คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 33
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ ทั้งที่เป็นเหมือนกันและที่ช่วยเปิดแนวความคิดใหม่ๆ ให้นะคะ _/\_
อยากกดไลท์ในทุกๆ ความเห็น เพราะเราทุก คห. เลยนะ แต่กดไม่ได้เพราะไม่ได้ยืนยันบัตรในระบบ อิอิ
ก่อนอื่น จขกท. เองไม่ได้คิดว่าคิดว่ามนุษย์เงินเดือนไม่ดีนะคะ นี่อาจเป็นกฏการแลกเปลี่ยนของโลกนั้นแหละ
แต่ที่เราคิดคือ ถ้าจะต้องทำงานเพื่อรายรับต่อเดือน ตัวเราเอง>> (ในที่นี้คือ จขกท) ก็น่าจะได้เจออะไรที่มากกว่าจอคอม
และห้องสี่เหลี่ยม (เพราะเราเองก็ไม่ได้จบในสายงานด้านนี้) คงเป็นงานที่ทำให้ทุกวันของเรารู้สึกว่าได้เรียนรู้ ได้เติบโตไปในสิ่งที่เราอยากเป็น
อยากมีชีวิตที่หล่อเลี้ยงความฝัน เพราะเราฟังจากพี่ เพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนชอบพูดว่า "ยิ่งโต.. ความฝันยิ่งเล็กลง"
ข้อนี้เราว่าจริงนะ โลกแห่งความจริงมันจะบอกเราตรงแน่ได้แค่ไหน ตรงนี้ไปได้เท่าไร แต่อย่างน้อยๆ ก็คงต้องมีสักจุดที่เราคิดว่า..
เห้ย !! เราทำมาเพื่อสิ่งนี้แหละ นิ่แหละมันเราเลย... เป็นเหตุผลซักข้อให้บอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
เชื่อว่าทุกคนต้องมี และคงไม่เหมือนกันทุกคนหรอกใช่ไม๊หล่ะ ..คำตอบมันอยู่ในใจของแต่ละคนนั่นแหละ
.... สำหรับเรา เราอยากจะบอกตัวเองว่ายังไปต่อได้ ชีวิตไปได้ไกลกว่านี้
ต่อๆ.. จากความเดิมตอนที่แล้ว .... ชีวิตก็ดำเนินอยู่แบบนั้นจนฝึกงานจบ 3 เดือนที่ตอนแรกคิดว่าช้า กลับหมดไปไวกว่าที่คิด
พอฝึกงานเสร็จครบกำหนด ก็มาทบทวนตัวเองว่าแบบนี้ใช่ตัวเราไม๊ สามเดือนนี้ได้เรียนรู้ว่านิ่อาจไม่ใช่ทางของเรา รึอาจจะใช่แต่เราไม่สู้เอง
จขกท. เลยตัดสินใจ บินลัดฟ้าไปหาเพื่อนอีกเมืองที่น่าจะเจริญพอๆ กับกรุงเทพแต่วุ่นวายลงน้อยหน่อย ไปลองดูว่าจะรู้สึกกลัวเมองใหญ่
เหมือนกรุงเทพไม๊ พอไปถึงทุกอย่างก็ดีนะ แต่ติดอยู่นิดนึงตรงที่นิ่เค้าพูดภาษาอะไร ฟังไม่ออกเลย น้ำตาจะไหล ม่ายยยยยย TT^TT
แต่สุดท้ายก็พยายามหารถแล้วนั้งไปบ้านเพื่อน นั้งรถผิดอีก ต้องจอดลงข้างทางแล้วหารถคันใหม่ประสบการณ์ล้วนๆ
ดีที่คนเมืองนั้นพยายามจะคุยกับเราซึ่งเราก็ฟังไม่ค่อยออก ตอบไม่ค่อยได้ก็เถอะ แต่ก็นับเป็นเรื่องดีดีที่เจอในชีวิต
พอไปอยู่กับเพื่อน เพื่อนก็ไปทำงานตามปกติ จะให้เราอยู่บ้านเฉยๆ คงไม่ใช่ ก็ออกไปหาอะไรทำออกไป
เราก็ออกไปเดินเล่น ดูคน ดูเมือง ดูการใช้ชีวิต ดูความเป็นนอยู่.. จากเดิมเราเที่ยวเราก็ดูแต่สถานที่ท่องเที่ยว
ซื้อฝากก็ซื้อไปงั้นไม่ได้สนใจอะไรมามาย เห็นทุกอย่างเป็นองค์ประกอบรวมๆ
แต่พอหลังจากเราฝึกงานเราก็เห็นการใช้ชีวิตจริงๆ ที่มากกว่าในรั้วมหาวิทยาลัย เราก็เริ่มเปลี่ยมมุมมองนะ
เราดูอาชีพดูความเป็นอยู่ ดูการดำเนินชีวิต หลายๆ อาชีพมันทำให้เป็นสังคมๆ หนึ่ง มีงานมีอาชีพอีกมาก
ที่มันก็หาเงินได้นะ แต่เราแค่ไม่อยากไปทำเพราะอีโก้ในตัวเราเอง สุดท้ายเราไปลงคอสดำน้ำดูปะกาลัง
