ทวิฆาต (The Man Who Died Twice)
บทนำ :
http://ppantip.com/topic/32351131
ตอนที่ 1 :
http://ppantip.com/topic/32376238
ตอนที่ 2 :
http://ppantip.com/topic/32406733
------------------------------------------------------------------------------
(3)
ฟลีทสตรีท, ลอนดอน, 21 มกราคม 1889
“ฉันอยากวาดภาพหน้าแกตอนนี้เสียจริง”
เบนเน็ตต์ ดาลบี้ เพื่อนที่เช่าห้องชุดนี้ร่วมกับข้าพเจ้ามาเกินกึ่งศตวรรษเปรยลอดกระดานวาดภาพที่ตั้งอยู่บนตักของเขา ซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟาหน้าเตาผิงออกมา
เขาเกิดที่ซอลแทร์ ทางยอร์กเชียร์ตะวันตก
(1) ด้วยพื้นเพเป็นชาวยอร์กเชียร์เหมือนกัน มีความชอบและนิสัยบางอย่างที่เข้ากันได้ จึงพูดคุยกันได้ถูกคอและมีความสนิทสนมกันดี แม้โดยมากแล้วจะต่างคนต่างอยู่เป็นส่วนใหญ่ด้วยการงานที่แตกต่างกัน เพราะเขาเป็นจิตรกรที่มีชื่อด้านวาดภาพเหมือนและเขียนภาพประกอบหนังสือที่มีชื่อพอตัว
ตามปกติแล้ว เขาจะทำงานอยู่ในห้องของตัวเองเป็นหลัก จะออกมาบ้างเฉพาะช่วงรับประทานอาหารซึ่งมิสซิสแอ็บเนอร์ เจ้าของบ้านเช่าของเราจัดให้ แต่ถ้าไม่ทำงานอยู่กับบ้าน เขาก็อาจหายออกไปเป็นวัน ๆ เพราะต้องออกไปวาดภาพผู้ว่าจ้างถึงที่บ้าน หรือไปส่งภาพวาดที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกครั้งที่ออกไป สิ่งที่เขาทำเป็นประจำอย่างขาดไม่ได้ คือ การไปเยี่ยมเยียน ‘แม่เทพธิดาแห่งแรงบันดาลใจ’ ทั้งหลายของเขา ซึ่งเป็นเหตุให้เขายังครองตัวเป็นโสดและยังเช่าบ้านอยู่กับข้าพเจ้า แทนที่จะแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวกับผู้หญิงสักคนที่เขาไปมาหาสู่ นำเงินที่ได้ซื้อบ้านดี ๆ แถบชานเมืองสักหลัง และจ้างคนรับใช้สักสองสามคนเพื่อความสะดวกสบายสำหรับตนเอง
“นับจากโมนาลิซาของดาวินชี ฉันไม่ได้เห็นหน้าใครที่แสดงอารมณ์ซับซ้อนหลากหลายอย่างนี้มานานนักหนาแล้ว”
“ขนาดนั้นเทียวรึ” ข้าพเจ้าเลิกคิ้ว แขวนหมวกกับเสื้อโค้ตไว้กับตะขอบนราวข้างประตูห้อง
“เออ ซี… ถ้าฉันไม่รู้ว่าแกเป็นพ่อม่ายที่ยังไม่ยอมแต่งงานใหม่เพราะยังไม่ลืมเมียเก่า ฉันคงนึกว่าแกถูกคนรักหักอก” เขาว่า
“แกก็ช่างเปรียบฉันเป็นตัวละครในนิยายประโลมโลกไปเสียได้ แต่ที่แกพูดมาก็มีส่วนถูก การได้รู้ความจริงบางอย่าง จะเป็นความสุขก็ไม่ใช่ ทุกข์ก็ไม่เชิง ฉันเลยไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร”
ข้าพเจ้าถอดเสื้อแจ็คเก็ตที่สวมอยู่ออกพาดกับพนัก หย่อนตัวลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับตำแหน่งที่เขานั่ง แล้วทิ้งตัวนอนไปตามความยาวของที่นั่ง ยกแขนทั้งสองข้าง ประสานมือเหยียดขึ้นเหนือศีรษะ บิดตัวไล่ความเมื่อยขบจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน
“หยุด ไมเคิล” เขาตะโกนออกมาจากหลังกระดานวาดภาพ และถลึงตาใส่เมื่อเห็นว่าข้าพเจ้ากำลังจะเปลี่ยนท่า “อย่าขยับ ค้างไว้แบบนั้นจนกว่าฉันจะบอกให้แกขยับได้”
“ให้ตายเถอะ” ข้าพเจ้าบ่น แต่ก็ทำตามคำสั่งของเขา “นี่แกวาดรูปอะไร ถึงได้มากะเกณฑ์ให้ฉันทำท่าพิกลอย่างนี้”
“เอาน่า อย่าเพิ่งถาม” เขาว่า “แกจะขยับก็ได้ แต่ช่วยถลกแขนเสื้อแกขึ้นให้ฉันเห็นท่อนแขนแกชัด ๆ หน่อย”
