"ภูตล้างถั่ว" (小豆洗い)(จากตำนานร้อยเรื่องเล่า 巷説百物語) ตอน 3+4/5

3.

เรื่องเล่ายาวนานของโอกิง นักเชิดหุ่นจบลง
โมโมะสุเกะนิ่งฟังอยู่ด้วยความสนใจ เขาเป็นบุรุษนิสัยแปลกประหลาดผู้โปรดปรานการเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อรับฟังและรวบรวมเรื่องเล่าของภูตผีปีศาจ  โลกยังเต็มไปด้วยเรื่องปริศนา โลกยังมีเรื่องอัศจรรย์อีกมาก  โมโมะสุเกะหวังจะเขียนหนังสือร้อยเรื่องเล่าที่บันทึกเรื่องราวเช่นนี้ไว้
สำหรับโมโมะสุเกะ การที่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วยความบังเอิญถือเป็นโชคลาภ ตอนชายในชุดองเกียวชวนสนทนาเรื่องภูตผีฆ่าเวลา ตนยังยินดีจนแทบจะพลั้งปากกล่าวขอบพระคุณ แม้เมื่อแรกติดค้างอยู่ที่นี่จะนึกสาปแช่งความโชคร้ายของตน แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องนึกขอบพระคุณดินฟ้าอากาศที่ปั่นป่วนเป็นใจ
เรื่องเล่าจากปากเหล่าชาวนาล้วนเป็นเรื่องดาดดื่น เช่น มองเห็นลูกไฟสุกสว่างลอยจากบ้านที่มีคนตาย หรือลางสังหรณ์ใจประหลาดวาบขึ้นทำให้กลับไปดูใจญาติใกล้ตายได้ทันเวลา แม้จะไม่มีเรื่องแปลกใหม่ แต่ถ้อยคำซื่อๆ ไร้มารยาล้วนเป็นเครื่องชูรสได้อย่างดี
กลับกัน เรื่องเล่าจากปากชาวพ่อค้ากลับเป็นเรื่องที่นิยมกันอยู่ในเวลานั้น แม้ถ้อยคำจะจัดเจนเร้าใจ หากเดาตอนจบได้จึงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น
ศิลปะการเล่าที่หลักแหลมไม่อาจเพิ่มเสน่ห์ให้เรื่องภูตผี

แล้วก็โอกิง
ผู้หญิงที่เดาตัวตนไม่ออก ดูจากรูปร่างหน้าตาและสัมภาระ พอเดาได้ว่านางคงเป็นผู้เชิดหุ่นคุงุตสึและขับเพลงกิดะยู  แต่นางจะไปที่ไหนคิดอะไรอยู่ โมโมะสุเกะเดาไม่ออกเลย
แม้ไม่น่ากลัวแต่จัดเป็นเรื่องพิศดาร

โมโมะสุเกะไม่เคยได้ยินเรื่องแมวภูเขาแปลงร่างมาก่อน  เรื่องเล่าความเชื่อที่พัวพันอยู่กับแมวเท่าที่โมโมะสุเกะรู้มักเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ หากแมวล้างหน้าแปลว่าอากาศอาจแจ่มใสหรือครึ้มฝน โมโมะสุเกะรู้จักความเชื่อที่เป็นคำสุภาษิตเช่นนั้นอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย รวมถึงแมวที่เป็นโชคลางในการคลอดลูก  เรื่องสยองขวัญนองเลือดบาเคเนโกะหรือเนโกะมาตะที่ปรากฎในแต่ละท้องถิ่น  แทบทั้งหมดเป็นเรื่องของการล้างแค้น  ไม่แตกต่างจากตำนานแมวปีศาจนาเบชิมะ
แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมีที่มา เช่นหนังสืออ่านเล่นที่ได้รับความนิยมในเอโดะหรือเรื่องราวในละครเคียวเก็งแพร่กระจายไปสู่หัวเมืองและหยั่งรากจนได้รับการเล่าขานในฐานะตำนานพื้นบ้านของท้องถิ่นนั้นๆ   โมโมะสุเกะผู้โปรดปรานเรื่องภูตผีได้อ่านหนังสือเหล่านี้มาจนเกลี้ยงเกลา ละครก็ดูมาจนหมด ส่วนมากจึงรู้เรื่องเหล่านี้ทะลุปรุโปร่ง
เรื่องเล่าเดิมที่เปลี่ยนเพียงภูมิลำเนาและชื่อตัวละครช่างน่าเบื่อหน่าย
แต่ดูเหมือนเรื่องของโอกิงจะต่างออกไป
โมโมะสุเกะบันทึกเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ

....เดี๋ยวก่อน

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหนกันนะ
โอกิงไม่ได้ระบุสถานที่ หากแต่ยามเขียนหนังสือต้องระบุท้องที่ให้ชัดเจน โมโมะสุเกะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เรื่องฟังดูเหมือนเรื่องแต่ง เขาเป็นคนอย่างนั้นเอง
ถ้าเช่นนั้นก็จำเป็นต้องถามโอกิงถึงภูมิลำเนา
"โอกิงซัง... ใช่ไหม"
โมโมะสุเกะส่งเสียงถามขึ้นแทบจะพร้อมกับนักบวชผู้มารั้งท้ายสุดนั่งอยู่ริมประตู นับว่าเกินความคาดหมาย
"ไม่ทราบว่าท่านเกิดที่ใด แล้ว..."
แล้วเรื่องนั้นเกิดขึ้นที่ใด นักบวชถามโอกิง
โมโมสุเกะรู้สึกเหมือนโดนขโมยคำพูด ได้แต่นิ่งเงียบ
เมื่อเหลียวไปมอง ก็รู้สึกว่าท่าทางของนักบวชผิดประหลาด  ตากฝนเปียกปอนเหน็ดเหนื่อยมาก็เป็นธรรมดา แต่ดูเหมือนนักบวชจะมีท่าทีกระสับกระส่ายอย่างประหลาด
"เรื่องเมื่อครู่ เกิดขึ้นที่ใด"
โอกิงค้อมศีรษะเล็กน้อย
"ดิฉันเกิดที่เซ็ตสึเจ้าค่ะ เรื่องก็เกิดขึ้นแถวนั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องที่แถวนี้แน่นอน อย่าได้เป็นกังวลเลย"
นางตอบด้วยเสียงมีกังวานยั่วยวน
หากนักบวชยังมีท่าทีไม่คลายใจแม้จะได้รับคำตอบ กลับเขม้นมองโอกิงด้วยสีหน้าฉายความสนเท่ห์ จากนั้นก็ถามซ้ำอีกครั้งว่าเป็นเรื่องจริงแน่หรือ
"อ้าว ตายจริง ท่านนักบวชนี่ขี้ขลาดไม่สมตัวเอาเสียเลย ภูเขานี้คงไม่มีแมวภูเขาหรอก ว่าไหมเจ้าคะทุกท่าน"
โอกิงว่า เสียงหัวเราะเจือเสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ เป็นลูกคู่
ถ้าหมาภูเขาล่ะก็พอมี แมวภูเขาไม่มีหรอก ชาวนาว่า ใช่แล้ว เลิกพูดถึงแมวภูเขาเถอะ ที่นี่มีแต่นักเชิดหุ่นโอกิงเท่านั้น นางกระซิบ นักบวชเหลือกตาขึ้น  สีหน้าคล้ายอึดอัด

...ติดใจอะไรงั้นหรือ
คงไม่ใช่ว่าฟังแล้วเกิดหวาดแมวภูเขาขึ้นมาหรอกนะ โมโมสุเกะรู้สึกค้างคาใจ ดูเหมือนอีกฟากของภูเขาจะมีวัดอยู่ แต่พระจะกลัวแมวด้วยหรือ
เมื่อเหลือบมอง ก็เห็นว่าองเกียวเองก็จ้องมองนักบวชอย่างหยั่งเชิง

