บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ "ขาย" JAS ให้ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท/หุ้น โดยระบุว่าเมื่อมีความไม่แน่นอนขายคือทางออกที่ดีที่สุด โดยกำไรปัจจุบันยังแข็งแกร่งแต่หมดช่วงของการเป็นหุ้นเติบโตสูง ขณะที่เงินลงทุนยังคงมีความจำเป็น ทำให้ยังไม่ใช่หุ้นปันผลเช่นกัน
นอกจากนี้ประเด็นฟ้องร้องหลายประเด็นที่กระทบราคาหุ้นบ่อยครั้ง แม้กระทบจิตวิทยาเพียงช่วงสั้น แต่มีโอกาสกระทบปัจจัยพื้นฐานในอนาคตได้ โดยเฉพาะประเด็น TT&T ยื่นฟ้อง Worst case อาจทำให้ไม่มีสินทรัพย์ดำเนินธุรกิจ แต่เราคาดว่าต้องใช้เวลาในการพิจารณาของศาล เบื้องต้นรอคำสั่งศาลว่าจะคุ้มครองชั่วคราวสินทรัพย์ดังกล่าวหรือไม่ เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่สูงขึ้น เรามีการปรับ Beta ของ JAS ขึ้นเป็น 2 เท่า ทำให้ราคาเป้าหมายลดลงอยู่ที่ 6.20 บาท และแนะนำ ขาย
แม้ว่าผลประกอบการปัจจุบันยังคงแข็งแกร่งที่ แต่ผลประกอบการผ่านการเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูงไปแล้ว เราคาดการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 5ปีข้างหน้าที่เพียง 8% CAGR (2557 – 2562) ขณะที่มีความเสี่ยงเรื่องการเข้ามาของ Operator รายใหม่ เนื่องจากเป็นธุรกิจอัตรากำไรสูง และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทำให้ JAS ยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงเพื่อเพิ่มความเร็วในการให้บริการจากระบบ ADSL ที่ใช้อยุ่ปัจจุบัน ทำให้เรายังไม่คาดหวังการเป็นหุ้นปันผลจาก JAS เช่นกัน
ประเด็นฟ้องร้องกระทบจิตวิทยาต่อนนี้ แต่ต่อไปอาจกระทบพื้นฐาน: ราคาหุ้น JAS ปรับตัวลงจาก 2 ประเด็นหลักคือ 1) ความกังวลหลังมีรายงานข่าวว่าเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่างประเทศ 4 แห่ง เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งในวันท่ 18 ส.ค. เพื่อให้ JAS ชำระหนี้ที่เคยต้อง Hair cut ให้ในช่วงที่เข้าแผนฟื้นฟูมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท (1.40 บาท/หุ้น) หลังศาลฎีกาพลิกคำตัดสินศาลล้มละลายกลาง ไม่เห็นชอบกับแผนฟื้นฟู
รวมทั้ง 2) กรณี TT&T ยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อร้องสิทธิในการเพิ่มทุนใน TTTBB (รายละเอียดหน้า 2) ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทย่อยของ JAS และเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่กำลังจะขายเข้ากองทุน IFF โดย TT&T ร้องให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวทรัพย์สินไว้ หากศาลรับฟ้องจะทำให้ทรัพย์สินนี้ไม่สามารถทำธุรกรรม IFF ได้ จึงเป็นความเสี่ยง
แม้ว่าบริษัทยังคงมั่นใจว่าปัจจุบันไม่มีเจ้าหนี้รายใดมาแสดงตนและจะจ่ายหนี้ไม่เกิน 1,300 ล้านบาทตามที่ฝ่ายกฎหมายของบริษัทประเมิน และกรณีกับ TT&T บริษัทเชื่อว่า MOU หมดอายุไปแล้วนั้น แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนศาลถือว่าเป็นความเสี่ยง และมีความไม่แน่นอนที่ผลวินิจฉัยอาจเป็นบวกหรือลบต่อบริษัทได้ หากเป็นลบจะกระทบให้ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญได้
ผลตอบแทนไม่คุ้มความเสี่ยง แนะนำ ขาย: จากการปรับ Beta เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่สูงขึ้นเป็น 2 เท่า และสูงกว่ารายงาน Bloomberg ที่ 1.6 เท่า เพราะที่ 1.6 เท่าคือทีระดับสถานการณ์ปกติ ส่งผลให้ WACC เพิ่มขึ้นเป็น 16.2% จากเดิม 12.1% และความเสี่ยงจากการเสียส่วนแบ่งทางการตลาดและอัตรากำไรในอนาคตที่อาจลดลงจากการมีคู่แข่งในตลาดมากขึ้นเราจึงปรับลด Terminal growth ลงจาก 2% เป็น 1% ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปี 2557 ลดลงเหลือเพียง 6.20 บาท จึงแนะนำ ขาย และไม่แนะนำการซื้อเพื่อเก็งกำไรการฟื้นตัว และอาจพิจารณาถอดออกจากหุ้นใน Coverage ของ Maybank Kim Eng
