ร้านป้าเรย์ ศวธ ตำนานที่กำลังจะโดนปิด

นี้เป็นข้อความของ Sun Lightsource ผู้ที่อยู่งานเบื้องหลังในวงการบันเทิง

-----------------------------------------------------
ผมเชื่อว่าใครที่เคยได้ไปทำงานที่ศูนย์วัฒนธรรมไทย-ญี่ปุ่น
ไม่มีใครไม่รู้จักร้านป้าเรย์ และไม่มีใครไม่เคยไม่กินข้าวร้านป้าเรย์

ผมรู้จักกับป้าเรย์และลุงปัญญามาตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีก่อน
ตั้งแต่ครั้งทำคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดอัลบั้มแรกๆ
ทั้งลุงและป้ามีน้ำใจกับซัพพลายเออร์อย่างพวกเราเสมอมา

เมื่อพวกเราสั่งข้าวที่ร้านแกมากิน
ป้าเรย์ก็มักแถมขนมและผลไม้มาให้ด้วย
ตอนคิดเงินลุงปัญญาก็มักคิดเหมาถูกๆ
...แบบว่ากลัวพวกเราจะจน

บางทีเวลาที่ลูกค้าสั่งข้าวจากร้านป้าเรย์ไปเลี้ยงทีมงาน
ป้ากับลุงก็จะมาคอยด้อมๆมองๆพวกซัพพลายเออร์
กลัวว่าจะกินกันไม่อิ่ม และหากเห็นว่ากับข้าวหมด
แกก็จะมีก๊อกสองสั่งให้ลูกน้องเอามาให้ใหม่

และหากศิลปินมีขนมและผลไม้อะไรพิเศษ
แกก็มักจะจัดเต็มไม่อั้น และก็จะกันส่วนหนึ่ง
แอบเอามาให้พวกซัพพลายเออร์ได้กินกัน
โดยแกบอกว่า
“พวกเอ็งใช้แรงงานทำงานดึก
ต้องกินให้ดีๆหน่อย งานเค้าจะได้ออกมาดี”

ด้วยความที่แกเป็นกันเองและมีน้ำใจ
ให้กับ “กรรมกรบันเทิง” อย่างพวกเรา
พวกเราหลายต่อหลายคน
จึงเคารพนับถือป้าเรย์และลุงปัญญาเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่สนิท

...............................
เดิมทีร้านของป้าเรย์ ขายอยู่ภายในสำนักงาน ขสมก
เวลาที่พวกเราทำงานที่ศูนย์วัฒนธรรมมักจะค่อยๆเดินตัวลีบ
แถวตอนเรียงหนึ่งผ่านป้อมยามเพื่อเข้าไปกินอาหารในนั้น
(สมัยนั้นใครไปทำงานที่ศูนย์วัฒนธรรมจะหาของกินยากมาก)
จนแกคิดขยับขยายย้ายร้าน
ออกมาเช่าที่ด้านหน้ากำแพงศูนย์วัฒนธรรม
ซึ่งสมัยนั้นเป็นที่รกร้าง

ลุงปัญญาและป้าเรย์เช่าที่ตรงนั้น
เปิดเป็น “ร้านอาหารป้าเรย์”
โดยแกบุกเบิกถมที่ สร้างร้าน ปลูกต้นไม้
ด้วยกำลังของแกทั้งสองคน
ต้นไม้ที่อยู่ริมฟุตบาธทางเดินหน้าร้าน
ลุงปัญญาก็เป็นคนลงมือปลูก
ตั้งแต่ต้นสูงแค่เอว จนตอนนี้สูงใหญ่ร่มคลึ้ม
จากเดิมกำแพงศูนย์วัฒนธรรมที่เป็นที่รกร้างไร้สง่าราศี
ก็กลายเป็นร้านขายอาหาร
ที่มีบรรยากาศร่มรื่นจนทุกวันนี้

ร้านของป้าเรย์กลายเป็นที่พึ่งพิงแวะพัก
ของบรรดาคนทำงานย่านนั้น
และที่มาจากที่อื่นๆที่ผ่านทาง
เพราะการที่แกขายอาหารไม่แพง
เป็นกันเองมีน้ำใจ มีน้ำแจกฟรี เปิดเพลงสไตล์ RETRO
อาหารของแกจึงขายหมดตั้งแต่บ่ายๆ
เคยมีคนที่อยู่ชุมชนแออัดอีกฟากฝั่งหนึ่ง
ของถนนศูนย์วัฒนธรรม(ที่มีห้างใหญ่สูงระฟ้าอยู่ตอนนี้)
ปีนกำแพงมาขอข้าวแกกินทั้งป้าและลุงก็ไม่เคยคิดเงิน
ด้วยเห็นว่าเป็นคนจนไม่มีเงิน

อดีตท่านนายกสมัคร สุนทรเวช ในสมัยที่เป็นผู้ว่ากทม
ได้เคยมาที่ร้านแก เพราะเสียงร่ำลือว่าขายอาหารไม่แพง
คุณภาพใช้ได้ เลยมาให้เห็นกับตาพร้อมทั้งขอติดป้าย
ให้เป็นหนึ่งในโครงการอาหารถูกของกทม.ในสมัยนั้น