“แกตอบคำถามของฉันก่อน แล้วฉันจึงจะทำให้แก” ข้าพเจ้าต่อรอง และเปลี่ยนจากท่านอนเป็นนั่ง “ปกติ ถ้าแกไม่วาดภาพประกอบเรื่อง แกก็มักจะวาดแต่รูปเหมือนคนนั่งยืนนิ่ง ๆ หรือผู้หญิงสวย ๆ ไม่ใช่รึ แล้วนึกอย่างไร ถึงได้อยากวาดอะไรแปลก ๆ อย่างแขนคนขึ้นมาได้”
“ที่วาดแขนของแกเพราะจะนำไปใช้อ้างอิงกับภาพหลักที่ฉันจะวาดต่างหากเล่า” เขาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้หน้าเตาผิง คว้าหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมาโบกไปมา “แกอ่านข่าวคดีฆาตกรรมวันฉลองนักบุญเซบาสเตียนแล้วหรือยัง นั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องลุกขึ้นมาเขียนภาพนักบุญผู้นี้”
ข้าพเจ้ารับหนังสือพิมพ์เดลีเมล์จากเขามาอ่านพาดหัวข่าว “ฉันเป็นคนทำคดีนี้เอง มันออกจะลึกลับซับซ้อนอยู่ และเป็นเหตุผลที่ฉันทำหน้าหนักใจกลับบ้านมาให้แกทัก แต่ฉันยังไม่เห็นว่า มันชวนให้สร้างสรรค์งานศิลปะได้ตรงไหน คงมีเพียงชื่อของผู้ตายที่บังเอิญไปตรงกับวันที่กำหนดให้เป็นวันฉลองนักบุญท่านนี้เท่านั้น ซึ่งฉันไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมศิลปินอย่างพวกแกถึงได้ชมชอบนักบุญเซบาสเตียนกันนัก เรนีวาดเขาออกมาถึงหกเจ็ดรูป ไหนคิงสลีย์จะเอาไปเขียนบรรยายไว้ในเรื่องอัลตัน ล็อค และออสการ์ ไวล์ด
(2) ยังเอาไปเขียนเป็นบทกวีอีก”
“ฉันไม่แปลกใจเลยที่แกนิยมนิยายมองโลกในแง่ร้ายของดิกเคนส์
(3) มากกว่าใครอื่น” เบนเน็ตต์ ดาลบี้มองข้าพเจ้าอย่างเหนื่อยหน่าย “ความลึกลับและเรื่องราวที่เปิดโอกาสให้ตีความได้มากมายนี่ละ คือ จุดน่าสนใจของตำนานนักบุญเซบาสเตียน”
“อย่างไรกัน” ข้าพเจ้าปลดกระดุมข้อมือเสื้อเชิ้ต และพับขึ้นเหนือข้อศอกทีละข้างตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขา “ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรมากไปกว่าผลที่ลงเอยออกมาเป็นภาพมรณสักขีหนุ่มน้อยรูปงามที่ถูกธนูยิง”
“ยกแขนขวาของแกขึ้นหน่อยซิ งอข้อศอกอีกนิด แล้วค้างไว้อย่างนั้นสักครู่” เพื่อนของข้าพเจ้าบอก หยิบเอากระดานและกระดาษสำหรับร่างรูปขึ้นมาพาดกับตัก แล้วลงมือเขียนภาพแขนและมือของข้าพเจ้า “ที่แกว่ามาก็จริงอยู่ แต่นอกจากภาพคนถูกธนูยิงแล้ว แกเห็นอะไรจากในรูปอีกบ้าง เช่น ความรู้สึกของคนในภาพ”
ข้าพเจ้านิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง “จากงานของเรนีที่ฉันเห็นที่ดัลวิช สีหน้าของเขามีทั้งความเจ็บปวด ความกลัว ความสิ้นหวัง ความปลงตก และความสงสัยระคนกัน ส่วนงานประติมากรรมของแบร์นินี เห็นได้ชัดทีเดียวว่า เป็นความเจ็บปวดที่มีความสุขแฝงอยู่”
“การถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนของนักบุญเซบาสเตียนยามถูกธนูยิงเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของศิลปิน” เบนเน็ตต์บอก “การวาดชายหนุ่มที่งดงามทั้งใบหน้าและสรีระในสภาพเกือบเปลือยเปล่า กล้ามเนื้อบิดเกร็งด้วยความเจ็บปวด แต่สีหน้ากลับมีเปี่ยมด้วยความสุข เพราะตกลงใจที่จะแบกรับความทรมานจากลูกศรที่ทิ่มแทงด้วยศรัทธาบริสุทธิ์ ให้ออกมาแตกต่างจากความเจ็บปวดแต่สุขสมของเจ้าสาวในคืนแรกของการเข้าหอกับชายที่หล่อนยินดีพลีให้ทั้งกายใจ ไม่ใช่สิ่งที่อาจกระตุ้นให้ศิลปินอยากออกมาแสดงฝีมือของตนเพื่อพิสูจน์ว่าความศรัทธา ศิลปะ และความงามตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกันได้หรอกหรือ”
