดีจริงๆ ที่ได้พวกคุณมาช่วยฟื้นฟูหมู่บ้านของเรา” ชาวบ้านชายคนหนึ่งเอ่ยอย่างชื่นชม

         “พวกเราขอบคุณทั้งคุณ คนงาน และ...น้องสาวของคุณด้วยจริง” หญิงชาวบ้านอีกคนก็พูด แต่เมื่อเอ่ยถึงน้องสาวเขาเธอกลับลดเสียงให้เบาลง ก้องยิ้มและพยักหน้ารับ ในตอนนี้ความรู้สึกของชาวบ้านที่มีต่อน้องสาวเขาคงจะเริ่มเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อย และธิดาคงดีใจที่ได้ยิน เขาเหลือบไปเห็นนักการเมืองหนุ่มที่ยืนมองอยู่ด้านหลัง สองสายตาของคนไม่ถูกกันประทะกันโดยบังเอิญ แต่เป็นก้องปฐพีที่ยิ้มทักทายก่อนและเป็นเอกรัตน์ที่เลิกคิ้วกับรอยยิ้มที่ดูยังไงก็ไม่มีความจริงใจ

    “ก็ต้องขอบคุณเอกรัตน์นักการเมืองอนาคตไกลของพวกคุณด้วยนะครับ ไม้คุณภาพดีพวกนี้ผมได้มาจากความอนุเคราะห์ของคุณเอกรัตน์ทั้งนั้น” ก้องปฐพีเอ่ยพลางเดินเข้าไปยืนข้างนักการเมืองอนาคตไกล เอกรัตน์ขยับแว่นเล็กน้อย ความระแวงเกิดขึ้นทันทีแม้จะโดนสรรเสริญแบบไม่ทันตั้งตัว ยิ่งคนกล่าวสรรเสริญเป็นเจ้านี่ด้วยแล้วเขายิ่งรู้สึกยินร้ายมากกว่ายินดี แต่ชาวบ้านหลายคนก็เห็นด้วยกับที่ชายหนุ่มพูด คำขอบคุณมากมายจากปากของพวกเขาทำให้หัวใจองเอกรัตน์พองโต  

    “ไม่ต้องขอบคุณอะไร ผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในท้องถิ่นนี้เหมือนกัน ที่ทำไปไม่ได้หวังคำขอบคุณหรอกนะครับ”

    “แหม หยิ่ง ในสถานการณ์แบบนี้นะคุณนักการเมือง เขาต้องก้มหัวรับคำขอบคุณ” ก้องปฐพีไม่พูดเปล่า เขาเดินมาประชิดตัวชายสี่ตาแล้วจับคอคนหยิ่งให้โค้งหกสิบองศา

    “เฮ้ยทำอะไรวะ ปล่อยฉันนะเว้ย !” เอกรัตน์ร้องโวยวาย

    “เอ้า คำนับรอบทิศ” ก้องปฐพีจับร่างของเอกรัตน์ที่ถูกกดคอให้หมุนครบรอบสี่ทิศ คนที่ถูกกดพยายามฝืนตัวเองให้ยืดตัวขึ้นแต่ยิ่งฝืนก็ยิ่งปวดเพราะไม่สามารถต้านทานน้ำหนักที่กดลงบนต้นคอได้ ภาพของชายสองคนที่ใครหลายคนมองว่าช่างดูสนิทสนมกันนั้นสร้างเสียงขบขันดังไปทั่วทิศของการคำนับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่