Dark Tales of London: ทวิฆาต (The Man Who Died Twice) - ตอนที่ 3

กระทู้สนทนา
ทวิฆาต (The Man Who Died Twice)
บทนำ : http://ppantip.com/topic/32351131
ตอนที่ 1  : http://ppantip.com/topic/32376238
ตอนที่ 2  : http://ppantip.com/topic/32406733

------------------------------------------------------------------------------


(3)

ฟลีทสตรีท, ลอนดอน, 21 มกราคม 1889



“ฉันอยากวาดภาพหน้าแกตอนนี้เสียจริง”


เบนเน็ตต์ ดาลบี้ เพื่อนที่เช่าห้องชุดนี้ร่วมกับข้าพเจ้ามาเกินกึ่งศตวรรษเปรยลอดกระดานวาดภาพที่ตั้งอยู่บนตักของเขา ซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟาหน้าเตาผิงออกมา


เขาเกิดที่ซอลแทร์ ทางยอร์กเชียร์ตะวันตก (1) ด้วยพื้นเพเป็นชาวยอร์กเชียร์เหมือนกัน มีความชอบและนิสัยบางอย่างที่เข้ากันได้ จึงพูดคุยกันได้ถูกคอและมีความสนิทสนมกันดี แม้โดยมากแล้วจะต่างคนต่างอยู่เป็นส่วนใหญ่ด้วยการงานที่แตกต่างกัน เพราะเขาเป็นจิตรกรที่มีชื่อด้านวาดภาพเหมือนและเขียนภาพประกอบหนังสือที่มีชื่อพอตัว


ตามปกติแล้ว เขาจะทำงานอยู่ในห้องของตัวเองเป็นหลัก จะออกมาบ้างเฉพาะช่วงรับประทานอาหารซึ่งมิสซิสแอ็บเนอร์ เจ้าของบ้านเช่าของเราจัดให้ แต่ถ้าไม่ทำงานอยู่กับบ้าน เขาก็อาจหายออกไปเป็นวัน ๆ เพราะต้องออกไปวาดภาพผู้ว่าจ้างถึงที่บ้าน หรือไปส่งภาพวาดที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกครั้งที่ออกไป สิ่งที่เขาทำเป็นประจำอย่างขาดไม่ได้ คือ การไปเยี่ยมเยียน ‘แม่เทพธิดาแห่งแรงบันดาลใจ’ ทั้งหลายของเขา ซึ่งเป็นเหตุให้เขายังครองตัวเป็นโสดและยังเช่าบ้านอยู่กับข้าพเจ้า แทนที่จะแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวกับผู้หญิงสักคนที่เขาไปมาหาสู่ นำเงินที่ได้ซื้อบ้านดี ๆ แถบชานเมืองสักหลัง และจ้างคนรับใช้สักสองสามคนเพื่อความสะดวกสบายสำหรับตนเอง


“นับจากโมนาลิซาของดาวินชี ฉันไม่ได้เห็นหน้าใครที่แสดงอารมณ์ซับซ้อนหลากหลายอย่างนี้มานานนักหนาแล้ว”


“ขนาดนั้นเทียวรึ” ข้าพเจ้าเลิกคิ้ว แขวนหมวกกับเสื้อโค้ตไว้กับตะขอบนราวข้างประตูห้อง


“เออ ซี… ถ้าฉันไม่รู้ว่าแกเป็นพ่อม่ายที่ยังไม่ยอมแต่งงานใหม่เพราะยังไม่ลืมเมียเก่า ฉันคงนึกว่าแกถูกคนรักหักอก” เขาว่า


“แกก็ช่างเปรียบฉันเป็นตัวละครในนิยายประโลมโลกไปเสียได้ แต่ที่แกพูดมาก็มีส่วนถูก การได้รู้ความจริงบางอย่าง จะเป็นความสุขก็ไม่ใช่ ทุกข์ก็ไม่เชิง ฉันเลยไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร”


