บทก่อนหน้า
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/32012168
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/32150649
บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/32175985
บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/32186430
บทที่ ๕
http://ppantip.com/topic/32205446
บทที่ ๖
http://ppantip.com/topic/32219524
บทที่ ๗
http://ppantip.com/topic/32236238
บทที่ ๘
หลังอาบน้ำชำระร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ สองหนุ่มสาวออกมาสมทบกับคุณปวินท์ที่ระเบียงบ้าน ซึ่งบิดาของชายหนุ่มก็กวักมือเรียกพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง
“มา ๆ เจ้าวิน น้องดา มานั่งด้วยกัน” ว่าพร้อมกับทำมือให้ลูกชายและลูกสะใภ้นั่งลงร่วมโต๊ะ ก่อนจะหันไปถามลูกชาย
“ดื่มอะไรเจ้าวี”
“น้องดาเอาอะไร” ปรวีร์หันไปถามหญิงสาวซึ่งหันมาป้องปากกระซิบที่ข้างหู
“น้องดาดื่มแล้วคุณลุงจะว่าอะไรไหมคะนี่” ซึ่งทำให้ปรวีร์ถึงกับหัวเราะเสียงดัง ยายตัวดีของเขากลัวจะภาพพจน์เสียหายต่อหน้าบิดาของเขาหรืออย่างไรกัน ทีอยู่กับเขาสองคนเห็นดื่มเอา ๆ
“คุณพ่อคงไม่ว่าอะไรที่น้องดาจะดื่มด้วยใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มหันไปถามบิดาหน้าซื่อ แต่นัยน์ตาเป็นประกายซุกซนเมื่อหันมาสบตากับคนกลัวเสียภาพพจน์ นาน ๆ ทีได้แกล้งยายตัวดีนี่มันสนุกจริง ๆ
“เอ้า โต ๆ จนมีลูกมีผัวแล้วลุงจะไปว่าอะไรล่ะ ถึงจะดื่มจนเมาก็อยู่กับลุงกับเจ้าวี แกคงไม่ปล่อยให้เมียเมามายไม่ดูแลหรอกนะเจ้าวี” ท่านพูดกับลูกสะใภ้ก่อนจะหันไปถามลูกชาย ซึ่งชายหนุ่มก็หัวเราะชอบใจกับคำถามนั้น
“โธ่ ผมไม่ปล่อยให้ ‘เมีย’ เมาหรอกครับคุณพ่อ ไม่ต้องห่วง”
“งั้นน้องดาดื่มที่คุณลุงกับพี่วีดื่มก็ได้ค่ะ” หญิงสาวรีบตัดบท รู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าคุณลุง พี่วีชอบจะแกล้งเธอเรื่องที่แสร้งเป็นสามีภรรยากันให้เธอรู้สึกวูบวาบตลอดเลยเชียว ฝากไว้ก่อนอีตาพี่วี มีโอกาสน้องดาจะเอาคืนให้พูดไม่ออกเลย หญิงสาวเข่นเขี้ยวในใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหยิบแก้วมาอีกสองใบ จอยไปไหนแล้วล่ะ” บอกลูกชายพลางมองหาพี่จอยที่รับใช้อยู่ไม่ห่างเมื่อสักครู่ แต่คราวนี้กลับหายตัวไปเสียแล้ว
“พี่จอยอาจจะอยู่ในครัว เดี๋ยวผมไปหยิบเองก็ได้ครับคุณพ่อ” ปรวีร์อาสาพลางลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้าน
ไม่นานชายหนุ่มก็กลับออกมาพร้อมแก้วในมือสองใบ เขาชงเครื่องดื่มบาง ๆ ยื่นให้ผู้เป็นภรรยา ก่อนจะชงเข้มขึ้นให้ตนเองและบิดา ซึ่งแก้วของท่านเพิ่งจะว่างเปล่าลงเช่นกัน