“เกร็งข้อมืออีกหน่อยซิ เพื่อนรัก” เบนเน็ตต์บอก ใช้มือข้างที่ถือดินสอโบกกำกับทิศทางของข้าพเจ้า “สีหน้าแกตอนนี้ เหมือนอยากถามสวรรค์เบื้องบนว่า ‘ความทรมานของแกจะสิ้นสุดลงเมื่อใด’ จริง ๆ ให้ตาย”
“แทนที่จะถามสวรรค์ ฉันขอแกให้รีบวาดให้เสร็จเสียยังจะง่ายกว่า” ข้าพเจ้าบอก แอบขยับข้อมือไล่ความปวดเมื่อย “เท่าที่ฉันรู้ นักบุญเซบาสเตียนได้ชื่อว่า เป็นมรณสักขีผู้ยอมตายเพื่อพิสูจน์ความมั่นคงแห่งศรัทธาถึงสองครั้ง เพราะเขารอดตายจากการถูกยิงด้วยธนู แต่มาตายจริง ๆ ตอนที่ถูกทุบตี ก่อนศพจะถูกนำไปทิ้งในท่อระบายน้ำ แล้วทำไมพวกศิลปินถึงชอบวาดตอนที่เขาถูกยิงด้วยธนู แทนที่จะวาดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาถึงแก่มรณะจริง ๆ เล่า”
“คำถามของแกน่าสนใจ… แต่ก็มีคนวาดภาพตอนที่เขาถึงแก่ความตายน้อยมากจริง ๆ” เขาออกปาก ในขณะที่มือที่จับดินสอนั้นยังคงวาดภาพต่อไป
“แกลองคิดดูนะ ไมเคิล” เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง หลังจากนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง “ระหว่างการวาดชายหนุ่มที่ฟื้นจากการบาดเจ็บถูกทหารรุมทุบตีจนตายโดยไม่มีทางสู้ แล้วถูกโยนทิ้งลงไปในท่อระบายน้ำเหมือนสิ่งของที่ไม่มีราคา กับการวาดนายทหารราชองครักษ์ที่มีกำลังสู้ได้ แต่ยอมถูกจับมัด ยอมเป็นเป้านิ่งให้เพื่อนร่วมกองทัพใช้ธนูยิงทั่วร่าง ถูกปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย แต่อดทนจนมีชีวิตรอด กลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่สั่งฆ่าตนเป็นครั้งที่สองได้ อย่างไหนมีเรื่องราวที่ดึงดูดใจและสร้างอารมณ์สะเทือนใจได้มากกว่า”
“จริงของแก” ข้าพเจ้าพยักหน้าเห็นด้วย “ทั้งที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนคนเดียวกันแท้ ๆ”
“ใช่ ทั้งที่เกิดขึ้นกับคนคนเดียวกัน และทั้งที่เหตุการณ์แรกเป็นจุดจบของเรื่องทั้งหมดด้วยซ้ำไป” เขาว่า “เอาแขนลงได้ ฉันให้แกพักก่อน ประเดี๋ยวค่อยวาดต่อ”
คำอนุญาตของเขาทำให้ข้าพเจ้าถอนใจยาวด้วยความโล่งอก ลดแขนลง ใช้มืออีกข้างนวดต้นแขนที่เริ่มเกร็ง เพราะค้างอยู่ในท่าเดิมนานเกินไป “นักบุญเซบาสเตียนที่แกคิดจะวาดเป็นอย่างไร”
“เป็นอย่างไรน่ะหรือ” เบนเน็ตต์ ดาลบี้หมุนดินสอในมือเล่น “ไม่ใช่เด็กหนุ่มหน้าสวยอย่างที่นิยมวาดกันในสมัยเรอเนซองส์ดอก แต่เป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วอย่างรูปหินอ่อนของแบร์นินี่ หรือจิออร์เก็ตติเสียมากกว่า และไม่ใช่ตาแก่หนวดเฟิ้มอย่างที่วาดกันมาในสมัยแรก ๆ หรือยุคกลางแน่ ๆ”
สิ่งที่เขาพูดสะกิดความสนใจของข้าพเจ้าอยู่มาก “นักบุญคนเดียวกัน แต่ทำไมถึงได้วาดออกมาต่างกันขนาดนั้นเล่า”
“เพราะไม่มีใครรู้ว่านักบุญเซบาสเตียนเกิดเมื่อใด รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงแต่รู้ว่าเขาตายเมื่อใดเท่านั้น อายุและหน้าตาของเขาจึงถูกกำหนดโดยศิลปินทั้งสิ้น ดังนั้น แม้จะมีชื่อว่าภาพว่านักบุญเซบาสเตียน รูปร่าง หน้าตา และอายุของนักบุญเซบาสเตียนในภาพอาจแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะก่อนที่จะถูกเปิดเผยว่าเขาเป็นคริสตชน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถูกฆ่าถึงสองครั้งของเขา”