ข้าพเจ้าถอดเสื้อแจ็คเก็ตที่สวมอยู่ออกพาดกับพนัก หย่อนตัวลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับตำแหน่งที่เขานั่ง แล้วทิ้งตัวนอนไปตามความยาวของที่นั่ง ยกแขนทั้งสองข้าง ประสานมือเหยียดขึ้นเหนือศีรษะ บิดตัวไล่ความเมื่อยขบจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน


“หยุด ไมเคิล” เขาตะโกนออกมาจากหลังกระดานวาดภาพ และถลึงตาใส่เมื่อเห็นว่าข้าพเจ้ากำลังจะเปลี่ยนท่า “อย่าขยับ ค้างไว้แบบนั้นจนกว่าฉันจะบอกให้แกขยับได้”


“ให้ตายเถอะ” ข้าพเจ้าบ่น แต่ก็ทำตามคำสั่งของเขา “นี่แกวาดรูปอะไร ถึงได้มากะเกณฑ์ให้ฉันทำท่าพิกลอย่างนี้”


“เอาน่า อย่าเพิ่งถาม” เขาว่า “แกจะขยับก็ได้ แต่ช่วยถลกแขนเสื้อแกขึ้นให้ฉันเห็นท่อนแขนแกชัด ๆ หน่อย”


“แกตอบคำถามของฉันก่อน แล้วฉันจึงจะทำให้แก” ข้าพเจ้าต่อรอง และเปลี่ยนจากท่านอนเป็นนั่ง “ปกติ ถ้าแกไม่วาดภาพประกอบเรื่อง แกก็มักจะวาดแต่รูปเหมือนคนนั่งยืนนิ่ง ๆ หรือผู้หญิงสวย ๆ ไม่ใช่รึ แล้วนึกอย่างไร ถึงได้อยากวาดอะไรแปลก ๆ อย่างแขนคนขึ้นมาได้”


“ที่วาดแขนของแกเพราะจะนำไปใช้อ้างอิงกับภาพหลักที่ฉันจะวาดต่างหากเล่า” เขาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้หน้าเตาผิง คว้าหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมาโบกไปมา “แกอ่านข่าวคดีฆาตกรรมวันฉลองนักบุญเซบาสเตียนแล้วหรือยัง นั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องลุกขึ้นมาเขียนภาพนักบุญผู้นี้”


ข้าพเจ้ารับหนังสือพิมพ์เดลีเมล์จากเขามาอ่านพาดหัวข่าว “ฉันเป็นคนทำคดีนี้เอง มันออกจะลึกลับซับซ้อนอยู่ และเป็นเหตุผลที่ฉันทำหน้าหนักใจกลับบ้านมาให้แกทัก แต่ฉันยังไม่เห็นว่า มันชวนให้สร้างสรรค์งานศิลปะได้ตรงไหน คงมีเพียงชื่อของผู้ตายที่บังเอิญไปตรงกับวันที่กำหนดให้เป็นวันฉลองนักบุญท่านนี้เท่านั้น ซึ่งฉันไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมศิลปินอย่างพวกแกถึงได้ชมชอบนักบุญเซบาสเตียนกันนัก เรนีวาดเขาออกมาถึงหกเจ็ดรูป ไหนคิงสลีย์จะเอาไปเขียนบรรยายไว้ในเรื่องอัลตัน ล็อค และออสการ์ ไวล์ด (2) ยังเอาไปเขียนเป็นบทกวีอีก”


“ฉันไม่แปลกใจเลยที่แกนิยมนิยายมองโลกในแง่ร้ายของดิกเคนส์ (3) มากกว่าใครอื่น” เบนเน็ตต์ ดาลบี้มองข้าพเจ้าอย่างเหนื่อยหน่าย “ความลึกลับและเรื่องราวที่เปิดโอกาสให้ตีความได้มากมายนี่ละ คือ จุดน่าสนใจของตำนานนักบุญเซบาสเตียน”