...วายร้ายที่ไว้วางใจไม่ได้
อัธยาศัยดีท่าทางกว้างขวาง บรรยากาศคล้ายจะดึงดูดให้คนหลงเสน่ห์ หากว่าองเกียวนามว่ามาตาอิจิผู้นี้ อ่านไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ คงไม่อาจเชื่อใจได้โดยง่าย โมโมสุเกะคิด นักบวชเอ็งไคถามโอกิงอีกครั้ง
"พี่สาวของท่าน มีนามว่าริคุจริงหรือ"
โอกิงหัวเราะ
"ดิฉันว่าอย่างนั้นนะเจ้าคะ เรื่องมันนานมาแล้ว ว่าแต่ท่านนักบวช ติดใจอะไรกับชื่อริคุนักหนาหรือเจ้าคะ"
"เรื่องนั้น...."
ดูเหมือนเอ็งไคจะกระอักกระอ่วนกับคำถามขวานผ่าซากของโอกิง ใบหน้าหมองลงเงียบเสียงไป
นักบวชยกนิ้วขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก
ไม่ใช่หยาดฝน หากเป็นเม็ดเหงื่อ
คงไม่ใช่เพราะอากาศร้อน เช่นนั้นก็คงเป็นเหงื่อกาฬเย็นเยียบ  
"ทำหน้าแบบนั้นมีอะไรหรือเจ้าคะ ท่านนักบวช หรือว่าเรื่องของดิฉันมีอะไรขัดข้องตรงไหน มีอะไรติดหน้าดิฉันอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ"
เอ็งไคที่จ้องหน้าโอกิงเขม็งอยู่สะดุ้งเฮือกรีบก้มหน้างุด นักบวชผู้นี้ ไม่มีอะไรเด่นสะดุดตาแม้แต่อย่างเดียว หน้าตาเรียบๆ เฉยๆ ท่าทางอึมครึมไม่น่าไว้วางใจ
กลับกันโอกิงกลับท่าทางไม่เกรงกลัวใคร กิริยาห้าวหาญเหมือนผู้ชายหากน้ำเสียงกลับเปี่ยมเสน่ห์ยั่วยวน ใบหน้ายาวเรียว ดวงตาดูเยือกเย็น หากมีจริตจะก้านสมหญิงคงเป็นหญิงงามไม่น้อย
อ้าว ฝนซาลงแล้ว พ่อค้าริมหน้าต่างว่าขึ้น
องเกียวเงยหน้าขึ้น
"อา ดูเหมือนฝนจะปรอยแล้ว แต่ก็ยังหนักไม่น้อย  คงไม่ยอมหยุดง่ายๆ เป็นแน่ ค้างคืนอยู่ที่นี่เป็นดี ขืนออกไปข้างนอก...อื๋อ"