“การที่คนคนหนึ่งแฝงตัวอยู่ในกองทัพโรมัน เป็นข้าราชสำนักที่ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิไดโอคลีเชียนซึ่งมุ่งปราบปรามและกวาดล้างผู้นับถือศาสนาคริสต์ จนขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่มีอิทธิพลในกองทัพ สามารถเจรจาต่อรองกับผู้คุมเพื่อที่จะช่วยเหลือชาวคริสต์อื่น ๆ ที่ถูกคุมขังโดยที่ไม่มีใครระแคะระคายมานานมาก และอาจปิดปากคนที่รู้ความลับของเขาได้ ต้องอาศัยเวลา ประสบการณ์ และความสามารถที่ไม่ธรรมดา ทั้งต้องใช้ความกล้าและไหวพริบปฏิภาณอย่างยิ่งยวด”
“สิ่งที่แกพูดทำให้ฉันนึกภาพได้ว่า เขาเป็นสายลับในหมู่ศัตรู เป็นวีรบุรุษในหมู่ชาวคริสต์ที่ต้องเผชิญชะตากรรมที่โหดร้าย” คำกล่าวของเขาทำให้ข้าพเจ้าฉุกใจคิดเรื่องบางอย่างได้ “แต่ถ้ามองในมุมของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน นักบุญเซบาสเตียนก็คือผู้ที่ทรยศที่อาศัยความไว้วางใจที่พระองค์มีให้ด้วยการช่วยเหลือคนที่พระองค์ต้องการกำจัด”
“ฉันถึงบอกแกอย่างไรเล่า ว่าตอนที่นักบุญเซบาสเตียนแฝงตัวอยู่ในหมู่ชาวโรมันเพื่อแอบช่วยพวกพ้องของตัวเอง และตอนที่เขาถูกไดโอคลีเชียนจับได้ว่าเป็นชาวคริสต์บีบหัวใจกว่าตอนที่ถูกธนูยิงเป็นไหน ๆ” เบนเน็ตต์ว่า “แต่ถ้าจะวาดให้แสดงความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ฉันยอมรับว่าวาดภาพสื่อความออกมาได้ยาก”
“ถ้าแกจะกรุณา ขอยกแขนขึ้นอีกทีเถอะ และอย่าขยับ ฉันวาดใกล้จะเสร็จแล้ว”เขา สั่งข้าพเจ้า แล้วก้มลงวาดภาพเก็บรายละเอียดที่ต้องการ ก่อนจะบอกให้ข้าพเจ้าเอามือลงได้
“แกดูจริงจังกับเรื่องนี้เสียยิ่งกว่ารับงานวาดภาพเหมือนที่แกถนัด” ข้าพเจ้าตั้งข้อสังเกต ซึ่งเขาไม่ได้โต้แย้งอะไร หากข้าพเจ้ารู้สึกว่า เขาดูเคร่งเครียดกับการทำงานของตนยิ่งกว่าครั้งไหน “แกคงได้อ่านจากข่าวแล้วว่า คนตายในคดีของฉันมีสีหน้าอย่างไร แต่ถ้ายัง ฉันก็จะบอกให้ว่า เขามีสีหน้าโล่งใจและยินดีเมื่อความตายมาถึงตัว ซึ่งอาจเหมือนกับนักบุญเซบาสเตียนในยามที่รู้ว่าต้องจบชีวิตลงในไม่ช้า… แกคิดว่า สีหน้าที่โล่งใจและยินดีอย่างนั้นเกิดขึ้นจากอะไร”
เบนเน็ตต์ ดาลบี้วางกระดานร่างภาพลงกับโต๊ะ นั่งกอดอก จ้องมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม และถ้ามองไม่ผิด ดูเหมือนจะมีความวิตกกังวลบางอย่างที่ทำให้เขาผิดแปลกไปจากเดิม เพราะโดยปกติแล้ว เขามักจะแสดงออกด้วยพลังอันล้นเหลือ โดยเฉพาะกับภาพที่เขาตั้งใจจะวาด คำถามเพียงคำถามเดียว เขาอาจตอบยาวได้หลายนาทีด้วยซ้ำไป แต่นี่ เขาดูไม่กระตือรือร้นกับการวาดภาพที่เขาบอกว่าจะวาดเลยแม้แต่น้อย
--------------------------------------------------------
(1) Saltaire, West Yorkshire
(2) Oscar Wilde กวี นักเขียนบทละคร และผู้เขียนนิยายเรื่อง The Picture of Dorian Gray
(3) Charles Dickens นักเขียน และนักวิจารณ์สังคม นิยายที่เป็นที่รู้จัก เช่น Christmas Carol, Oliver Twist, Little Dorritt เป็นต้น