เป็นการให้ของขวัญตัวเองในตัวหลังจากฝึกงานเสร็จ (หมดกันผิวขาวๆ ที่ได้จากเมืองกรุง อิอิ.. นิ่เราว่าเป็นข้อดีข้อหนึ่ง
ของกรุงเทพเลยนะ ไม่รุ้คิดไปเองป่าว แต่แบบขาวขึ้นนะ หน้านิ่ใสเชียว >///< )
เราก็เห็นอะไรที่ต่างออกไปอีก เห็นอาชีพขับเรือ ไกด์ที่พูดหลายๆ ภาษาได้ ครูสอนดำน้ำ เด็กเรือแจกของที่พยายามจะพูดภาษาญี่ปุ่นกับเรา -0- เพื่อนต่างชาติ คู่รักและมากมาย มันก็ยิ่งตอกย่ำว่าโลกนี้มันกว้างจริงๆ ต้องลองออกเดินทางมันได้อะไรมากจริงๆ
เราเคยอ่านข้อความหนึ่งแล้วชอบ เขาบอกว่า
ชีวิตของคนเราจะต่างกันมากแค่ไหน.. อยู่ที่การเดินทางกับการอ่านหนังสือ
เราว่ามันได้อะไรเยอะจริงนะ ออกไปเห็นออกไปเจอสิ่งใหม่เป็นอะไรที่เปลี่ยนความคิดเปลี่ยนชีวิตเราได้จริงๆ
แต่ก็เนอะคนเราหาโอกาศเที่ยวให้ตัวเองยาก เพราะมักจะติดกับเงื่อนไขชีวิตหลายๆ อย่าง.. ต่างกันออกไป
อยู่ได้ 2 อาทิย์กว่าๆ กลับมากรุงเทพ อยู่ได้ 2 วัน เอิ่มมม.. ความคิดแรกนี่คงไม่ใช่ที่สำหรับเราจริงๆ แล้วมั้ง
สำหรับเรานะ เราว่ากรุงเทพเป็นเมืองน่าเที่ยวนะ แต่ไม่ค่อยน่าอยู่
เอาเป็นว่ากลับบ้านดีกว่า กลับบ้านตอนแรกดีนะ พออยู่ได้สัก 3 เดือนชีวิตมันเริ่มว่างแล้วดิ่ ว่างเกินไปด้วยซ้ำ TT^TT
เลยหางานทำสมัครแถวบ้านเขาก็ไม่เรียก ข้อนี้จริงๆ เลยนะเราว่าต่างจังหวัดหางานยากจริงๆ ใครได้งานทำดีดีนิ่โชคดีนะเนี่ย
............. สุดท้ายก็หนีไม่พ้นกรุงเทพ เราลองไปสมัครที่แรก ก็ได้นะ แต่เราไม่เอา
ไป บริษัทที่สองมีคนชวนไป เราก็ลองไปฟลุ๊คได้อีกแต่เราไม่เอาอีก เราว่านะกรุงเทพนิ่เป็นเมืองแห่งโอกาศการเริ่มงานจริงๆ นะ
งานมีเยอะ หาง่าย มีงานเยอะแยะให้คุณได้เลือกทำ ก็แค่ว่าคุณจะทำรึป่าว
มาครั้งนี้เราได้งานกับบริษัทต่างชาติ ที่กรุงเทพเหมือนเดิม งานดีเลยแหละ เงินดีก็ถือว่าดีมากเลยนะสำหรับเด็กจบใหม่
ไม่มีประสบการณ์ แล้วมีค่านู้นค่านี้ให้อีก แต่สำคัญตรงต้องใช้ภาษา ภาษาและข้อมูลต้องดีจริงๆ โปร 3 เดือนไม่ได้ก็เชิญออก แค่นั้น
... เราเริ่มรู้สึกว่าเออมันดีนะ น่าลองเลยแหละ ถ้าได้นิ่สบาย เก๋เบาๆ ข้อดีมันเยอะที่จะไปนะ เราพูดจริง
... เพื่อนหลายๆ คนบอกอิจฉางานที่เราได้ ช่วงแรกเราดีใจมากเลยแหละ รู้สึกตัวเองโชคดีนะ
... พอเริ่มศึกษาเนื้องานเข้าจริงๆ เครียดเลย รู้สึกว่าความรู้เราไม่พอจะทำงานให้เขา ภาษาเราไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น
คือ จริงๆ เราไม่เก่งเลยนะภาษาอะ แค่โชคดีตอนสัมพาษณ์เค้าถามตรงกับคำถามที่เราเตรียมคำตอบไปก็เท่านั้น
เพราะจริงๆ เราคุยกับต่างชาตินิ่ ส่วนมากคือยิ้ม Yes Yes amm ok right wow good.. - - แบบนี้เลย
เหมือนมันไม่ได้ใช่คำที่ใช้สนทนา เราว่าเราเป็นพวกชอบพูดคำเชื่อมประโยคมากกว่า -0- แล้วจะให้อย่างเราไปทำงานคุยตกลงข้อตงลงต่างๆ
มันก็เกินไปหน่อยมั้ง หลายคนที่อ่านอาจคิดว่าเค้าไม่ให้เธออะไรขนาดนั้นหรอกเธอเพิ่งเข้าทำงาน แต่เราพูดตรงนี้เลยว่าที่แรกเราก็คิดแบบนี้