ทั้งสามนั่งดื่มและพูดคุยถึงการเตรียมการทำบุญในวันพรุ่งนี้จนถึงเวลาอาหารเย็น เมื่อพี่จอยมาแจ้งว่าอาหารเย็นขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้วจึงย้ายจากระเบียงเข้าไปในห้องอาหารของบ้านซึ่งอยู่ติดกับห้องครัวและห้องนั่งเล่น จนเมื่อเสร็จสิ้นกับการรับประทานอาหารเย็น คุณปวินท์ก็ขอตัวเข้าห้องเพื่อพักผ่อนเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน
หลังมองบิดาจนลับสายตา ปรวีร์ก็หันมาหาหญิงสาว
“น้องดาอยากไปเดินเล่นกับพี่วีไหม”
“ไปสิคะ” ดาริกาตอบรับทันที ในสมัยที่เธอมาที่เกาะดาริกาพร้อมบิดาและมารดา ทุกคืนหลังอาหารเย็น ทั้งสามจะเดินย่อยอาหารไปบนชายหาดรอบ ๆ เกาะเสมอ แม้วันนี้จะไม่มีทั้งบิดาและมารดาอยู่กับเธอแล้ว แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีพี่วีและคุณลุงปวินท์ เธอไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวในโลกใบนี้ แม้พ่อจะจากเธอไป แต่เพื่อนสนิทของท่านที่รักและเอ็นดูเธอไม่น้อยยังคงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับเธอ และพี่วีก็เป็นเหมือนพี่ชายที่หญิงสาวเชื่อว่าเขาจะปกป้องคุ้มครองเธอตลอดไป แม้ว่าในที่สุดแล้วเขาและเธอจะต้องมีทางเดินของชีวิตไปกันคนละทางก็ตาม
“คิดอะไรอยู่” ปรวีร์ถามเมื่อคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เงียบเสียงไป ดาริกาเงยหน้าขึ้นมองพลางยิ้มเศร้า ๆ
“คิดถึงพ่อกับแม่ค่ะ สมัยก่อนหลังกินข้าวเย็นเสร็จ เราสามคนก็จะมาเดินย่อยที่นี่ทุกคืนเลย” คำตอบเบาของคนข้างกายทำให้ปรวีร์ยกมือขึ้นโอบไหล่บางแล้วกระชับอ้อมแขนแน่น เขาก้มลงจูบลงไปบนกลุ่มผมนุ่มพร้อมบอกเสียงหนักแน่น
“คุณอาทั้งสองไปสบายแล้วนะ ตอนนี้น้องดาเป็นครอบครัวเดียวกับพี่วีกับคุณพ่อ ไม่ได้ตัวคนเดียว รู้ไหม”
“แต่เดี๋ยวพี่วีก็ต้องมีครอบครัวของตนเอง...” ปลายประโยคเสียงเบาหวิว ใจหายเมื่อคิดว่าสักวันเขาจะกลายไปเป็นคนอื่น ไม่ใช่พี่ชายที่โอบกอดให้ความอบอุ่นทั้งใจและกายกับเธออยู่เช่นนี้
“พี่วีไม่มีใคร” ชายหนุ่มตอบทันควัน
“แต่สักวันพี่วีก็ต้องมี เราจะอยู่กันแบบหลอก ๆ แบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ พี่วียินดีที่จะอยู่แบบนี้จนกว่า... จนกว่าน้องดาจะไม่ต้องการพี่วี” คำพูดของชายหนุ่มทำให้ดาริกายกมือขึ้นโอบเอวคนตัวโต กล่าวอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณมากนะคะพี่วี แต่น้องดาเห็นแก่ตัวกับพี่วีแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ คุณลุงก็อยากได้หลาน ยังไงพี่วีก็ต้องมีครอบครัวของพี่วีเอง อย่ายึดถือสัญญาที่ให้คุณพ่อว่าจะดูแลน้องดาจนลืมนึกถึงตัวเองเลยนะคะ”
“แต่ตอนนี้พี่วียังไม่มีใคร” ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้ ซึ่งคำพูดของเขาทำให้คนที่ริจะเป็นแม่สื่อจำได้ว่าบอกอะไรกับเพื่อนสนิทไว้ จึงเรียกชายหนุ่มน้ำเสียงประจบ
“พี่วี...”