“อย่างไรกัน” ข้าพเจ้าปลดกระดุมข้อมือเสื้อเชิ้ต และพับขึ้นเหนือข้อศอกทีละข้างตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขา “ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรมากไปกว่าผลที่ลงเอยออกมาเป็นภาพมรณสักขีหนุ่มน้อยรูปงามที่ถูกธนูยิง”


“ยกแขนขวาของแกขึ้นหน่อยซิ งอข้อศอกอีกนิด แล้วค้างไว้อย่างนั้นสักครู่” เพื่อนของข้าพเจ้าบอก หยิบเอากระดานและกระดาษสำหรับร่างรูปขึ้นมาพาดกับตัก แล้วลงมือเขียนภาพแขนและมือของข้าพเจ้า “ที่แกว่ามาก็จริงอยู่ แต่นอกจากภาพคนถูกธนูยิงแล้ว แกเห็นอะไรจากในรูปอีกบ้าง เช่น ความรู้สึกของคนในภาพ”


ข้าพเจ้านิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง “จากงานของเรนีที่ฉันเห็นที่ดัลวิช สีหน้าของเขามีทั้งความเจ็บปวด ความกลัว ความสิ้นหวัง ความปลงตก และความสงสัยระคนกัน ส่วนงานประติมากรรมของแบร์นินี เห็นได้ชัดทีเดียวว่า เป็นความเจ็บปวดที่มีความสุขแฝงอยู่”


“การถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนของนักบุญเซบาสเตียนยามถูกธนูยิงเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของศิลปิน” เบนเน็ตต์บอก “การวาดชายหนุ่มที่งดงามทั้งใบหน้าและสรีระในสภาพเกือบเปลือยเปล่า กล้ามเนื้อบิดเกร็งด้วยความเจ็บปวด แต่สีหน้ากลับมีเปี่ยมด้วยความสุข เพราะตกลงใจที่จะแบกรับความทรมานจากลูกศรที่ทิ่มแทงด้วยศรัทธาบริสุทธิ์ ให้ออกมาแตกต่างจากความเจ็บปวดแต่สุขสมของเจ้าสาวในคืนแรกของการเข้าหอกับชายที่หล่อนยินดีพลีให้ทั้งกายใจ ไม่ใช่สิ่งที่อาจกระตุ้นให้ศิลปินอยากออกมาแสดงฝีมือของตนเพื่อพิสูจน์ว่าความศรัทธา ศิลปะ และความงามตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกันได้หรอกหรือ”


“เกร็งข้อมืออีกหน่อยซิ เพื่อนรัก” เบนเน็ตต์บอก ใช้มือข้างที่ถือดินสอโบกกำกับทิศทางของข้าพเจ้า “สีหน้าแกตอนนี้ เหมือนอยากถามสวรรค์เบื้องบนว่า ‘ความทรมานของแกจะสิ้นสุดลงเมื่อใด’ จริง ๆ ให้ตาย”


“แทนที่จะถามสวรรค์ ฉันขอแกให้รีบวาดให้เสร็จเสียยังจะง่ายกว่า” ข้าพเจ้าบอก แอบขยับข้อมือไล่ความปวดเมื่อย “เท่าที่ฉันรู้ นักบุญเซบาสเตียนได้ชื่อว่า เป็นมรณสักขีผู้ยอมตายเพื่อพิสูจน์ความมั่นคงแห่งศรัทธาถึงสองครั้ง เพราะเขารอดตายจากการถูกยิงด้วยธนู แต่มาตายจริง ๆ ตอนที่ถูกทุบตี ก่อนศพจะถูกนำไปทิ้งในท่อระบายน้ำ แล้วทำไมพวกศิลปินถึงชอบวาดตอนที่เขาถูกยิงด้วยธนู แทนที่จะวาดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาถึงแก่มรณะจริง ๆ เล่า”


“คำถามของแกน่าสนใจ… แต่ก็มีคนวาดภาพตอนที่เขาถึงแก่ความตายน้อยมากจริง ๆ” เขาออกปาก ในขณะที่มือที่จับดินสอนั้นยังคงวาดภาพต่อไป