แต่พอศึกษาจริง มันคือหน้าที่ของตำแหน่งนี้เลย คือต้องทำเลย แบบนี้ไงเราคิดเครียด คือรู้ศักยภาพตัวเองอะ
แล้วเราก็เริ่มคิดอะไรหลายๆ อย่าง จิตฟุ้งฟ่านมาก.. รู้ว่าตัวเองพัฒนาได้ แต่เรารู้สึกว่างานต้องเริ่มทำเลย ไม่มีเวลาให้พัฒนาไวขนาดนั้น
>> เราเริ่มไม่อยากเข้าไปแล้วเค้ามองหน้าว่าทำไม่ได้หรอ แบบนี้ แล้วโดนให้ออกโดยยากที่จะเข้ามาทำอีก
>> เราเริ่มไม่อยากเข้าไปเพราะรู้ว่าศักยภาพตัวเองไม่ถึง
>> เราเริ่มไม่อยากเข้าไปเพราะ อย่างน้อยๆ ถ้าเราไม่เอาตอนนี้ เรายังมีโอกาศเตรียมความพร้อม เรียนรู้ภาษาเพิ่ม
แล้วไปสมัครใหม่ก็ไม่สาย
>> เราเริ่มคิดถึงค่าเริ่มต้นค่าหอ ค่าอยู่กิน ค่ารถ ค่าจิปาถะ ที่แม่ต้องลงทุน ซึ่งเราพูดตรงๆ เลยว่าเราไม่รู้ว่าจะทำได้นานแค่ไหน
เราอาจเข้าไปแล้วทำอะไรไม่ได้เลย โดนเชิญออกตั้งแต่เดือนแรกก็ได้
>> เราเริ่มไม่อยากไปเพราะเราคิดถึงความรู้สึกตอนเราอยู่กรุงเทพ ที่มันไม่ใช่สำหรับเรา
เชื่อไหม เวลาเราเดินเล่นตอนกลางคืนตอนอยู่กรุงเทพ เดินดูคน เดินกลับห้อง เดินมองตึกสูงๆ ตามทาง
เรามักจะเจอคนที่เดินคนเดียว เราก็จะชอบตั้งคำถามในใจนะ ว่าเขาเหงาเหมือนเราไม๊นะ เขาจะอยากกลับบ้านไม๊นะ
รึเขาอยากกลับแต่เขากลับไม่ได้ อะไรแบบนี้ตลอดเลย (ท้องฟ้ากรุงเทพมันมืดไม่เหมือนบ้านเรานะจริงๆ)
>> เราเริ่มคิดถึงตัวเองว่า ต้องกรุงเทพจริงๆ หรอจะเริ่มต้นนิ่ต้องเป็นกรุงเทพจริงๆ หรอ เรากลัวว่าถ้าเกิดเราทำได้จริง
ชีวิตก็ดำเนินอยู่ในเมืองกรุง เหมือนที่หลายๆ คนเป็นคือได้งานแล้ว ก็ทำงานไปเรื่อยๆ ทำไปเพราะกลับบ้านไปก็ไม่มีงาน
ทำจนเหมือนเป้นกับดักขังตัวเองไปแบบไม่รู้ตัว
..... ความคิดมันตีกันไปหมด ใจหนึ่งไปดิ่ชีวิตต้องลอง ได้ใช้ภาษานะพัฒนาตัวเอง ประสบการณ์
ใจหนึ่งก็บอกว่าจำเป็นหรอ ภาษาฝึกที่ไหนก็ได้ ประสบการณ์มีที่เดียวหรอ
.ต้องกรุงเทพหรอ ถึงจะเริ่มได้ ที่อื่นไม่ได้เลยว่างั้น ตอนนี้ได้คุ้มเสียไม๊หล่ะ
.เก่งกว่านี้จะมาอีกก็ไม่สายนะ จะเสี่ยงกะเอา
.ลองมากี่ครั้งก็รู้ว่าไม่ใช่แล้วยังจะพาตัวเองไปอีก
พอก่อนนะ -oo- เดี่ยวมาต่ออีก ^^ ยาวจริงยาวจัง T^T ____________________ To Be Continued
อยากกดไลท์ในทุกๆ ความเห็น เพราะเราทุก คห. เลยนะ แต่กดไม่ได้เพราะไม่ได้ยืนยันบัตรในระบบ อิอิ
ก่อนอื่น จขกท. เองไม่ได้คิดว่าคิดว่ามนุษย์เงินเดือนไม่ดีนะคะ นี่อาจเป็นกฏการแลกเปลี่ยนของโลกนั้นแหละ
แต่ที่เราคิดคือ ถ้าจะต้องทำงานเพื่อรายรับต่อเดือน ตัวเราเอง>> (ในที่นี้คือ จขกท) ก็น่าจะได้เจออะไรที่มากกว่าจอคอม
และห้องสี่เหลี่ยม (เพราะเราเองก็ไม่ได้จบในสายงานด้านนี้) คงเป็นงานที่ทำให้ทุกวันของเรารู้สึกว่าได้เรียนรู้ ได้เติบโตไปในสิ่งที่เราอยากเป็น
อยากมีชีวิตที่หล่อเลี้ยงความฝัน เพราะเราฟังจากพี่ เพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนชอบพูดว่า "ยิ่งโต.. ความฝันยิ่งเล็กลง"
ข้อนี้เราว่าจริงนะ โลกแห่งความจริงมันจะบอกเราตรงแน่ได้แค่ไหน ตรงนี้ไปได้เท่าไร แต่อย่างน้อยๆ ก็คงต้องมีสักจุดที่เราคิดว่า..