ที่มา
http://www.moneychannel.co.th/index.php/newsupdate/32302-gkr5741.html
แนะนำ "ขาย" JAS ให้ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท/หุ้น by กิมเอ็ง
นอกจากนี้ประเด็นฟ้องร้องหลายประเด็นที่กระทบราคาหุ้นบ่อยครั้ง แม้กระทบจิตวิทยาเพียงช่วงสั้น แต่มีโอกาสกระทบปัจจัยพื้นฐานในอนาคตได้ โดยเฉพาะประเด็น TT&T ยื่นฟ้อง Worst case อาจทำให้ไม่มีสินทรัพย์ดำเนินธุรกิจ แต่เราคาดว่าต้องใช้เวลาในการพิจารณาของศาล เบื้องต้นรอคำสั่งศาลว่าจะคุ้มครองชั่วคราวสินทรัพย์ดังกล่าวหรือไม่ เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่สูงขึ้น เรามีการปรับ Beta ของ JAS ขึ้นเป็น 2 เท่า ทำให้ราคาเป้าหมายลดลงอยู่ที่ 6.20 บาท และแนะนำ ขาย
แม้ว่าผลประกอบการปัจจุบันยังคงแข็งแกร่งที่ แต่ผลประกอบการผ่านการเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูงไปแล้ว เราคาดการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 5ปีข้างหน้าที่เพียง 8% CAGR (2557 – 2562) ขณะที่มีความเสี่ยงเรื่องการเข้ามาของ Operator รายใหม่ เนื่องจากเป็นธุรกิจอัตรากำไรสูง และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทำให้ JAS ยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงเพื่อเพิ่มความเร็วในการให้บริการจากระบบ ADSL ที่ใช้อยุ่ปัจจุบัน ทำให้เรายังไม่คาดหวังการเป็นหุ้นปันผลจาก JAS เช่นกัน
ประเด็นฟ้องร้องกระทบจิตวิทยาต่อนนี้ แต่ต่อไปอาจกระทบพื้นฐาน: ราคาหุ้น JAS ปรับตัวลงจาก 2 ประเด็นหลักคือ 1) ความกังวลหลังมีรายงานข่าวว่าเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่างประเทศ 4 แห่ง เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งในวันท่ 18 ส.ค. เพื่อให้ JAS ชำระหนี้ที่เคยต้อง Hair cut ให้ในช่วงที่เข้าแผนฟื้นฟูมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท (1.40 บาท/หุ้น) หลังศาลฎีกาพลิกคำตัดสินศาลล้มละลายกลาง ไม่เห็นชอบกับแผนฟื้นฟู
รวมทั้ง 2) กรณี TT&T ยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อร้องสิทธิในการเพิ่มทุนใน TTTBB (รายละเอียดหน้า 2) ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทย่อยของ JAS และเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่กำลังจะขายเข้ากองทุน IFF โดย TT&T ร้องให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวทรัพย์สินไว้ หากศาลรับฟ้องจะทำให้ทรัพย์สินนี้ไม่สามารถทำธุรกรรม IFF ได้ จึงเป็นความเสี่ยง
แม้ว่าบริษัทยังคงมั่นใจว่าปัจจุบันไม่มีเจ้าหนี้รายใดมาแสดงตนและจะจ่ายหนี้ไม่เกิน 1,300 ล้านบาทตามที่ฝ่ายกฎหมายของบริษัทประเมิน และกรณีกับ TT&T บริษัทเชื่อว่า MOU หมดอายุไปแล้วนั้น แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนศาลถือว่าเป็นความเสี่ยง และมีความไม่แน่นอนที่ผลวินิจฉัยอาจเป็นบวกหรือลบต่อบริษัทได้ หากเป็นลบจะกระทบให้ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญได้
ผลตอบแทนไม่คุ้มความเสี่ยง แนะนำ ขาย: จากการปรับ Beta เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่สูงขึ้นเป็น 2 เท่า และสูงกว่ารายงาน Bloomberg ที่ 1.6 เท่า เพราะที่ 1.6 เท่าคือทีระดับสถานการณ์ปกติ ส่งผลให้ WACC เพิ่มขึ้นเป็น 16.2% จากเดิม 12.1% และความเสี่ยงจากการเสียส่วนแบ่งทางการตลาดและอัตรากำไรในอนาคตที่อาจลดลงจากการมีคู่แข่งในตลาดมากขึ้นเราจึงปรับลด Terminal growth ลงจาก 2% เป็น 1% ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปี 2557 ลดลงเหลือเพียง 6.20 บาท จึงแนะนำ ขาย และไม่แนะนำการซื้อเพื่อเก็งกำไรการฟื้นตัว และอาจพิจารณาถอดออกจากหุ้นใน Coverage ของ Maybank Kim Eng
ที่มา http://www.moneychannel.co.th/index.php/newsupdate/32302-gkr5741.html