“แกลองคิดดูนะ ไมเคิล” เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง หลังจากนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง “ระหว่างการวาดชายหนุ่มที่ฟื้นจากการบาดเจ็บถูกทหารรุมทุบตีจนตายโดยไม่มีทางสู้ แล้วถูกโยนทิ้งลงไปในท่อระบายน้ำเหมือนสิ่งของที่ไม่มีราคา กับการวาดนายทหารราชองครักษ์ที่มีกำลังสู้ได้ แต่ยอมถูกจับมัด ยอมเป็นเป้านิ่งให้เพื่อนร่วมกองทัพใช้ธนูยิงทั่วร่าง ถูกปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย แต่อดทนจนมีชีวิตรอด กลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่สั่งฆ่าตนเป็นครั้งที่สองได้ อย่างไหนมีเรื่องราวที่ดึงดูดใจและสร้างอารมณ์สะเทือนใจได้มากกว่า”


“จริงของแก” ข้าพเจ้าพยักหน้าเห็นด้วย “ทั้งที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนคนเดียวกันแท้ ๆ”


“ใช่ ทั้งที่เกิดขึ้นกับคนคนเดียวกัน และทั้งที่เหตุการณ์แรกเป็นจุดจบของเรื่องทั้งหมดด้วยซ้ำไป” เขาว่า “เอาแขนลงได้ ฉันให้แกพักก่อน ประเดี๋ยวค่อยวาดต่อ”


คำอนุญาตของเขาทำให้ข้าพเจ้าถอนใจยาวด้วยความโล่งอก ลดแขนลง ใช้มืออีกข้างนวดต้นแขนที่เริ่มเกร็ง เพราะค้างอยู่ในท่าเดิมนานเกินไป “นักบุญเซบาสเตียนที่แกคิดจะวาดเป็นอย่างไร”

“เป็นอย่างไรน่ะหรือ” เบนเน็ตต์ ดาลบี้หมุนดินสอในมือเล่น “ไม่ใช่เด็กหนุ่มหน้าสวยอย่างที่นิยมวาดกันในสมัยเรอเนซองส์ดอก แต่เป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วอย่างรูปหินอ่อนของแบร์นินี่ หรือจิออร์เก็ตติเสียมากกว่า และไม่ใช่ตาแก่หนวดเฟิ้มอย่างที่วาดกันมาในสมัยแรก ๆ หรือยุคกลางแน่ ๆ”


สิ่งที่เขาพูดสะกิดความสนใจของข้าพเจ้าอยู่มาก “นักบุญคนเดียวกัน แต่ทำไมถึงได้วาดออกมาต่างกันขนาดนั้นเล่า”


“เพราะไม่มีใครรู้ว่านักบุญเซบาสเตียนเกิดเมื่อใด รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงแต่รู้ว่าเขาตายเมื่อใดเท่านั้น อายุและหน้าตาของเขาจึงถูกกำหนดโดยศิลปินทั้งสิ้น ดังนั้น แม้จะมีชื่อว่าภาพว่านักบุญเซบาสเตียน รูปร่าง หน้าตา และอายุของนักบุญเซบาสเตียนในภาพอาจแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะก่อนที่จะถูกเปิดเผยว่าเขาเป็นคริสตชน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถูกฆ่าถึงสองครั้งของเขา”


“การที่คนคนหนึ่งแฝงตัวอยู่ในกองทัพโรมัน เป็นข้าราชสำนักที่ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิไดโอคลีเชียนซึ่งมุ่งปราบปรามและกวาดล้างผู้นับถือศาสนาคริสต์ จนขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่มีอิทธิพลในกองทัพ สามารถเจรจาต่อรองกับผู้คุมเพื่อที่จะช่วยเหลือชาวคริสต์อื่น ๆ ที่ถูกคุมขังโดยที่ไม่มีใครระแคะระคายมานานมาก และอาจปิดปากคนที่รู้ความลับของเขาได้ ต้องอาศัยเวลา ประสบการณ์ และความสามารถที่ไม่ธรรมดา ทั้งต้องใช้ความกล้าและไหวพริบปฏิภาณอย่างยิ่งยวด”


