ผมกระมิดกระเมี้ยนเผยเรื่องนี้...คงไม่ได้อะไรเป็นการส่วนตัวหรอกครับ...นอกจาก
เสมอตัวหรือเสียคน อย่างใดอย่างหนึ่ง !
แต่สำหรับท่านผู้อ่าน ท่านคงได้บ้าง อย่างน้อย คือความคิด หรือความพยายามคิดช่วยหาคำตอบในสิ่งที่ผมสงสัยซึ่งเจอกับตนเองแบบจะจะ
ผมงี้นะครับ ก่อนที่จะกลายมาเป็นชาวกรุงเทพฯ ผมเป็นเด็กบ้านนอกครับ ถิ่นกำเนิดอยู่ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอนโน่นนนนนน
วัยเด็ก เท่าที่จำความได้ ยังอยู่ในสังคมแบบชาวบ้านๆที่มีเรื่องผีๆมาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะการทรงเจ้าเข้าผี มีให้เห็นหลากหลายรูปแบบเป็นปกติ
และรูปแบบหนึ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้แหละครับ คือที่มาของความทรงจำฝังใจ
คือวันหนึ่ง ชาวบ้านที่เดือดร้อนมาขอให้คุณแม่ "เอาผีลง"
ผีที่ว่านี้ เรียกกันมาแต่บรรพบุรุษรุ่นไหนก็เหลือเดาว่า..."ผีย่าหม้อนึ่ง"
อุปกรณ์เรียกผี ประกอบด้วยไหนึ่งข้าวเหนียว ซึ่งเป็นท่อไม้กลวง เอาไม้ไผ่มาผูกด้านปากไห เพื่อเป็นแขน แล้วสวมเสื้อให้ นึกภาพหุ่นไล่กาที่กางแขนก็คงพอเทียบเคียงได้นะครับ เครื่องประกอบอื่นก็มีจอกน้ำและเหล้าขาวพร้อมหมากพลู
ทีนี้พิธีเรียกผีก็เริ่มขึ้น
โดยมีอุปกรณ์การทรงผีทีว่าตั้งกลางวง ให้คนสองคน ถือประคองด้านล่างของไหให้ยกพ้นพื้นและอยู่บาลานซ์ตามแนวระดับ
แม่ถือจานสังกะสิที่ในนั้นมีข้าวตอกดอกไม้และเงินเหรียญ เข้าไปที่เตาไฟในห้องครัว กล่าวอัญเชิญวิญญาณในนั้นออกมา
อ้อ ขอขัดจังหวะตรงนี้นิดนะครับ คือแม่เล่าให้ผมฟังว่าในเตาไฟมีผีสถิตอยู่เยอะมากเพราะเป็นที่รวมของการต้มทำยำแกงสัตว์ต่างๆ เตาของบ้านที่อยู่มาครั้งปู่ย่าตาทวดก็จะยิ่งขลัง ซึ่งที่บ้านของแม่ก็มีคุณสมบัติประเภทนี้
ครับ ครั้นกล่าวคำเชิญแล้วก็ยกจานอัญเชิญมายังอุปกรณ์ทรง พร้อมกับกล่าวว่า...