“หืม”
“ถ้าพี่วีไม่มีใคร น้องดามี... เอ่อ... มีเพื่อน... อยากแนะนำให้พี่วีรู้จัก” เอาน่ะ อะไรจะเกิดก็เกิด บอกตัวเองในใจ ไหน ๆ ก็รับปากยายขวัญมาแล้ว พี่วีก็ไม่มีคนรัก หากเธอจะทำตัวเป็นกามเทพทำให้คนที่เธอรักสองคนมารักกัน มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือ
“ทำไมต้องอยากให้พี่วีรู้จัก” ถามเสียงห้วน เขาพอรู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไร และมันทำให้เขารู้สึก... นั่นสิ... ความรู้สึกที่เขากำลังรู้สึกอยู่นี้เรียกว่าอะไรกันแน่ จะว่าโกรธก็ไม่ขนาดนั้น แต่ไม่พอใจน่ะใช่แน่ ว่าแต่... ไม่พอใจอะไรนะ ไม่พอใจที่เธอไม่ต้องการเขาจนพยายามจะยัดเยียดเขาให้กับเพื่อนของเธออย่างนั้นหรือ หรือว่าความรู้สึกเจ็บลึก ๆ นี่คือความน้อยใจ น้อยใจที่เธอไม่เคยมองเขาในฐานะอื่นที่มากไปกว่าพี่ชายเลย แม้เขาจะมีฐานะเป็นสามีของเธอทั้งตามกฎหมายและประเพณีก็ตาม
“พี่วี... โกรธหรือคะ” ได้ยินเสียงอ่อนถามมาจากด้านหลัง เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเดินหนีเธอมาตั้งแต่เมื่อไร มือใหญ่ของเขาถูกมือเล็กกว่าคว้าไว้ ขณะเจ้าตัวเว้าวอนเสียงเบา
“พี่วี น้องดาขอโทษ” ปรวีร์เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ในใจอ่อนยวบเมื่อได้ยินเสียงสั่นของคนสำนึกผิดด้านหลัง ชายหนุ่มหยุดเดิน ก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ยังกุมมือเขาอยู่ บอกน้ำเสียงห่างเหิน
“ถ้าน้องดาไม่อยากอยู่กับพี่วีแล้วก็บอกกันตรง ๆ ไม่จำเป็นต้องยัดเยียดพี่วีให้คนอื่น”
“ไม่นะคะ น้องดาไม่เคยคิดแบบนั้น ไม่เคยไม่อยากอยู่กับพี่วีนะคะ” รีบบอกละล่ำละลัก ทำไมกับเพียงแค่น้ำเสียงเหินห่างของเขาจึงทำให้เธอใจหายได้ขนาดนี้
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าทำแบบนี้อีก มันทำให้พี่วีรู้สึกว่าน้องดาพยายามกำจัดพี่วีออกไปจากชีวิต”
“ค่ะพี่วี น้องดาจะไม่ทำอีก หายโกรธน้องดานะคะ”
“สัญญาก่อน” น้ำเสียงของเขาทำให้คนที่หน้าหดเหลือสองนิ้วเมื่อสักครู่ยิ้มได้ เพราะมันไม่ใช่น้ำเสียงเย็นชาอย่างที่เขาใช้เมื่อสักครู่ มือเล็กจึงยกมือใหญ่ขึ้นเกี่ยวก้อย
“สัญญา”
คำพูดและท่าทางของหญิงสาวทำให้ปรวีร์ยิ้มได้ หวังว่ายายตัวดีจะไม่ริทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เขาอีก เพราะเขารับไม่ได้จริง ๆ เมื่อคิดว่าเธอกำลังพยายามยัดเยียดเขาให้กับคนอื่น เขาไม่อยากเป็นของคนอื่น เขาอยากเป็นของเธอคนเดียว เมื่อไหร่เธอจะมองเห็นว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่พี่ชายอย่างที่เธอมองมาตลอดเสียที