“สิ่งที่แกพูดทำให้ฉันนึกภาพได้ว่า เขาเป็นสายลับในหมู่ศัตรู เป็นวีรบุรุษในหมู่ชาวคริสต์ที่ต้องเผชิญชะตากรรมที่โหดร้าย” คำกล่าวของเขาทำให้ข้าพเจ้าฉุกใจคิดเรื่องบางอย่างได้ “แต่ถ้ามองในมุมของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน นักบุญเซบาสเตียนก็คือผู้ที่ทรยศที่อาศัยความไว้วางใจที่พระองค์มีให้ด้วยการช่วยเหลือคนที่พระองค์ต้องการกำจัด”


“ฉันถึงบอกแกอย่างไรเล่า ว่าตอนที่นักบุญเซบาสเตียนแฝงตัวอยู่ในหมู่ชาวโรมันเพื่อแอบช่วยพวกพ้องของตัวเอง และตอนที่เขาถูกไดโอคลีเชียนจับได้ว่าเป็นชาวคริสต์บีบหัวใจกว่าตอนที่ถูกธนูยิงเป็นไหน ๆ” เบนเน็ตต์ว่า “แต่ถ้าจะวาดให้แสดงความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ฉันยอมรับว่าวาดภาพสื่อความออกมาได้ยาก”


“ถ้าแกจะกรุณา ขอยกแขนขึ้นอีกทีเถอะ และอย่าขยับ ฉันวาดใกล้จะเสร็จแล้ว”เขา สั่งข้าพเจ้า แล้วก้มลงวาดภาพเก็บรายละเอียดที่ต้องการ ก่อนจะบอกให้ข้าพเจ้าเอามือลงได้


“แกดูจริงจังกับเรื่องนี้เสียยิ่งกว่ารับงานวาดภาพเหมือนที่แกถนัด” ข้าพเจ้าตั้งข้อสังเกต ซึ่งเขาไม่ได้โต้แย้งอะไร หากข้าพเจ้ารู้สึกว่า เขาดูเคร่งเครียดกับการทำงานของตนยิ่งกว่าครั้งไหน “แกคงได้อ่านจากข่าวแล้วว่า คนตายในคดีของฉันมีสีหน้าอย่างไร แต่ถ้ายัง ฉันก็จะบอกให้ว่า เขามีสีหน้าโล่งใจและยินดีเมื่อความตายมาถึงตัว ซึ่งอาจเหมือนกับนักบุญเซบาสเตียนในยามที่รู้ว่าต้องจบชีวิตลงในไม่ช้า… แกคิดว่า สีหน้าที่โล่งใจและยินดีอย่างนั้นเกิดขึ้นจากอะไร”


เบนเน็ตต์ ดาลบี้วางกระดานร่างภาพลงกับโต๊ะ นั่งกอดอก จ้องมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม และถ้ามองไม่ผิด ดูเหมือนจะมีความวิตกกังวลบางอย่างที่ทำให้เขาผิดแปลกไปจากเดิม เพราะโดยปกติแล้ว เขามักจะแสดงออกด้วยพลังอันล้นเหลือ โดยเฉพาะกับภาพที่เขาตั้งใจจะวาด คำถามเพียงคำถามเดียว เขาอาจตอบยาวได้หลายนาทีด้วยซ้ำไป แต่นี่ เขาดูไม่กระตือรือร้นกับการวาดภาพที่เขาบอกว่าจะวาดเลยแม้แต่น้อย


--------------------------------------------------------
(1) Saltaire, West Yorkshire
(2) Oscar Wilde กวี นักเขียนบทละคร และผู้เขียนนิยายเรื่อง The Picture of Dorian Gray
(3) Charles Dickens นักเขียน และนักวิจารณ์สังคม นิยายที่เป็นที่รู้จัก เช่น Christmas Carol, Oliver Twist, Little Dorritt เป็นต้น



(มีต่อนะคะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่