ศิลปินนักแสดงนักร้องแทบทุกคน
ที่เคยได้มาแสดงที่ศูนย์วัฒนธรรมไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่
จะดังมากดังน้อย จะเป็นถึงศิลปินแห่งชาติ
หรือแม้จะเป็นแค่ “กรรมกรบันเทิง” อย่างพวกผม
ป้าเรย์และลุงปัญญาก็ไม่เคยแบ่งชั้นวรรณะ
อัธยาศัยและความมีน้ำใจของแกคงเส้นคงวากับทุกคน

........................................
13:00 น.ของวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม

ผมขับรถผ่านเข้าถนนศูนย์วัฒนธรรมอีกครั้ง
เห็นร้านป้าเรย์ล้อมรั้วสังกะสีสีเขียวปิดโดยรอบก็แปลกใจ
เหลือเพียงตรอกแคบๆพอให้รถเข้าไปได้นิดหน่อย

ผมได้พบกับป้าเรย์และลูกน้องที่เหลือ
ซึ่งล้วนเป็นผู้หญิงอีกไม่กี่คน
ป้าเรย์บอกว่า ป้าค้างค่าเช่าที่มาแล้วสามเดือน
เจ้าของที่ก็เลยสั่งคนมาล้อมรั้ว
ไม่ให้ขายและให้อยู่จนถึงแค่สิ้นเดือนนี้
ป้าก็ยังไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน
ตั้งตัวไม่ทันเพราะลุงปัญญาก็ป่วยเป็นหลายโรค
ตอนนี้ป้าก็ตัวคนเดียว ไม่รู้จะจัดการยังไง
ตั้งแต่ต้นปีมานี้เจอเรื่องปัญหาการเมืองขายของไม่ดีเลย
เจ้าของที่ก็มาขึ้นค่าเช่าอีกตั้งสองเท่า
(จากเดือนละห้าหมื่นเป็นแสนห้า)
ป้าขายไม่ดีก็ค้างค่าเช่าเค้ามาสามเดือน
เค้าเลยไม่ยอม เค้าคงคิดว่าป้ารวยเห็นคนกินเยอะ
แต่ป้าแค่พออยู่ได้
สะสมได้เงินก้อนมาก็เอามาลงทุนทำร้านไปเยอะ
ตอนนี้ขายหน้าร้านไม่ได้แล้ว
ได้แต่ทำหลังร้าน ส่งอาหารตามสั่ง

ระหว่างที่ผมคุยกับป้า ก็ต้องหยุดเป็นระยะๆ
เพราะเดี๋ยวคนโน้นคนนี้ก็มาเบิกตังค์ซื้อของ
มีอยู่คนหนึ่งมาเก็บตังค์ค่าส่งน้ำแข็งพันกว่าบาท
แต่ป้าก็บอกว่าผลัดไปก่อนไม่ได้เหรอพรุ่งนี้ค่อยมาเอา
แต่คนเก็บเงินค่าน้ำแข็งไม่ยอม
ขอให้จ่ายมาบ้างเดี๋ยวเถ้าแก่จะว่าเอา
ผมเห็นป้าค่อยๆนับเงินที่กำไว้ในมือจ่ายไป

...เห็นชัดว่ามือแกสั่นแล้ว....

ผมเข้าใจความทุกข์ที่ป้าเจออยู่ตอนนี้ได้ทันที
และภาพของลุงปัญญาที่เคย
หยอกเย้ากับพวกผมผุดขึ้นมาในความทรงจำ
แต่นั่นมันเป็นภาพเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว
หลายปีมานี้ลุงปัญญาป่วยหนัก
ด้วยโรคตับทำให้แกทรุดโทรมลงอย่างมาก
เหลือเพียงกำลังใจของแกเท่านั้นที่ยังดีอยู่

ผมขอป้าเข้าไปพบลุงปัญญาที่นอนพักอยู่ในห้อง
แกถอดเสื้อตัวผอมลีบนั่งอยู่บนเตียง
เมื่อเจอหน้าผมแกก็ส่งยิ้ม
เรียกเสียงเบาๆแทบไม่ได้ยิน
ยกมือนิดหน่อยบอกให้เข้ามาๆ
ผมเดินเข้าไปหา
จับมือแกแน่นก้มหน้าเข้าไปใกล้ๆถามว่าจำผมได้มั้ยครับลุง
“จำได้... อาซัน”

ลุงปัญญาบอกว่า
“ไม่คิดอะไรแล้ว คนเรามันถึงเวลา มันถึงเวลา
...ลุงไม่บอกใคร ลุงไม่บอกใคร...”

.....ผมแทบน้ำตาร่วง.....

ท้ายที่สุดตอนนี้
ผมแค่อยากบอกกล่าวเพื่อนๆของผมทั้งหลาย
ทั้งที่เคยเป็นและยังเป็น “กรรมกรบันเทิง”
หรือยังเป็น “มนุษย์งาน”
แวะเวียนไปให้กำลังใจลุงปัญญากับป้าเรย์ของพวกเรา
และหากมีช่องทางอันใดที่จะช่วยเหลือแกทั้งสองคนได้
ผมว่า พวกเราทำได้ครับ
.......................



ที่มา : https://www.facebook.com/sun.lightsource/media_set?set=a.685012028218837.1073741829.100001301372690&type=1
มีผู้ช่วยเหลือสร้างเพจขึ้นมาเพื่ออัพเดทข้อมูลข่าวสารคับ https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C/348947218595324?fref=ts
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่