(มีต่อนะคะ)
Dark Tales of London: ทวิฆาต (The Man Who Died Twice) - ตอนที่ 3
บทนำ : http://ppantip.com/topic/32351131
ตอนที่ 1 : http://ppantip.com/topic/32376238
ตอนที่ 2 : http://ppantip.com/topic/32406733
(3)
“ฉันอยากวาดภาพหน้าแกตอนนี้เสียจริง”
เบนเน็ตต์ ดาลบี้ เพื่อนที่เช่าห้องชุดนี้ร่วมกับข้าพเจ้ามาเกินกึ่งศตวรรษเปรยลอดกระดานวาดภาพที่ตั้งอยู่บนตักของเขา ซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟาหน้าเตาผิงออกมา
เขาเกิดที่ซอลแทร์ ทางยอร์กเชียร์ตะวันตก (1) ด้วยพื้นเพเป็นชาวยอร์กเชียร์เหมือนกัน มีความชอบและนิสัยบางอย่างที่เข้ากันได้ จึงพูดคุยกันได้ถูกคอและมีความสนิทสนมกันดี แม้โดยมากแล้วจะต่างคนต่างอยู่เป็นส่วนใหญ่ด้วยการงานที่แตกต่างกัน เพราะเขาเป็นจิตรกรที่มีชื่อด้านวาดภาพเหมือนและเขียนภาพประกอบหนังสือที่มีชื่อพอตัว
ตามปกติแล้ว เขาจะทำงานอยู่ในห้องของตัวเองเป็นหลัก จะออกมาบ้างเฉพาะช่วงรับประทานอาหารซึ่งมิสซิสแอ็บเนอร์ เจ้าของบ้านเช่าของเราจัดให้ แต่ถ้าไม่ทำงานอยู่กับบ้าน เขาก็อาจหายออกไปเป็นวัน ๆ เพราะต้องออกไปวาดภาพผู้ว่าจ้างถึงที่บ้าน หรือไปส่งภาพวาดที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกครั้งที่ออกไป สิ่งที่เขาทำเป็นประจำอย่างขาดไม่ได้ คือ การไปเยี่ยมเยียน ‘แม่เทพธิดาแห่งแรงบันดาลใจ’ ทั้งหลายของเขา ซึ่งเป็นเหตุให้เขายังครองตัวเป็นโสดและยังเช่าบ้านอยู่กับข้าพเจ้า แทนที่จะแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวกับผู้หญิงสักคนที่เขาไปมาหาสู่ นำเงินที่ได้ซื้อบ้านดี ๆ แถบชานเมืองสักหลัง และจ้างคนรับใช้สักสองสามคนเพื่อความสะดวกสบายสำหรับตนเอง
“นับจากโมนาลิซาของดาวินชี ฉันไม่ได้เห็นหน้าใครที่แสดงอารมณ์ซับซ้อนหลากหลายอย่างนี้มานานนักหนาแล้ว”
“ขนาดนั้นเทียวรึ” ข้าพเจ้าเลิกคิ้ว แขวนหมวกกับเสื้อโค้ตไว้กับตะขอบนราวข้างประตูห้อง
“เออ ซี… ถ้าฉันไม่รู้ว่าแกเป็นพ่อม่ายที่ยังไม่ยอมแต่งงานใหม่เพราะยังไม่ลืมเมียเก่า ฉันคงนึกว่าแกถูกคนรักหักอก” เขาว่า
“แกก็ช่างเปรียบฉันเป็นตัวละครในนิยายประโลมโลกไปเสียได้ แต่ที่แกพูดมาก็มีส่วนถูก การได้รู้ความจริงบางอย่าง จะเป็นความสุขก็ไม่ใช่ ทุกข์ก็ไม่เชิง ฉันเลยไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร”
ข้าพเจ้าถอดเสื้อแจ็คเก็ตที่สวมอยู่ออกพาดกับพนัก หย่อนตัวลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับตำแหน่งที่เขานั่ง แล้วทิ้งตัวนอนไปตามความยาวของที่นั่ง ยกแขนทั้งสองข้าง ประสานมือเหยียดขึ้นเหนือศีรษะ บิดตัวไล่ความเมื่อยขบจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน
“หยุด ไมเคิล” เขาตะโกนออกมาจากหลังกระดานวาดภาพ และถลึงตาใส่เมื่อเห็นว่าข้าพเจ้ากำลังจะเปลี่ยนท่า “อย่าขยับ ค้างไว้แบบนั้นจนกว่าฉันจะบอกให้แกขยับได้”
“ให้ตายเถอะ” ข้าพเจ้าบ่น แต่ก็ทำตามคำสั่งของเขา “นี่แกวาดรูปอะไร ถึงได้มากะเกณฑ์ให้ฉันทำท่าพิกลอย่างนี้”
“เอาน่า อย่าเพิ่งถาม” เขาว่า “แกจะขยับก็ได้ แต่ช่วยถลกแขนเสื้อแกขึ้นให้ฉันเห็นท่อนแขนแกชัด ๆ หน่อย”