เห้ย !! เราทำมาเพื่อสิ่งนี้แหละ นิ่แหละมันเราเลย... เป็นเหตุผลซักข้อให้บอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
เชื่อว่าทุกคนต้องมี และคงไม่เหมือนกันทุกคนหรอกใช่ไม๊หล่ะ ..คำตอบมันอยู่ในใจของแต่ละคนนั่นแหละ
.... สำหรับเรา เราอยากจะบอกตัวเองว่ายังไปต่อได้ ชีวิตไปได้ไกลกว่านี้
ต่อๆ.. จากความเดิมตอนที่แล้ว .... ชีวิตก็ดำเนินอยู่แบบนั้นจนฝึกงานจบ 3 เดือนที่ตอนแรกคิดว่าช้า กลับหมดไปไวกว่าที่คิด
พอฝึกงานเสร็จครบกำหนด ก็มาทบทวนตัวเองว่าแบบนี้ใช่ตัวเราไม๊ สามเดือนนี้ได้เรียนรู้ว่านิ่อาจไม่ใช่ทางของเรา รึอาจจะใช่แต่เราไม่สู้เอง
จขกท. เลยตัดสินใจ บินลัดฟ้าไปหาเพื่อนอีกเมืองที่น่าจะเจริญพอๆ กับกรุงเทพแต่วุ่นวายลงน้อยหน่อย ไปลองดูว่าจะรู้สึกกลัวเมองใหญ่
เหมือนกรุงเทพไม๊ พอไปถึงทุกอย่างก็ดีนะ แต่ติดอยู่นิดนึงตรงที่นิ่เค้าพูดภาษาอะไร ฟังไม่ออกเลย น้ำตาจะไหล ม่ายยยยยย TT^TT
แต่สุดท้ายก็พยายามหารถแล้วนั้งไปบ้านเพื่อน นั้งรถผิดอีก ต้องจอดลงข้างทางแล้วหารถคันใหม่ประสบการณ์ล้วนๆ
ดีที่คนเมืองนั้นพยายามจะคุยกับเราซึ่งเราก็ฟังไม่ค่อยออก ตอบไม่ค่อยได้ก็เถอะ แต่ก็นับเป็นเรื่องดีดีที่เจอในชีวิต
พอไปอยู่กับเพื่อน เพื่อนก็ไปทำงานตามปกติ จะให้เราอยู่บ้านเฉยๆ คงไม่ใช่ ก็ออกไปหาอะไรทำออกไป
เราก็ออกไปเดินเล่น ดูคน ดูเมือง ดูการใช้ชีวิต ดูความเป็นนอยู่.. จากเดิมเราเที่ยวเราก็ดูแต่สถานที่ท่องเที่ยว
ซื้อฝากก็ซื้อไปงั้นไม่ได้สนใจอะไรมามาย เห็นทุกอย่างเป็นองค์ประกอบรวมๆ
แต่พอหลังจากเราฝึกงานเราก็เห็นการใช้ชีวิตจริงๆ ที่มากกว่าในรั้วมหาวิทยาลัย เราก็เริ่มเปลี่ยมมุมมองนะ
เราดูอาชีพดูความเป็นอยู่ ดูการดำเนินชีวิต หลายๆ อาชีพมันทำให้เป็นสังคมๆ หนึ่ง มีงานมีอาชีพอีกมาก
ที่มันก็หาเงินได้นะ แต่เราแค่ไม่อยากไปทำเพราะอีโก้ในตัวเราเอง สุดท้ายเราไปลงคอสดำน้ำดูปะกาลัง
เป็นการให้ของขวัญตัวเองในตัวหลังจากฝึกงานเสร็จ (หมดกันผิวขาวๆ ที่ได้จากเมืองกรุง อิอิ.. นิ่เราว่าเป็นข้อดีข้อหนึ่ง
ของกรุงเทพเลยนะ ไม่รุ้คิดไปเองป่าว แต่แบบขาวขึ้นนะ หน้านิ่ใสเชียว >///< )
เราก็เห็นอะไรที่ต่างออกไปอีก เห็นอาชีพขับเรือ ไกด์ที่พูดหลายๆ ภาษาได้ ครูสอนดำน้ำ เด็กเรือแจกของที่พยายามจะพูดภาษาญี่ปุ่นกับเรา -0- เพื่อนต่างชาติ คู่รักและมากมาย มันก็ยิ่งตอกย่ำว่าโลกนี้มันกว้างจริงๆ ต้องลองออกเดินทางมันได้อะไรมากจริงๆ
เราเคยอ่านข้อความหนึ่งแล้วชอบ เขาบอกว่า
ชีวิตของคนเราจะต่างกันมากแค่ไหน.. อยู่ที่การเดินทางกับการอ่านหนังสือ
เราว่ามันได้อะไรเยอะจริงนะ ออกไปเห็นออกไปเจอสิ่งใหม่เป็นอะไรที่เปลี่ยนความคิดเปลี่ยนชีวิตเราได้จริงๆ
แต่ก็เนอะคนเราหาโอกาศเที่ยวให้ตัวเองยาก เพราะมักจะติดกับเงื่อนไขชีวิตหลายๆ อย่าง.. ต่างกันออกไป