"......มาแล้วก้ขอให้กินน้ำกินเหล้าก่อน"
ผมเห็นไหเอนแขนเผละ ลงไปหาเหล้า แล้วจากนั้นก็วนปลายแขนไม้ไปบนจานที่มีข้าวตอกดอกไม้อย่างที่ว่า
แล้วคำถาม จากผู้เดือดร้อนก็เริ่มขึ้น ฯลฯ
"...ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ มันจะกลับมาไหม ถ้ามาขอให้ผีย่าหม้อนึ่งฟ้อน"
รายนี้คงมาถามเพราะเดือดร้อนเรื่องผัวหายหรอกหรือกระมัง... 55
ปรากฏว่า เกิดการสั่นสะนั่นหวั่นไหวเลยครับ เสียโก็กเก็ก เมื่อผีย่าหม้อนึ่งฟ้อนจนปลายสองข้างของแขนกระทบพื้น
การณืดำเนินไปเช่นนี้แหละครับ
แต่ที่เป็นเรื่อง ก็ตรงนี้สิครับ
ผม..นายสาละวินกับพี่ชายนั่งอยู่ในบริเวณนั้นด้วยต่างมองหน้ากันและหัวเราะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
พี่ชายของผมตอนนั้นเริ่มรับราชการเป็นตำรวจภูธรยศ"สิบกี" หรือไรนี่แหละ ส่วนผมก็ไม่เบานิ นักเรียนมัธยมต้น หัวสมัยใหม่ทั้งคู่
สงสัยว่าแม่และเพื่อนบ้านที่มาด้วยจะนึกหมั่นใส้ผมและพี่ชาย ก็เลยบอกว่า ให้ไอ้วินกะไอ้แดง (ชื่อเล่นพี่) มันมาถือทีสิ
อ้าาาาา.....ได้การละครับ ขอพิสูจน์จะจะเสียที
ผมกะพี่ชายนั่งขัดสมาธิประจัญหน้ากัน โดยมีไหใส่เสื้อวางตรงกลาง จากนั้นก็ต่างจับประคองฐานของไหนึ่งที่ว่าไว้ ชนิดที่ขอจับให้มั่นคั้นให้ตาย
ผมแอบจับแน่นเลยครับ ขืนคำสั่งแม่ที่ว่าแค่ประคองไว้ก้พอ
แล้วแม่ก็เริ่มคำถาม.....พร้อมลงท้ายว่าถ้าจริงให้ฟ้อน ถ้าไม่จริงให้นอน
ได้เรื่องสิครับ ตรงคำทำนายที่ทำให้ผีย่าหม้อนึ่งฟ้อน มันมีพลังบิดให้เกิดการแกว่งจริงๆ แม้จะจับแน่นออกแรงขืน ก็รู้ได้ว่า"สิ่งนั้น" ก็ออกแรงพยายามฝืนเราเช่นกัน
สาบานได้ครับ ผมกับพี่ชายไม่มีใครคิดแกล้งกันอย่างแน่นอน
หลังจากนั้น ผมก็ไม่ปริปากหยันหรือหัวเราะเรื่องนี้อีก ตราบกระทั่งทุกวันนี้
นอกจากครั้งเดียว หลายปีมาแล้ว ก่อนที่พี่ชายจะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจากจักรยานยนต์ ผมมีโอกาสเสวนากันตามประสาพี่น้องที่ทำงานคนละแห่งถึงเรื่องนี้
"พี่แดงจำได้ไหม ที่เราทดสอบผีย่าหม้อนึ่ง..."
"อืมม์ ไงหรือ" พี่ชายมองหน้าผมแว้บหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจหยิบช้อนตักกับแกล้ม"ต้มยำไก่บ้าน"ขึ้นซดดังโฮกกก
"คืองี้นะพี่ ผมสงสัยนะ พี่ไม่ได้ออกแรงแกว่งใช่ไหม"
พี่ชายสบตาตรงกับผมแล้วพูดว่า
"นี่วิน สาบานว่าพี่ไม่ได้แกล้งแก จำได้ไหม ที่เราหารือกันแล้วขอจับพิสูจน์ไม่น้อยกว่าสามครั้ง ผลก็ยังคงเดิมคือมีพลังแกว่งที่ไม่ใช่เราหรือใครๆในวงนั้นทำขึ้น"
ฟังคำตอบของพี่ชายแล้วผมก็เงียบไปราว 20 วินาที มือคลึงแก้วเหล้า ดวงตาคงเหม่อลอย และที่สุดรำพึงรำพันเหมือนพูดกับตนเอง
"งั้น....ก็เป็นผีสินะ"
ครับ บทสรุปที่ไม่สามารถอธิบายด้วยทฤษฎีใดๆได้ (อย่างน้อยในปัจจุบัน) เรายกผลประโยชน์ให้ "ผี" นะครับ
ยกให้มันเป็นผี....จากประสบการณ์ตรงของผม
เสมอตัวหรือเสียคน อย่างใดอย่างหนึ่ง !