เมื่อเข้าใจกันดีแล้ว สองหนุ่มสาวเดินเคียงกันไปเงียบ ๆ สองมือที่เกี่ยวก้อยเมื่อสักครู่ยังคงเกาะเกี่ยวกันอยู่โดยไม่มีใครปล่อยก่อน ชายหาดที่ทั้งสองกำลังเดินไปบนผืนทรายหยุ่นเท้าค่อนข้างมืด หากก็พอมองเห็น ด้วยท้องฟ้าสีดำสนิทเบื้องบนมีประกายระยิบระยับของดวงดาวนับล้าน ๆ ดวง ราวกับเกล็ดเพชรบนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำ
“พี่วีรู้ไหมคะว่าทำไมเกาะนี้ถึงชื่อเกาะดาริกา” ดาริกาถามทำลายความเงียบขึ้น หลังจากที่เดินกันไปสักพัก
“อืม... ตั้งตามชื่อน้องดา” ชายหนุ่มเดา หากคนฟังกลับหัวเราะกิ๊ก
“ชื่อน้องดาตั้งตามชื่อเกาะต่างหากล่ะคะ คุณพ่อซื้อเกาะนี้ตั้งแต่น้องดายังไม่เกิดเลย”
“อ้าว งั้นหรือ งั้นก็ไม่รู้แล้ว”
“พี่วีมองบนฟ้าสิคะ” หญิงสาวบอก ชายหนุ่มทำตามก่อนจะเข้าใจในทันที เมื่อสายตาสบกับประกายระยิบระยับของดวงดาวบนผืนฟ้ากว้างใหญ่
“เกาะดาริกา เกาะดวงดาวนับล้าน ๆ ดวง” ชายหนุ่มพึมพำ
“สวยใช่ไหมคะพี่วี บางทีคุณพ่อก็พาเรามานอนดูดาวบนชายหาดค่ะ คุณแม่จะเล่านิทานให้ฟัง นิทานดวงดาวจากเสียงหวาน ๆ ของคุณแม่ เสียงคลื่นกระทบหาด และแสงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า กล่อมให้น้องดาหลับแล้วตื่นมาในบ้านเสมอเลย” หญิงสาวเล่ายิ้ม ๆ ความทรงจำอันสวยงามในวัยเด็กที่ไม่เคยเลือนหาย แม้บิดามารดาจะไม่อยู่กับเธอแล้วก็ตาม
“ถ้าน้องดาต้องการ วันหลังเรามานอนดูดาวกันบ้างก็ได้” ชายหนุ่มบอก เขาสัมผัสได้ถึงความสุขเมื่อเธอเล่าถึงการนอนดูดาวกับบิดามารดาในสมัยยังเด็ก และเขาอยากให้เธอมีเขาในความทรงจำที่งดงามเช่นนั้นบ้าง
“ต้องการสิคะพี่วี ให้มานอนดูดาวทุกวันยังได้เลย” หญิงสาวบอกพลางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้คนใจดีที่อาสาจะพาเธอมานอนดูดาว ซึ่งเคยเป็นกิจกรรมโปรดของครอบครัวทุกครั้งที่มาพักผ่อนยังเกาะดาริกาแห่งนี้
ทั้งสองเดินเล่นต่อไปอีกนาน สายลมแผ่วที่พัดพาอากาศเย็นสบายมากระทบผิว เสียงคลื่นน้ำกระทบหาดดังโครมคราม และประกายระยิบระยับของดวงดาวที่ประดับท้องฟ้ามืดมิด เป็นความสงบงามที่ทำให้คนสองคนที่กำลังดื่มด่ำกับความงามที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมดไม่อยากจะละไปจากที่ตรงนี้เลย
“ดึกแล้ว เข้าบ้านกันไหมน้องดา” แต่แม้จะไม่อยากจากไปไหน ปรวีร์ก็ต้องตัดใจหลังจากที่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วพบว่าเป็นเวลาค่อนข้างดึก พรุ่งนี้เขาและเธอยังจะต้องตื่นมาแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวทำบุญ จึงคิดว่าถึงเวลาที่จะกลับไปนอนพักผ่อนได้แล้ว
“พี่วีสัญญาว่าพรุ่งนี้จะพามาอีก” ชายหนุ่มบอกเมื่อมองเห็นอีกคนทำท่าทางอิดออดเหมือนไม่อยากจะกลับเข้าบ้าน หญิงสาวถึงถอนใจและยอมเดินตามการจับจูงของชายหนุ่มเพื่อกลับไปยังตัวบ้านพักแต่โดยดี
พันธนาการสีกุหลาบ บทที่ ๘
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32012168