อยู่ได้ 2 อาทิย์กว่าๆ กลับมากรุงเทพ อยู่ได้ 2 วัน เอิ่มมม.. ความคิดแรกนี่คงไม่ใช่ที่สำหรับเราจริงๆ แล้วมั้ง
สำหรับเรานะ เราว่ากรุงเทพเป็นเมืองน่าเที่ยวนะ แต่ไม่ค่อยน่าอยู่
เอาเป็นว่ากลับบ้านดีกว่า กลับบ้านตอนแรกดีนะ พออยู่ได้สัก 3 เดือนชีวิตมันเริ่มว่างแล้วดิ่ ว่างเกินไปด้วยซ้ำ TT^TT
เลยหางานทำสมัครแถวบ้านเขาก็ไม่เรียก ข้อนี้จริงๆ เลยนะเราว่าต่างจังหวัดหางานยากจริงๆ ใครได้งานทำดีดีนิ่โชคดีนะเนี่ย
............. สุดท้ายก็หนีไม่พ้นกรุงเทพ เราลองไปสมัครที่แรก ก็ได้นะ แต่เราไม่เอา
ไป บริษัทที่สองมีคนชวนไป เราก็ลองไปฟลุ๊คได้อีกแต่เราไม่เอาอีก เราว่านะกรุงเทพนิ่เป็นเมืองแห่งโอกาศการเริ่มงานจริงๆ นะ
งานมีเยอะ หาง่าย มีงานเยอะแยะให้คุณได้เลือกทำ ก็แค่ว่าคุณจะทำรึป่าว
มาครั้งนี้เราได้งานกับบริษัทต่างชาติ ที่กรุงเทพเหมือนเดิม งานดีเลยแหละ เงินดีก็ถือว่าดีมากเลยนะสำหรับเด็กจบใหม่
ไม่มีประสบการณ์ แล้วมีค่านู้นค่านี้ให้อีก แต่สำคัญตรงต้องใช้ภาษา ภาษาและข้อมูลต้องดีจริงๆ โปร 3 เดือนไม่ได้ก็เชิญออก แค่นั้น
... เราเริ่มรู้สึกว่าเออมันดีนะ น่าลองเลยแหละ ถ้าได้นิ่สบาย เก๋เบาๆ ข้อดีมันเยอะที่จะไปนะ เราพูดจริง
... เพื่อนหลายๆ คนบอกอิจฉางานที่เราได้ ช่วงแรกเราดีใจมากเลยแหละ รู้สึกตัวเองโชคดีนะ
... พอเริ่มศึกษาเนื้องานเข้าจริงๆ เครียดเลย รู้สึกว่าความรู้เราไม่พอจะทำงานให้เขา ภาษาเราไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น
คือ จริงๆ เราไม่เก่งเลยนะภาษาอะ แค่โชคดีตอนสัมพาษณ์เค้าถามตรงกับคำถามที่เราเตรียมคำตอบไปก็เท่านั้น
เพราะจริงๆ เราคุยกับต่างชาตินิ่ ส่วนมากคือยิ้ม Yes Yes amm ok right wow good.. - - แบบนี้เลย
เหมือนมันไม่ได้ใช่คำที่ใช้สนทนา เราว่าเราเป็นพวกชอบพูดคำเชื่อมประโยคมากกว่า -0- แล้วจะให้อย่างเราไปทำงานคุยตกลงข้อตงลงต่างๆ
มันก็เกินไปหน่อยมั้ง หลายคนที่อ่านอาจคิดว่าเค้าไม่ให้เธออะไรขนาดนั้นหรอกเธอเพิ่งเข้าทำงาน แต่เราพูดตรงนี้เลยว่าที่แรกเราก็คิดแบบนี้
แต่พอศึกษาจริง มันคือหน้าที่ของตำแหน่งนี้เลย คือต้องทำเลย แบบนี้ไงเราคิดเครียด คือรู้ศักยภาพตัวเองอะ
แล้วเราก็เริ่มคิดอะไรหลายๆ อย่าง จิตฟุ้งฟ่านมาก.. รู้ว่าตัวเองพัฒนาได้ แต่เรารู้สึกว่างานต้องเริ่มทำเลย ไม่มีเวลาให้พัฒนาไวขนาดนั้น
>> เราเริ่มไม่อยากเข้าไปแล้วเค้ามองหน้าว่าทำไม่ได้หรอ แบบนี้ แล้วโดนให้ออกโดยยากที่จะเข้ามาทำอีก
>> เราเริ่มไม่อยากเข้าไปเพราะรู้ว่าศักยภาพตัวเองไม่ถึง
>> เราเริ่มไม่อยากเข้าไปเพราะ อย่างน้อยๆ ถ้าเราไม่เอาตอนนี้ เรายังมีโอกาศเตรียมความพร้อม เรียนรู้ภาษาเพิ่ม
แล้วไปสมัครใหม่ก็ไม่สาย
>> เราเริ่มคิดถึงค่าเริ่มต้นค่าหอ ค่าอยู่กิน ค่ารถ ค่าจิปาถะ ที่แม่ต้องลงทุน ซึ่งเราพูดตรงๆ เลยว่าเราไม่รู้ว่าจะทำได้นานแค่ไหน