เอี๊ยด

มีเสียงอะไรดังแว่ว
เอ็งไคสะดุ้งเฮือก
องเกียวดันพ่อค้าออกมองออกไปข้างนอก
มีอะไรหรือท่านองเกียว พ่อค้าวัยย่างอาวุโสว่า
องเกียวเอียงศีรษะ กระซิบเบาๆ ว่าเสียงอะไร จากนั้นก็โคลงศีรษะไปอีกทาง
"เหมือนเสียงขัดสีข้าว"
เขาว่า
"ไม่ใช่ข้าวสิ เปลือกหอย... ไม่สิ ไม่ใช่ ถั่วแดงกระมัง"
"ถั่วแดง..."
เอ็งไคว่าตามราวกับละเมอ
"มีเสียงอะไรทำนองนั้นด้วยหรือ"
พ่อค้าเอามือป้องหู
โมโมสุเกะก็ได้ยิน
ไม่สิ คงแค่รู้สึกไปเองว่าได้ยิน
กระนั้นโมโมสุเกะก็พูดไปอย่างชัดถ้อยชัดคำว่าตนได้ยิน
ว่าแล้วทั้งชาวนาทั้งพ่อค้าเร่ก็ทยอยพูดออกมาบ้างว่านั่นเป็นถั่วแดง ใช่ ไม่ผิดแน่ โมโมสุเกะได้แต่นึกขัน
หากตนไม่พูดออกมาว่าได้ยิน จะมีกี่คนกันที่อ้างเช่นนั้น แม้สายฝนจะเริ่มซาก็ใช่ว่าจะหยุดสนิท แล้วยังมีเสียงลำธารไหล เสียงแกรกกรากเฉพาะในหุบเขา จะไปได้ยินเสียงขัดถั่วอะไรได้
ดังนั้นต่อให้คนเหล่านั้นยืนกรานว่าได้ยิน ก็คงรู้สึกไปเองเช่นเดียวกับโมโมสุเกะเท่านั้น คล้ายลูกขุนพลอยพยัก เป็นสถานการณ์ที่น่าขำขัน  องเกียวผู้นั้นคล้ายไม่ล่วงรู้ จึงพูดด้วยท่าทางดีใจ
"จะเป็นไปได้อย่างไร กลางป่ากลางเขาเวลานี้จะมีใครเขลามานั่งขัดถั่วอยู่กลางสายฝน จะว่าฟังผิดก็จะผิดกันทุกคนได้อย่างไร ท่านนักบวชก็ได้ยินด้วยใช่ไหม"
เอ็งไคไม่ตอบ
"อ้าว ตายจริง นั่นมันเสียงหญิงชราขัดถั่ว..."
โอกิงว่า
องเกียวสอดขึ้นทันที
"หญิงชราขัดถั่วนั่นมันตัวอะไร  หญิงชราที่ไหนจะมาอยู่ในหุบเขาป่าลึกแบบนี้ ปีใหม่ก็ไม่ใช่ใครจะมานั่งขัดถั่ว หรือว่าจะมีเรื่องมงคลที่ไหน นางผู้หญิงคนนี้ทำเป็นอ้างว่าเกิดที่เซ็ตสึ ความจริงเห็นจะเป็นพังพอนในหุบเขานี้แปลงตัวมาเสียกระมัง"
อย่าพูดอะไรไร้สาระนะเจ้าคนปลิ้นปล้อน พูดกระชากๆ แล้วโอกิงก็หันตัวตรง
"หญิงชราขัดถั่วเป็นภูตผี ในหุบเขาลึกแบบนี้ใครจะมานั่งขัดถั่วกันเล่า พรุ่งนี้ระวังตัวให้ดีอย่าให้ร่วงตกแม่น้ำไปก็แล้วกัน"
"ภูตผีอะไร"
องเกียวถามด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ โมโมสุเกะจึงตอบ
"ท่านองเกียว ภูติที่ได้ชื่อว่าภูติขัดถั่วหรือภูติล้างถั่ว เป็นปีศาจไร้ร่างที่มักจะส่งเสียงคล้ายขัดเปลือกหอยที่ตลิ่งน้ำหรือใต้สะพาน ว่ากันว่าถ้าได้ยินเสียงนี้อาจตกน้ำตกท่าได้"
องเกียวหัวเราะพรืดทางจมูก
"หืม อาจารย์ เห็นอาจารย์พูดว่าจะเขียนหรือเขียนหนังสืออะไรมาแล้วไม่ใช่หรือ  ไอ้เรื่องอย่างนี้น่ะงมงายทั้งเพ  คนเรียนน้อยด้อยปัญญาอย่างข้ายังว่าไปอย่าง แต่คนเขียนหนังสือมีความรู้อย่างอาจารย์พูดเรื่องเหลวไหลแบบนี้มันไม่ดีนะ เดี๋ยวใครก็หลงเชื่อเข้าหรอก"
"ว่าใครเหลวไหล ภูตล้างถั่วน่ะ..."
เป็นความเชื่องมงายของบ้านนอกน่ะสิ องเกียวว่า
"ฟังนะ ภูตล้างถั่วน่ะมันแมลงกินกระดาษที่เรียกว่าเหาไม้ต่างหาก ไอ้พวกนี้เกาะกระดาษกั้นผนังแล้วก็แทะกระดาษส่งเสียงดังกรอบแกรบกรอบแกรบ จึงเปรียบว่างเหมือนเสียงล้างถั่วไงล่ะ จะเป็นลุงล้างถั่วหรือป้าหุงข้าวอะไรก็ช่างเถิด  ใครที่ไหนมันจะมาโง่เง่ามาอยู่ในป่าในเขาลึกแบบนี้  เรื่องเหลวไหลแบบนี้ที่เอโดะเขาไม่พูดกันหรอก ไอ้ตัวไร้ร่างแบบนั้นมันจะไปมีอยู่จริงได้อย่างไร..."
ทั้งที่ตัวเองเป็นคนริเริ่มให้มาเล่าเรื่องร้อยเรื่องเล่าสยองขวัญแก้เบื่อ แต่กลับพูดอะไรเป็นจริงเป็นจังเกินคาด โมโมสุเกะคิด
แต่ออกจะน่าขัดเคืองอยู่บ้าง
โมโมสุเกะจึงตอบด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์
"ท่านองเกียว ถึงจะว่าแบบนั้นก็เถอะ ข้าเดินทางไปทั่วประเทศ ได้ยินเรื่องคล้ายคลึงกันมามากมายโดยไม่จำแนกภูมิลำเนา ท่านองเกียวพูดเสียว่านี่เป็นความเชื่องมงาย แต่คนที่ไปพบประสบมาจริงไม่ได้ฟังมาก็มีอยู่ จะเป็นภูตล้างถั่ว ภูตขัดถั่ว หญิงชราถั่ว เจ้าหนูถั่ว นางถั่วนายถั่ว ชื่อเรียกหลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น แต่ก็ไม่หนีกันนักหรอก จะอย่างไหนก็ล้วนบ่งบอกถึงภูติที่ส่งเสียงล้างถั่วโดยไม่ปรากฎรูปกาย จะมีอยู่จริงหรือไม่นั้นยกไว้ก่อน แต่คงมีอะไรอยู่เป็นแน่"