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32150649
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/32175985
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/32186430
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/32205446
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/32219524
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/32236238
หลังอาบน้ำชำระร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ สองหนุ่มสาวออกมาสมทบกับคุณปวินท์ที่ระเบียงบ้าน ซึ่งบิดาของชายหนุ่มก็กวักมือเรียกพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง
“มา ๆ เจ้าวิน น้องดา มานั่งด้วยกัน” ว่าพร้อมกับทำมือให้ลูกชายและลูกสะใภ้นั่งลงร่วมโต๊ะ ก่อนจะหันไปถามลูกชาย
“ดื่มอะไรเจ้าวี”
“น้องดาเอาอะไร” ปรวีร์หันไปถามหญิงสาวซึ่งหันมาป้องปากกระซิบที่ข้างหู
“น้องดาดื่มแล้วคุณลุงจะว่าอะไรไหมคะนี่” ซึ่งทำให้ปรวีร์ถึงกับหัวเราะเสียงดัง ยายตัวดีของเขากลัวจะภาพพจน์เสียหายต่อหน้าบิดาของเขาหรืออย่างไรกัน ทีอยู่กับเขาสองคนเห็นดื่มเอา ๆ
“คุณพ่อคงไม่ว่าอะไรที่น้องดาจะดื่มด้วยใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มหันไปถามบิดาหน้าซื่อ แต่นัยน์ตาเป็นประกายซุกซนเมื่อหันมาสบตากับคนกลัวเสียภาพพจน์ นาน ๆ ทีได้แกล้งยายตัวดีนี่มันสนุกจริง ๆ
“เอ้า โต ๆ จนมีลูกมีผัวแล้วลุงจะไปว่าอะไรล่ะ ถึงจะดื่มจนเมาก็อยู่กับลุงกับเจ้าวี แกคงไม่ปล่อยให้เมียเมามายไม่ดูแลหรอกนะเจ้าวี” ท่านพูดกับลูกสะใภ้ก่อนจะหันไปถามลูกชาย ซึ่งชายหนุ่มก็หัวเราะชอบใจกับคำถามนั้น
“โธ่ ผมไม่ปล่อยให้ ‘เมีย’ เมาหรอกครับคุณพ่อ ไม่ต้องห่วง”
“งั้นน้องดาดื่มที่คุณลุงกับพี่วีดื่มก็ได้ค่ะ” หญิงสาวรีบตัดบท รู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าคุณลุง พี่วีชอบจะแกล้งเธอเรื่องที่แสร้งเป็นสามีภรรยากันให้เธอรู้สึกวูบวาบตลอดเลยเชียว ฝากไว้ก่อนอีตาพี่วี มีโอกาสน้องดาจะเอาคืนให้พูดไม่ออกเลย หญิงสาวเข่นเขี้ยวในใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหยิบแก้วมาอีกสองใบ จอยไปไหนแล้วล่ะ” บอกลูกชายพลางมองหาพี่จอยที่รับใช้อยู่ไม่ห่างเมื่อสักครู่ แต่คราวนี้กลับหายตัวไปเสียแล้ว
“พี่จอยอาจจะอยู่ในครัว เดี๋ยวผมไปหยิบเองก็ได้ครับคุณพ่อ” ปรวีร์อาสาพลางลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้าน
ไม่นานชายหนุ่มก็กลับออกมาพร้อมแก้วในมือสองใบ เขาชงเครื่องดื่มบาง ๆ ยื่นให้ผู้เป็นภรรยา ก่อนจะชงเข้มขึ้นให้ตนเองและบิดา ซึ่งแก้วของท่านเพิ่งจะว่างเปล่าลงเช่นกัน