เราอาจเข้าไปแล้วทำอะไรไม่ได้เลย โดนเชิญออกตั้งแต่เดือนแรกก็ได้
>> เราเริ่มไม่อยากไปเพราะเราคิดถึงความรู้สึกตอนเราอยู่กรุงเทพ ที่มันไม่ใช่สำหรับเรา
เชื่อไหม เวลาเราเดินเล่นตอนกลางคืนตอนอยู่กรุงเทพ เดินดูคน เดินกลับห้อง เดินมองตึกสูงๆ ตามทาง
เรามักจะเจอคนที่เดินคนเดียว เราก็จะชอบตั้งคำถามในใจนะ ว่าเขาเหงาเหมือนเราไม๊นะ เขาจะอยากกลับบ้านไม๊นะ
รึเขาอยากกลับแต่เขากลับไม่ได้ อะไรแบบนี้ตลอดเลย (ท้องฟ้ากรุงเทพมันมืดไม่เหมือนบ้านเรานะจริงๆ)
>> เราเริ่มคิดถึงตัวเองว่า ต้องกรุงเทพจริงๆ หรอจะเริ่มต้นนิ่ต้องเป็นกรุงเทพจริงๆ หรอ เรากลัวว่าถ้าเกิดเราทำได้จริง
ชีวิตก็ดำเนินอยู่ในเมืองกรุง เหมือนที่หลายๆ คนเป็นคือได้งานแล้ว ก็ทำงานไปเรื่อยๆ ทำไปเพราะกลับบ้านไปก็ไม่มีงาน
ทำจนเหมือนเป้นกับดักขังตัวเองไปแบบไม่รู้ตัว
..... ความคิดมันตีกันไปหมด ใจหนึ่งไปดิ่ชีวิตต้องลอง ได้ใช้ภาษานะพัฒนาตัวเอง ประสบการณ์
ใจหนึ่งก็บอกว่าจำเป็นหรอ ภาษาฝึกที่ไหนก็ได้ ประสบการณ์มีที่เดียวหรอ
.ต้องกรุงเทพหรอ ถึงจะเริ่มได้ ที่อื่นไม่ได้เลยว่างั้น ตอนนี้ได้คุ้มเสียไม๊หล่ะ
.เก่งกว่านี้จะมาอีกก็ไม่สายนะ จะเสี่ยงกะเอา
.ลองมากี่ครั้งก็รู้ว่าไม่ใช่แล้วยังจะพาตัวเองไปอีก
พอก่อนนะ -oo- เดี่ยวมาต่ออีก ^^ ยาวจริงยาวจัง T^T ____________________ To Be Continued
แสดงความคิดเห็น
เด็ก ตจว. VS เมืองกรุง (1.) ประสบการณ์แนวคิด
ก็อ่านๆ เก็บข้อมูลประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนไปเป็นภูมิคุ้มกันให้ตัวเองได้ในหลายๆ เรื่อง
ตรงนี้ต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ร่วมแชร์ปรัสบการณ์กันมานะคะ
(เราเลยอยากลองมาแชร์บ้าง เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อย ^^ ตามแบบการเขียนคำนำ)
..ถึงตรงนี้ขอเข้าเรื่องของเราเลยนะ
คือเราเป็นเด็ก ตจว. ทางภาคเหนือ ใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดมาตลอด เรียนก็เรียนอยู่จังหวัดใกล้ๆ บ้าน
แต่ก็ไปเที่ยวบ่อยๆ ตามจังหวัดต่างๆ เหนือสุด ใต้สุดก็ไป และก็มีไปต่างประเทศบ้าง (ชีวิตเราไม่ได้หรูหรานะ ไปแบบถูกๆ
ถูกที่สุดเท่านี่จะหาได้ คือต่างประเทศนิ่ก็ ลาว พม่า กัมพูชา -.,- อิอิ โซนๆ บ้านเรานี้แหละ) ไปเที่ยวทุกครั้งก็สุขใจทุกครั้ง
.........แต่
มีอยู่ที่หนึ่งที่เราไปอยู่ทีไรไม่เคยรู้สึกว่าใช่เลย คือ กรุงเทพ ตอนเด็กไปเที่ยวกับพี่ก็ร้องไห้กลับบ้านแทบไม่ทัน TT^TT
โตมาไปเที่ยวหลายครั้งก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ สงสัยเราจะเป็น "ภูมิแพ้กรุงเทพ" ด้วยสภาพการจรารจ ด้วยเสียงรถที่ดังมาก
ด้วยผู้คนที่แออัด ด้วยหลายๆ อย่าง (จุดๆ นี้ต้องขอโทษคนกรุงเทพด้วยนะคะ _/\_ )
ด้วยเหตุนี้เอง ตอนเราใกล้จบ ป.ตรี ก็ต้องฝึกงาน เราจึงเลือกฝึกงานกรุงเทพ !!