“แกตอบคำถามของฉันก่อน แล้วฉันจึงจะทำให้แก” ข้าพเจ้าต่อรอง และเปลี่ยนจากท่านอนเป็นนั่ง “ปกติ ถ้าแกไม่วาดภาพประกอบเรื่อง แกก็มักจะวาดแต่รูปเหมือนคนนั่งยืนนิ่ง ๆ หรือผู้หญิงสวย ๆ ไม่ใช่รึ แล้วนึกอย่างไร ถึงได้อยากวาดอะไรแปลก ๆ อย่างแขนคนขึ้นมาได้”
“ที่วาดแขนของแกเพราะจะนำไปใช้อ้างอิงกับภาพหลักที่ฉันจะวาดต่างหากเล่า” เขาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้หน้าเตาผิง คว้าหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมาโบกไปมา “แกอ่านข่าวคดีฆาตกรรมวันฉลองนักบุญเซบาสเตียนแล้วหรือยัง นั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องลุกขึ้นมาเขียนภาพนักบุญผู้นี้”
ข้าพเจ้ารับหนังสือพิมพ์เดลีเมล์จากเขามาอ่านพาดหัวข่าว “ฉันเป็นคนทำคดีนี้เอง มันออกจะลึกลับซับซ้อนอยู่ และเป็นเหตุผลที่ฉันทำหน้าหนักใจกลับบ้านมาให้แกทัก แต่ฉันยังไม่เห็นว่า มันชวนให้สร้างสรรค์งานศิลปะได้ตรงไหน คงมีเพียงชื่อของผู้ตายที่บังเอิญไปตรงกับวันที่กำหนดให้เป็นวันฉลองนักบุญท่านนี้เท่านั้น ซึ่งฉันไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมศิลปินอย่างพวกแกถึงได้ชมชอบนักบุญเซบาสเตียนกันนัก เรนีวาดเขาออกมาถึงหกเจ็ดรูป ไหนคิงสลีย์จะเอาไปเขียนบรรยายไว้ในเรื่องอัลตัน ล็อค และออสการ์ ไวล์ด (2) ยังเอาไปเขียนเป็นบทกวีอีก”
“ฉันไม่แปลกใจเลยที่แกนิยมนิยายมองโลกในแง่ร้ายของดิกเคนส์ (3) มากกว่าใครอื่น” เบนเน็ตต์ ดาลบี้มองข้าพเจ้าอย่างเหนื่อยหน่าย “ความลึกลับและเรื่องราวที่เปิดโอกาสให้ตีความได้มากมายนี่ละ คือ จุดน่าสนใจของตำนานนักบุญเซบาสเตียน”
“อย่างไรกัน” ข้าพเจ้าปลดกระดุมข้อมือเสื้อเชิ้ต และพับขึ้นเหนือข้อศอกทีละข้างตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขา “ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรมากไปกว่าผลที่ลงเอยออกมาเป็นภาพมรณสักขีหนุ่มน้อยรูปงามที่ถูกธนูยิง”
“ยกแขนขวาของแกขึ้นหน่อยซิ งอข้อศอกอีกนิด แล้วค้างไว้อย่างนั้นสักครู่” เพื่อนของข้าพเจ้าบอก หยิบเอากระดานและกระดาษสำหรับร่างรูปขึ้นมาพาดกับตัก แล้วลงมือเขียนภาพแขนและมือของข้าพเจ้า “ที่แกว่ามาก็จริงอยู่ แต่นอกจากภาพคนถูกธนูยิงแล้ว แกเห็นอะไรจากในรูปอีกบ้าง เช่น ความรู้สึกของคนในภาพ”
ข้าพเจ้านิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง “จากงานของเรนีที่ฉันเห็นที่ดัลวิช สีหน้าของเขามีทั้งความเจ็บปวด ความกลัว ความสิ้นหวัง ความปลงตก และความสงสัยระคนกัน ส่วนงานประติมากรรมของแบร์นินี เห็นได้ชัดทีเดียวว่า เป็นความเจ็บปวดที่มีความสุขแฝงอยู่”
“การถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนของนักบุญเซบาสเตียนยามถูกธนูยิงเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของศิลปิน” เบนเน็ตต์บอก “การวาดชายหนุ่มที่งดงามทั้งใบหน้าและสรีระในสภาพเกือบเปลือยเปล่า กล้ามเนื้อบิดเกร็งด้วยความเจ็บปวด แต่สีหน้ากลับมีเปี่ยมด้วยความสุข เพราะตกลงใจที่จะแบกรับความทรมานจากลูกศรที่ทิ่มแทงด้วยศรัทธาบริสุทธิ์ ให้ออกมาแตกต่างจากความเจ็บปวดแต่สุขสมของเจ้าสาวในคืนแรกของการเข้าหอกับชายที่หล่อนยินดีพลีให้ทั้งกายใจ ไม่ใช่สิ่งที่อาจกระตุ้นให้ศิลปินอยากออกมาแสดงฝีมือของตนเพื่อพิสูจน์ว่าความศรัทธา ศิลปะ และความงามตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกันได้หรอกหรือ”