ทั้งสามนั่งดื่มและพูดคุยถึงการเตรียมการทำบุญในวันพรุ่งนี้จนถึงเวลาอาหารเย็น เมื่อพี่จอยมาแจ้งว่าอาหารเย็นขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้วจึงย้ายจากระเบียงเข้าไปในห้องอาหารของบ้านซึ่งอยู่ติดกับห้องครัวและห้องนั่งเล่น จนเมื่อเสร็จสิ้นกับการรับประทานอาหารเย็น คุณปวินท์ก็ขอตัวเข้าห้องเพื่อพักผ่อนเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน
หลังมองบิดาจนลับสายตา ปรวีร์ก็หันมาหาหญิงสาว
“น้องดาอยากไปเดินเล่นกับพี่วีไหม”
“ไปสิคะ” ดาริกาตอบรับทันที ในสมัยที่เธอมาที่เกาะดาริกาพร้อมบิดาและมารดา ทุกคืนหลังอาหารเย็น ทั้งสามจะเดินย่อยอาหารไปบนชายหาดรอบ ๆ เกาะเสมอ แม้วันนี้จะไม่มีทั้งบิดาและมารดาอยู่กับเธอแล้ว แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีพี่วีและคุณลุงปวินท์ เธอไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวในโลกใบนี้ แม้พ่อจะจากเธอไป แต่เพื่อนสนิทของท่านที่รักและเอ็นดูเธอไม่น้อยยังคงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับเธอ และพี่วีก็เป็นเหมือนพี่ชายที่หญิงสาวเชื่อว่าเขาจะปกป้องคุ้มครองเธอตลอดไป แม้ว่าในที่สุดแล้วเขาและเธอจะต้องมีทางเดินของชีวิตไปกันคนละทางก็ตาม
“คิดอะไรอยู่” ปรวีร์ถามเมื่อคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เงียบเสียงไป ดาริกาเงยหน้าขึ้นมองพลางยิ้มเศร้า ๆ
“คิดถึงพ่อกับแม่ค่ะ สมัยก่อนหลังกินข้าวเย็นเสร็จ เราสามคนก็จะมาเดินย่อยที่นี่ทุกคืนเลย” คำตอบเบาของคนข้างกายทำให้ปรวีร์ยกมือขึ้นโอบไหล่บางแล้วกระชับอ้อมแขนแน่น เขาก้มลงจูบลงไปบนกลุ่มผมนุ่มพร้อมบอกเสียงหนักแน่น
“คุณอาทั้งสองไปสบายแล้วนะ ตอนนี้น้องดาเป็นครอบครัวเดียวกับพี่วีกับคุณพ่อ ไม่ได้ตัวคนเดียว รู้ไหม”
“แต่เดี๋ยวพี่วีก็ต้องมีครอบครัวของตนเอง...” ปลายประโยคเสียงเบาหวิว ใจหายเมื่อคิดว่าสักวันเขาจะกลายไปเป็นคนอื่น ไม่ใช่พี่ชายที่โอบกอดให้ความอบอุ่นทั้งใจและกายกับเธออยู่เช่นนี้
“พี่วีไม่มีใคร” ชายหนุ่มตอบทันควัน
“แต่สักวันพี่วีก็ต้องมี เราจะอยู่กันแบบหลอก ๆ แบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ พี่วียินดีที่จะอยู่แบบนี้จนกว่า... จนกว่าน้องดาจะไม่ต้องการพี่วี” คำพูดของชายหนุ่มทำให้ดาริกายกมือขึ้นโอบเอวคนตัวโต กล่าวอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณมากนะคะพี่วี แต่น้องดาเห็นแก่ตัวกับพี่วีแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ คุณลุงก็อยากได้หลาน ยังไงพี่วีก็ต้องมีครอบครัวของพี่วีเอง อย่ายึดถือสัญญาที่ให้คุณพ่อว่าจะดูแลน้องดาจนลืมนึกถึงตัวเองเลยนะคะ”
“แต่ตอนนี้พี่วียังไม่มีใคร” ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้ ซึ่งคำพูดของเขาทำให้คนที่ริจะเป็นแม่สื่อจำได้ว่าบอกอะไรกับเพื่อนสนิทไว้ จึงเรียกชายหนุ่มน้ำเสียงประจบ
“พี่วี...”