ด้วยความคิดที่ว่า "เอาวะ เราต้องสู้กับมันซักตั้ง ถ้าอยู่กรุงเทพได้ อยู่ไหนก็อยู่ได้"
และเล้วเราก็เลือกฝึกงานในกรุงเทพเมืองหลวงของไทยไม่ไปไม่รู้ คนเดียว!! เพื่อนสนิทไปฝึกคนละที่กันเลย
ตอนแรกตั้งใจว่าไปอยู่กับพี่ แต่พอไปจริงๆ หอพี่กับที่ฝึกงานนิ่ไกลมาก - - (เด็กบ้านนอกไม่ศึกษาเส้นทางก่อนมาก็งี้)
ก็เลยต้องไปเช่าหออยู่คนเดียวใกล้ๆ ที่ฝึกงาน
พูดเลยยยยยยย... ช่วงแรกร้องไห้แทบทุกวัน แบบคิดตลอดว่ามาคนเดียวตอนฝึกงานทำไม
แกคิดอะไรของแกอยู่ โทษตัวเองโทษนู้นโทษนี้ไปเรื่อย คิดไปถึงอิจฉาเพื่อนที่ได้ไปฝึกงานด้วยกัน
(ขอแนะนำน้องๆ ที่จะฝึกงานนิดนึงนะคะ อย่าเปรี้ยวไปคนเดียวเลย มีเพื่อนไปต่างที่อุ่นใจกว่า แต่ถ้าแกร่งพอก็เอาเลย เต็มที่ สู้ๆ ^^
..เพิ่มเติมเพื่อนเราที่ไปคนเดียวหลายๆ คนก็ร้องไห้เหมือนกัน สุดท้ายโทรคุยกันเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน ให้กำลังใจกันก็ผ่านมาได้)
ตอนมาก็มาแบกกระเป๋าเสื้อผ้ากับโน็ตบุ๊กมา แค่นั้น.!!
ไม่อยากเป็นภาระให้พ่อแม่มาส่ง มาคนเดียวเก๋ๆ เป็นไงมาถึงหอก็เป็นห้องมีเตียง ตู้ โต๊ะ น้ำอุ่น ที่นอน จบ!!
ไม่มีหมอน ผ้าห่มอะไร ไม่มี!! เงิบ... ต้องหาซื้อใหม่ ก็เอาแบบ หมอนถูกๆ ผ้าบางๆ เอาว่าทนอยู่สามเดือนพอ
หลังๆ มามันก็ชินนะ ก็อยู่ได้ไม่อะไรมากมาย ฝึกงาน 6 วัน ต่อสัปดาห์ จันทร์ -เสาร์
พอวันเสาร์ฝึกงานเสร็จเราก็นั้งรถแท็กซี่ -ต่อ BTS -ต่อ MRT -ต่อพี่วินมอร์ไซ
มาหาพี่ มีพี่พาไปเที่ยววันอาทิตย์ เช้าวันจันทร์ก็นั้งพี่วินมอร์ไซ -ต่อ MRT -ต่อ BTS -ต่อรถแท็กซี่ ไปฝึกงานต่อ ^^
>>ความรู้สึกตอนไปเที่ยว พี่ชอบพาเดินห้าง ไปหาของกิน เดินดูของ
คือเราคิดว่า คือไม่มีอะไรสร้างสรรค์กว่านี้แล้วหรอวะ กินก็พอเข้าใจว่ามันมีของกินให้เลือกเยอะ
แต่แบบนี้ไปกินเอาตามห้างต่างจังหวัดก็มี ของแบรนแบบนี้มันก็มีตามห้างทั่วไปอะ ของเดินดูทำไม
เดินดูไปก็ไม่มีตังซื้อ เดินไปงั้นค่าเวลา?? เดินห้างนู้น ต่อห้างนี่ ห้างติดๆ กันไปหมด คือมันก็แค่เดินตากแอร์
แต่งตัวดีๆ เดินเล่นแค่นี้!???? นิ่คิดว่าไมไม่ไปวัดวะ กรุงเทพวัดสวยๆ เยอะแยะ ไปหอศิลป์ดิ่ พาไปหน่อย
ไปหอดูดาวก็ได้ คำตอบได้คือ พี่ก็ไม่เคยไปเหมือนกัน -0- นิ่ก็ซึ้งใจไปเลย เพราะพี่มาอยู่กรุงเทพหลายปี
แต่ไม่เคยไปชมของดีดีในกรุง ตัวเราเองเคยไปมาแล้ว ชมวัดล่องเรืองแต่ก็อยากจะไปอีกไง แล้วก็ยังมีอีกหลายที่ยังไม่ได้ไปด้วย
ก็เลยอยากไป คิดว่าคนที่อยู่กรุงเทพนานๆ จะพอรู้ที่ไหนได้ ผิดหวังไป T^T