....ใช่แล้ว ต้องมีเหตุผลอะไรอยู่

เสียงล้างถั่วนั้นความจริงเป็นเสียงที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์เป็นผู้สร้าง ไม่ใช่เสียงที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้น เมื่อได้ยินเสียงเช่นว่าในที่ที่ไม่ควรมีมนุษย์อยู่อย่างเช่นในภูเขาหรือในน้ำจึงย่อมนึกฉงนเป็นธรรมดา
บางคนก็เรียกเหาไม้ว่าเป็นแมลงขัดถั่ว แต่จะปักใจเชื่อว่านั่นคือตัวจริงนับว่ายังผลีผลามไป
โมโมสุเกะคิดเช่นนั้น

ในตอนนั้น
เรื่องนั้นข้าเองก็เคยได้ยินมา ชาวนาคนหนึ่งว่า
"ข้าได้ยินว่าคนที่ขัดถั่วคือท่านเทพโคจิน หากเสียงใกล้เข้ามาแสดงว่าพืชผลงามดี หากเสียงไกลออกไปก็แปลว่าแห้งแล้ง ในหมู่บ้านข้าเขาว่ากันอย่างนั้น..."
ผิดแล้ว พ่อค้าเร่ว่า
"เสียงนากต่างหาก นากแปลงร่างมา มันร้องเพลงว่า จะขัดถั่วหรือจะจับคนกิน จะเป็นเทพได้อย่างไร"
"ผิดแล้ว คนขายยา นี่ถั่วแดงนะ ต้องเป็นเรื่องมงคลซี่  ข้าวหุงถั่วแดงไม่ได้จะมีกินกันบ่อยๆ นะ ข้าน่ะเคยได้ยินมาว่านั่นเป็นเทพภูผา"
"แต่บ้านข้าเขาว่ากันว่าตัวจริงเป็นอสรพิษ"
"ไม่ใช่ ผิดแล้ว งูมันมีมือมีตีนที่ไหน จะเอาอะไรที่ไหนมาขัด ต้องหมาจิ้งจอกสิ ที่หมู่บ้านข้าเขาเรียกว่าหมาจิ้งจอกซักผ้า"
เห ทุกคนรู้กันหมดเลยหรือนี่ องเกียวทำท่าตกใจอย่างออกนอกหน้า
จากนั้นองเกียวก็หันไปทางเอ็งไค ถามว่าท่านนักบวช เห็นเป็นอย่างไรบ้าง
เอ็งไคย่นหน้านิ่ว แสดงสีหน้าคล้ายไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งทั้งที่ยังเงียบงัน
....มีความนัยอยู่จริงๆ
ในตอนนั้น พ่อค้าวัยย่างอาวุโสที่นิ่งฟังมาตลอดก็เปิดปากออก คล้ายบอกว่าถึงทีของตนแล้ว

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่