แต่สำหรับท่านผู้อ่าน ท่านคงได้บ้าง อย่างน้อย คือความคิด หรือความพยายามคิดช่วยหาคำตอบในสิ่งที่ผมสงสัยซึ่งเจอกับตนเองแบบจะจะ
ผมงี้นะครับ ก่อนที่จะกลายมาเป็นชาวกรุงเทพฯ ผมเป็นเด็กบ้านนอกครับ ถิ่นกำเนิดอยู่ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอนโน่นนนนนน
วัยเด็ก เท่าที่จำความได้ ยังอยู่ในสังคมแบบชาวบ้านๆที่มีเรื่องผีๆมาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะการทรงเจ้าเข้าผี มีให้เห็นหลากหลายรูปแบบเป็นปกติ
และรูปแบบหนึ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้แหละครับ คือที่มาของความทรงจำฝังใจ
คือวันหนึ่ง ชาวบ้านที่เดือดร้อนมาขอให้คุณแม่ "เอาผีลง"
ผีที่ว่านี้ เรียกกันมาแต่บรรพบุรุษรุ่นไหนก็เหลือเดาว่า..."ผีย่าหม้อนึ่ง"
อุปกรณ์เรียกผี ประกอบด้วยไหนึ่งข้าวเหนียว ซึ่งเป็นท่อไม้กลวง เอาไม้ไผ่มาผูกด้านปากไห เพื่อเป็นแขน แล้วสวมเสื้อให้ นึกภาพหุ่นไล่กาที่กางแขนก็คงพอเทียบเคียงได้นะครับ เครื่องประกอบอื่นก็มีจอกน้ำและเหล้าขาวพร้อมหมากพลู
ทีนี้พิธีเรียกผีก็เริ่มขึ้น
โดยมีอุปกรณ์การทรงผีทีว่าตั้งกลางวง ให้คนสองคน ถือประคองด้านล่างของไหให้ยกพ้นพื้นและอยู่บาลานซ์ตามแนวระดับ
แม่ถือจานสังกะสิที่ในนั้นมีข้าวตอกดอกไม้และเงินเหรียญ เข้าไปที่เตาไฟในห้องครัว กล่าวอัญเชิญวิญญาณในนั้นออกมา
อ้อ ขอขัดจังหวะตรงนี้นิดนะครับ คือแม่เล่าให้ผมฟังว่าในเตาไฟมีผีสถิตอยู่เยอะมากเพราะเป็นที่รวมของการต้มทำยำแกงสัตว์ต่างๆ เตาของบ้านที่อยู่มาครั้งปู่ย่าตาทวดก็จะยิ่งขลัง ซึ่งที่บ้านของแม่ก็มีคุณสมบัติประเภทนี้
ครับ ครั้นกล่าวคำเชิญแล้วก็ยกจานอัญเชิญมายังอุปกรณ์ทรง พร้อมกับกล่าวว่า...