“หืม”
“ถ้าพี่วีไม่มีใคร น้องดามี... เอ่อ... มีเพื่อน... อยากแนะนำให้พี่วีรู้จัก” เอาน่ะ อะไรจะเกิดก็เกิด บอกตัวเองในใจ ไหน ๆ ก็รับปากยายขวัญมาแล้ว พี่วีก็ไม่มีคนรัก หากเธอจะทำตัวเป็นกามเทพทำให้คนที่เธอรักสองคนมารักกัน มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือ
“ทำไมต้องอยากให้พี่วีรู้จัก” ถามเสียงห้วน เขาพอรู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไร และมันทำให้เขารู้สึก... นั่นสิ... ความรู้สึกที่เขากำลังรู้สึกอยู่นี้เรียกว่าอะไรกันแน่ จะว่าโกรธก็ไม่ขนาดนั้น แต่ไม่พอใจน่ะใช่แน่ ว่าแต่... ไม่พอใจอะไรนะ ไม่พอใจที่เธอไม่ต้องการเขาจนพยายามจะยัดเยียดเขาให้กับเพื่อนของเธออย่างนั้นหรือ หรือว่าความรู้สึกเจ็บลึก ๆ นี่คือความน้อยใจ น้อยใจที่เธอไม่เคยมองเขาในฐานะอื่นที่มากไปกว่าพี่ชายเลย แม้เขาจะมีฐานะเป็นสามีของเธอทั้งตามกฎหมายและประเพณีก็ตาม
“พี่วี... โกรธหรือคะ” ได้ยินเสียงอ่อนถามมาจากด้านหลัง เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเดินหนีเธอมาตั้งแต่เมื่อไร มือใหญ่ของเขาถูกมือเล็กกว่าคว้าไว้ ขณะเจ้าตัวเว้าวอนเสียงเบา
“พี่วี น้องดาขอโทษ” ปรวีร์เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ในใจอ่อนยวบเมื่อได้ยินเสียงสั่นของคนสำนึกผิดด้านหลัง ชายหนุ่มหยุดเดิน ก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ยังกุมมือเขาอยู่ บอกน้ำเสียงห่างเหิน
“ถ้าน้องดาไม่อยากอยู่กับพี่วีแล้วก็บอกกันตรง ๆ ไม่จำเป็นต้องยัดเยียดพี่วีให้คนอื่น”
“ไม่นะคะ น้องดาไม่เคยคิดแบบนั้น ไม่เคยไม่อยากอยู่กับพี่วีนะคะ” รีบบอกละล่ำละลัก ทำไมกับเพียงแค่น้ำเสียงเหินห่างของเขาจึงทำให้เธอใจหายได้ขนาดนี้
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าทำแบบนี้อีก มันทำให้พี่วีรู้สึกว่าน้องดาพยายามกำจัดพี่วีออกไปจากชีวิต”
“ค่ะพี่วี น้องดาจะไม่ทำอีก หายโกรธน้องดานะคะ”
“สัญญาก่อน” น้ำเสียงของเขาทำให้คนที่หน้าหดเหลือสองนิ้วเมื่อสักครู่ยิ้มได้ เพราะมันไม่ใช่น้ำเสียงเย็นชาอย่างที่เขาใช้เมื่อสักครู่ มือเล็กจึงยกมือใหญ่ขึ้นเกี่ยวก้อย
“สัญญา”
คำพูดและท่าทางของหญิงสาวทำให้ปรวีร์ยิ้มได้ หวังว่ายายตัวดีจะไม่ริทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เขาอีก เพราะเขารับไม่ได้จริง ๆ เมื่อคิดว่าเธอกำลังพยายามยัดเยียดเขาให้กับคนอื่น เขาไม่อยากเป็นของคนอื่น เขาอยากเป็นของเธอคนเดียว เมื่อไหร่เธอจะมองเห็นว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่พี่ชายอย่างที่เธอมองมาตลอดเสียที