ไม่ใช่แค่พี่เรานะ เพื่อนสมัยมัธยมจบ ม.6 มาต่อในกรุงนิ่ก็ยังไม่ไปเลยที่เที่ยวดังๆ ของกรุงเทพระดับโลกที่ฝรั่งเมืองนอกเมืองนาเขามาดูกัน
ถามที่น่าเที่ยวดันไม่รู้ จักไม่อยากไป ไปไมร้อน -_-" แต่ถามร้านเหล้านิ่รู้ดี รู้ทั้งซอย เงิบดิ่
>> ความรู้สึกที่ได้ตอนฝึกงานคือ "เห้ยยยยยย.. นิ่ชีวิตหรอวะ อยู่แบบนี้เค้าเรียกว่าใช้ชีวิตหรอวะ"
ตื่นเช้าอาบน้ำแต่งตัว ไปทำงาน นั้งไปวันละ 8 ชม.อย่างน้อย (เชื่อว่าน้อยที่นะที่จะเลิกงานตรงเวลาเป๊ะๆ)
ในห้องหน้าคอมพิวเตอร์ หัวหน้าไปอยู่ก็แอบเล่น FB เราเอาเวลา 8 ชม.นี้มาทำงานสานฝันให้คนที่ให้เงินเราเป็นเดือนๆ
ชีวิตอยู่ในห้องๆ เหลี่ยมๆ กับหน้าจอคอมเหลี่ยม 8 ชม.อย่างน้อย นิ่เรียกว่าใช้ชีวิตแล้วหรอ กลับไปห้องก็ไม่มีไรมาก เล่นคอมบ้าง
อ่านสือ กินข้าว อาบน้ำ นอน ชีวิตอะของเรานะโว้ย จะเอาไปไว้ในห้องเหลี่ยมๆ เพื่อแลกกับเงินเป็นเดือนๆ หรอวะ
ชีวิตเราจะมีเวลาอีกเท่าไร ถ้าพรุ่งนี้เกิดเครียดสมองระเบิด ช็อกไปอะ ชีวิตจบลงแค่ห้องเหลี่ยมๆ เวลาในชีวิตเรามีเท่าไร เรารู้หรอ
ไม่มีใครรู้หรอก เราไม่ได้มีบุญถึงพระพุทธเจ้าที่จะรู้ว่าเวลาที่พระองค์จะดับขันธ์ เวลาในตอนนี้มีเท่าไรคุ้มแล้วหรอที่ทำอยู่
ถ้าพรุ่งนี้เราตาย เราจะมีเรื่องเสียดายที่ยังไม่ได้ทำอีกเยอะแค่ไหน บางทีเดินๆ ยิ้มอยู่รถที่ไหนไม่รู้พุ่งมาชน นิ่งไปใครจะรู้
ชีวิตเราน่าจบต้องดำเนินไปแบบนี้หรอ เป็นมนุษย์เงินเดือนแบบนี้หรอ ดำเนินชีวิตเหมือนสายส่งไก่ในโรงค่าสัตย์หรอ
เราคิดนะว่าคนที่ทำงานอะ ทำงานจริงๆ คนที่ไม่ได้โชคดีได้งานที่ตัวเองอยากทำจริงๆ คงเหมือนโดนซูบชีวิต
ซูบความฝันไปทีละนิด แรงบรรดาลใจในชีวิตคงค่อยๆ หายไป พลังงานแต่ละวันก็หมดไปกับการทำงานกลับมาก็คงไม่อยากทำไรมากมาย แค่อยากพักผ่อนละมั้ง ความสดชื่นใสสดของชีวิตอยู่ตรงไหน
อย่างเราเองแค่ฝึกงานนะมันก็แค่ 3 เดือนก็เสร็จ ถ้าทำงานจริงๆ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราต้องอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่
.. ...จนถึงเมื่อตอนที่เขาไล่เราออก รึถึงตอนที่เราทนไม่ไหวลาออกเอง!??
แต่บางทีชีวิตคนเราก็ไม่ได้มีทางเลือกมากมาย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ยังมีฝันนะคะ
(จขกท. อายุยังน้อย ความคิดอาจจะแคบและมองโลกในแง่ลบเกินไป ยังไงช่วยๆ เปิดตาให้เราได้เห็นมุมต่างด้วยนะคะ)
..............................เรื่องราวยังคงมีต่อ แต่ถ้าพิมเยอะกว่านี้กลัวว่าผู้อ่านจะตาลายซะก่อน ดังนั้นเดี๋ยวมาต่อนะคะ To Be Continued