"......มาแล้วก้ขอให้กินน้ำกินเหล้าก่อน"
ผมเห็นไหเอนแขนเผละ ลงไปหาเหล้า แล้วจากนั้นก็วนปลายแขนไม้ไปบนจานที่มีข้าวตอกดอกไม้อย่างที่ว่า
แล้วคำถาม จากผู้เดือดร้อนก็เริ่มขึ้น ฯลฯ
"...ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ มันจะกลับมาไหม ถ้ามาขอให้ผีย่าหม้อนึ่งฟ้อน"
รายนี้คงมาถามเพราะเดือดร้อนเรื่องผัวหายหรอกหรือกระมัง... 55
ปรากฏว่า เกิดการสั่นสะนั่นหวั่นไหวเลยครับ เสียโก็กเก็ก เมื่อผีย่าหม้อนึ่งฟ้อนจนปลายสองข้างของแขนกระทบพื้น
การณืดำเนินไปเช่นนี้แหละครับ
แต่ที่เป็นเรื่อง ก็ตรงนี้สิครับ
ผม..นายสาละวินกับพี่ชายนั่งอยู่ในบริเวณนั้นด้วยต่างมองหน้ากันและหัวเราะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
พี่ชายของผมตอนนั้นเริ่มรับราชการเป็นตำรวจภูธรยศ"สิบกี" หรือไรนี่แหละ ส่วนผมก็ไม่เบานิ นักเรียนมัธยมต้น หัวสมัยใหม่ทั้งคู่
สงสัยว่าแม่และเพื่อนบ้านที่มาด้วยจะนึกหมั่นใส้ผมและพี่ชาย ก็เลยบอกว่า ให้ไอ้วินกะไอ้แดง (ชื่อเล่นพี่) มันมาถือทีสิ
อ้าาาาา.....ได้การละครับ ขอพิสูจน์จะจะเสียที
ผมกะพี่ชายนั่งขัดสมาธิประจัญหน้ากัน โดยมีไหใส่เสื้อวางตรงกลาง จากนั้นก็ต่างจับประคองฐานของไหนึ่งที่ว่าไว้ ชนิดที่ขอจับให้มั่นคั้นให้ตาย
ผมแอบจับแน่นเลยครับ ขืนคำสั่งแม่ที่ว่าแค่ประคองไว้ก้พอ
แล้วแม่ก็เริ่มคำถาม.....พร้อมลงท้ายว่าถ้าจริงให้ฟ้อน ถ้าไม่จริงให้นอน
ได้เรื่องสิครับ ตรงคำทำนายที่ทำให้ผีย่าหม้อนึ่งฟ้อน มันมีพลังบิดให้เกิดการแกว่งจริงๆ แม้จะจับแน่นออกแรงขืน ก็รู้ได้ว่า"สิ่งนั้น" ก็ออกแรงพยายามฝืนเราเช่นกัน
สาบานได้ครับ ผมกับพี่ชายไม่มีใครคิดแกล้งกันอย่างแน่นอน
หลังจากนั้น ผมก็ไม่ปริปากหยันหรือหัวเราะเรื่องนี้อีก ตราบกระทั่งทุกวันนี้
นอกจากครั้งเดียว หลายปีมาแล้ว ก่อนที่พี่ชายจะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจากจักรยานยนต์ ผมมีโอกาสเสวนากันตามประสาพี่น้องที่ทำงานคนละแห่งถึงเรื่องนี้
"พี่แดงจำได้ไหม ที่เราทดสอบผีย่าหม้อนึ่ง..."
"อืมม์ ไงหรือ" พี่ชายมองหน้าผมแว้บหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจหยิบช้อนตักกับแกล้ม"ต้มยำไก่บ้าน"ขึ้นซดดังโฮกกก
"คืองี้นะพี่ ผมสงสัยนะ พี่ไม่ได้ออกแรงแกว่งใช่ไหม"
พี่ชายสบตาตรงกับผมแล้วพูดว่า
"นี่วิน สาบานว่าพี่ไม่ได้แกล้งแก จำได้ไหม ที่เราหารือกันแล้วขอจับพิสูจน์ไม่น้อยกว่าสามครั้ง ผลก็ยังคงเดิมคือมีพลังแกว่งที่ไม่ใช่เราหรือใครๆในวงนั้นทำขึ้น"
ฟังคำตอบของพี่ชายแล้วผมก็เงียบไปราว 20 วินาที มือคลึงแก้วเหล้า ดวงตาคงเหม่อลอย และที่สุดรำพึงรำพันเหมือนพูดกับตนเอง
"งั้น....ก็เป็นผีสินะ"
ครับ บทสรุปที่ไม่สามารถอธิบายด้วยทฤษฎีใดๆได้ (อย่างน้อยในปัจจุบัน) เรายกผลประโยชน์ให้ "ผี" นะครับ