“เกร็งข้อมืออีกหน่อยซิ เพื่อนรัก” เบนเน็ตต์บอก ใช้มือข้างที่ถือดินสอโบกกำกับทิศทางของข้าพเจ้า “สีหน้าแกตอนนี้ เหมือนอยากถามสวรรค์เบื้องบนว่า ‘ความทรมานของแกจะสิ้นสุดลงเมื่อใด’ จริง ๆ ให้ตาย”
“แทนที่จะถามสวรรค์ ฉันขอแกให้รีบวาดให้เสร็จเสียยังจะง่ายกว่า” ข้าพเจ้าบอก แอบขยับข้อมือไล่ความปวดเมื่อย “เท่าที่ฉันรู้ นักบุญเซบาสเตียนได้ชื่อว่า เป็นมรณสักขีผู้ยอมตายเพื่อพิสูจน์ความมั่นคงแห่งศรัทธาถึงสองครั้ง เพราะเขารอดตายจากการถูกยิงด้วยธนู แต่มาตายจริง ๆ ตอนที่ถูกทุบตี ก่อนศพจะถูกนำไปทิ้งในท่อระบายน้ำ แล้วทำไมพวกศิลปินถึงชอบวาดตอนที่เขาถูกยิงด้วยธนู แทนที่จะวาดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาถึงแก่มรณะจริง ๆ เล่า”
“คำถามของแกน่าสนใจ… แต่ก็มีคนวาดภาพตอนที่เขาถึงแก่ความตายน้อยมากจริง ๆ” เขาออกปาก ในขณะที่มือที่จับดินสอนั้นยังคงวาดภาพต่อไป
“แกลองคิดดูนะ ไมเคิล” เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง หลังจากนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง “ระหว่างการวาดชายหนุ่มที่ฟื้นจากการบาดเจ็บถูกทหารรุมทุบตีจนตายโดยไม่มีทางสู้ แล้วถูกโยนทิ้งลงไปในท่อระบายน้ำเหมือนสิ่งของที่ไม่มีราคา กับการวาดนายทหารราชองครักษ์ที่มีกำลังสู้ได้ แต่ยอมถูกจับมัด ยอมเป็นเป้านิ่งให้เพื่อนร่วมกองทัพใช้ธนูยิงทั่วร่าง ถูกปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย แต่อดทนจนมีชีวิตรอด กลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่สั่งฆ่าตนเป็นครั้งที่สองได้ อย่างไหนมีเรื่องราวที่ดึงดูดใจและสร้างอารมณ์สะเทือนใจได้มากกว่า”
“จริงของแก” ข้าพเจ้าพยักหน้าเห็นด้วย “ทั้งที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนคนเดียวกันแท้ ๆ”
“ใช่ ทั้งที่เกิดขึ้นกับคนคนเดียวกัน และทั้งที่เหตุการณ์แรกเป็นจุดจบของเรื่องทั้งหมดด้วยซ้ำไป” เขาว่า “เอาแขนลงได้ ฉันให้แกพักก่อน ประเดี๋ยวค่อยวาดต่อ”
คำอนุญาตของเขาทำให้ข้าพเจ้าถอนใจยาวด้วยความโล่งอก ลดแขนลง ใช้มืออีกข้างนวดต้นแขนที่เริ่มเกร็ง เพราะค้างอยู่ในท่าเดิมนานเกินไป “นักบุญเซบาสเตียนที่แกคิดจะวาดเป็นอย่างไร”
“เป็นอย่างไรน่ะหรือ” เบนเน็ตต์ ดาลบี้หมุนดินสอในมือเล่น “ไม่ใช่เด็กหนุ่มหน้าสวยอย่างที่นิยมวาดกันในสมัยเรอเนซองส์ดอก แต่เป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วอย่างรูปหินอ่อนของแบร์นินี่ หรือจิออร์เก็ตติเสียมากกว่า และไม่ใช่ตาแก่หนวดเฟิ้มอย่างที่วาดกันมาในสมัยแรก ๆ หรือยุคกลางแน่ ๆ”
สิ่งที่เขาพูดสะกิดความสนใจของข้าพเจ้าอยู่มาก “นักบุญคนเดียวกัน แต่ทำไมถึงได้วาดออกมาต่างกันขนาดนั้นเล่า”
“เพราะไม่มีใครรู้ว่านักบุญเซบาสเตียนเกิดเมื่อใด รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงแต่รู้ว่าเขาตายเมื่อใดเท่านั้น อายุและหน้าตาของเขาจึงถูกกำหนดโดยศิลปินทั้งสิ้น ดังนั้น แม้จะมีชื่อว่าภาพว่านักบุญเซบาสเตียน รูปร่าง หน้าตา และอายุของนักบุญเซบาสเตียนในภาพอาจแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะก่อนที่จะถูกเปิดเผยว่าเขาเป็นคริสตชน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถูกฆ่าถึงสองครั้งของเขา”