เมื่อเข้าใจกันดีแล้ว สองหนุ่มสาวเดินเคียงกันไปเงียบ ๆ สองมือที่เกี่ยวก้อยเมื่อสักครู่ยังคงเกาะเกี่ยวกันอยู่โดยไม่มีใครปล่อยก่อน ชายหาดที่ทั้งสองกำลังเดินไปบนผืนทรายหยุ่นเท้าค่อนข้างมืด หากก็พอมองเห็น ด้วยท้องฟ้าสีดำสนิทเบื้องบนมีประกายระยิบระยับของดวงดาวนับล้าน ๆ ดวง ราวกับเกล็ดเพชรบนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำ
“พี่วีรู้ไหมคะว่าทำไมเกาะนี้ถึงชื่อเกาะดาริกา” ดาริกาถามทำลายความเงียบขึ้น หลังจากที่เดินกันไปสักพัก
“อืม... ตั้งตามชื่อน้องดา” ชายหนุ่มเดา หากคนฟังกลับหัวเราะกิ๊ก
“ชื่อน้องดาตั้งตามชื่อเกาะต่างหากล่ะคะ คุณพ่อซื้อเกาะนี้ตั้งแต่น้องดายังไม่เกิดเลย”
“อ้าว งั้นหรือ งั้นก็ไม่รู้แล้ว”
“พี่วีมองบนฟ้าสิคะ” หญิงสาวบอก ชายหนุ่มทำตามก่อนจะเข้าใจในทันที เมื่อสายตาสบกับประกายระยิบระยับของดวงดาวบนผืนฟ้ากว้างใหญ่
“เกาะดาริกา เกาะดวงดาวนับล้าน ๆ ดวง” ชายหนุ่มพึมพำ
“สวยใช่ไหมคะพี่วี บางทีคุณพ่อก็พาเรามานอนดูดาวบนชายหาดค่ะ คุณแม่จะเล่านิทานให้ฟัง นิทานดวงดาวจากเสียงหวาน ๆ ของคุณแม่ เสียงคลื่นกระทบหาด และแสงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า กล่อมให้น้องดาหลับแล้วตื่นมาในบ้านเสมอเลย” หญิงสาวเล่ายิ้ม ๆ ความทรงจำอันสวยงามในวัยเด็กที่ไม่เคยเลือนหาย แม้บิดามารดาจะไม่อยู่กับเธอแล้วก็ตาม
“ถ้าน้องดาต้องการ วันหลังเรามานอนดูดาวกันบ้างก็ได้” ชายหนุ่มบอก เขาสัมผัสได้ถึงความสุขเมื่อเธอเล่าถึงการนอนดูดาวกับบิดามารดาในสมัยยังเด็ก และเขาอยากให้เธอมีเขาในความทรงจำที่งดงามเช่นนั้นบ้าง
“ต้องการสิคะพี่วี ให้มานอนดูดาวทุกวันยังได้เลย” หญิงสาวบอกพลางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้คนใจดีที่อาสาจะพาเธอมานอนดูดาว ซึ่งเคยเป็นกิจกรรมโปรดของครอบครัวทุกครั้งที่มาพักผ่อนยังเกาะดาริกาแห่งนี้
ทั้งสองเดินเล่นต่อไปอีกนาน สายลมแผ่วที่พัดพาอากาศเย็นสบายมากระทบผิว เสียงคลื่นน้ำกระทบหาดดังโครมคราม และประกายระยิบระยับของดวงดาวที่ประดับท้องฟ้ามืดมิด เป็นความสงบงามที่ทำให้คนสองคนที่กำลังดื่มด่ำกับความงามที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมดไม่อยากจะละไปจากที่ตรงนี้เลย
“ดึกแล้ว เข้าบ้านกันไหมน้องดา” แต่แม้จะไม่อยากจากไปไหน ปรวีร์ก็ต้องตัดใจหลังจากที่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วพบว่าเป็นเวลาค่อนข้างดึก พรุ่งนี้เขาและเธอยังจะต้องตื่นมาแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวทำบุญ จึงคิดว่าถึงเวลาที่จะกลับไปนอนพักผ่อนได้แล้ว
“พี่วีสัญญาว่าพรุ่งนี้จะพามาอีก” ชายหนุ่มบอกเมื่อมองเห็นอีกคนทำท่าทางอิดออดเหมือนไม่อยากจะกลับเข้าบ้าน หญิงสาวถึงถอนใจและยอมเดินตามการจับจูงของชายหนุ่มเพื่อกลับไปยังตัวบ้านพักแต่โดยดี