“การที่คนคนหนึ่งแฝงตัวอยู่ในกองทัพโรมัน เป็นข้าราชสำนักที่ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิไดโอคลีเชียนซึ่งมุ่งปราบปรามและกวาดล้างผู้นับถือศาสนาคริสต์ จนขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่มีอิทธิพลในกองทัพ สามารถเจรจาต่อรองกับผู้คุมเพื่อที่จะช่วยเหลือชาวคริสต์อื่น ๆ ที่ถูกคุมขังโดยที่ไม่มีใครระแคะระคายมานานมาก และอาจปิดปากคนที่รู้ความลับของเขาได้ ต้องอาศัยเวลา ประสบการณ์ และความสามารถที่ไม่ธรรมดา ทั้งต้องใช้ความกล้าและไหวพริบปฏิภาณอย่างยิ่งยวด”
“สิ่งที่แกพูดทำให้ฉันนึกภาพได้ว่า เขาเป็นสายลับในหมู่ศัตรู เป็นวีรบุรุษในหมู่ชาวคริสต์ที่ต้องเผชิญชะตากรรมที่โหดร้าย” คำกล่าวของเขาทำให้ข้าพเจ้าฉุกใจคิดเรื่องบางอย่างได้ “แต่ถ้ามองในมุมของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน นักบุญเซบาสเตียนก็คือผู้ที่ทรยศที่อาศัยความไว้วางใจที่พระองค์มีให้ด้วยการช่วยเหลือคนที่พระองค์ต้องการกำจัด”
“ฉันถึงบอกแกอย่างไรเล่า ว่าตอนที่นักบุญเซบาสเตียนแฝงตัวอยู่ในหมู่ชาวโรมันเพื่อแอบช่วยพวกพ้องของตัวเอง และตอนที่เขาถูกไดโอคลีเชียนจับได้ว่าเป็นชาวคริสต์บีบหัวใจกว่าตอนที่ถูกธนูยิงเป็นไหน ๆ” เบนเน็ตต์ว่า “แต่ถ้าจะวาดให้แสดงความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ฉันยอมรับว่าวาดภาพสื่อความออกมาได้ยาก”
“ถ้าแกจะกรุณา ขอยกแขนขึ้นอีกทีเถอะ และอย่าขยับ ฉันวาดใกล้จะเสร็จแล้ว”เขา สั่งข้าพเจ้า แล้วก้มลงวาดภาพเก็บรายละเอียดที่ต้องการ ก่อนจะบอกให้ข้าพเจ้าเอามือลงได้
“แกดูจริงจังกับเรื่องนี้เสียยิ่งกว่ารับงานวาดภาพเหมือนที่แกถนัด” ข้าพเจ้าตั้งข้อสังเกต ซึ่งเขาไม่ได้โต้แย้งอะไร หากข้าพเจ้ารู้สึกว่า เขาดูเคร่งเครียดกับการทำงานของตนยิ่งกว่าครั้งไหน “แกคงได้อ่านจากข่าวแล้วว่า คนตายในคดีของฉันมีสีหน้าอย่างไร แต่ถ้ายัง ฉันก็จะบอกให้ว่า เขามีสีหน้าโล่งใจและยินดีเมื่อความตายมาถึงตัว ซึ่งอาจเหมือนกับนักบุญเซบาสเตียนในยามที่รู้ว่าต้องจบชีวิตลงในไม่ช้า… แกคิดว่า สีหน้าที่โล่งใจและยินดีอย่างนั้นเกิดขึ้นจากอะไร”
เบนเน็ตต์ ดาลบี้วางกระดานร่างภาพลงกับโต๊ะ นั่งกอดอก จ้องมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม และถ้ามองไม่ผิด ดูเหมือนจะมีความวิตกกังวลบางอย่างที่ทำให้เขาผิดแปลกไปจากเดิม เพราะโดยปกติแล้ว เขามักจะแสดงออกด้วยพลังอันล้นเหลือ โดยเฉพาะกับภาพที่เขาตั้งใจจะวาด คำถามเพียงคำถามเดียว เขาอาจตอบยาวได้หลายนาทีด้วยซ้ำไป แต่นี่ เขาดูไม่กระตือรือร้นกับการวาดภาพที่เขาบอกว่าจะวาดเลยแม้แต่น้อย
--------------------------------------------------------
(1) Saltaire, West Yorkshire
(2) Oscar Wilde กวี นักเขียนบทละคร และผู้เขียนนิยายเรื่อง The Picture of Dorian Gray
(3) Charles Dickens นักเขียน และนักวิจารณ์สังคม นิยายที่เป็นที่รู้จัก เช่น Christmas Carol, Oliver Twist, Little Dorritt เป็นต้น
(มีต่อนะคะ)