18. วิเคราะห์หุ้น THIP : บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)


ลักษณะธุรกิจ
ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก










Link : http://www.thantawan.com/thai/ourproducts.php


ด้านผู้ถือหุ้นรายใหญ่
1.     บริษัท ทานตะวัน จำกัด
2.     บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด




จากการไปค้นข้อมูลย้อนหลังในส่วนของการซื้อ-ขาย ของผู้บริหาร พบกว่า
ในส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 4/4/1997 บริษัท ทานตะวัน จำกัด ถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วน 56.39%
และล่าสุด ณ วันที่ 8/5/2014 บริษัท ทานตะวัน จำกัด ก็ยังคงถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วน 56.39% เท่าเดิมครับ

ซึ่งในส่วนนี้เองเราสามารถตีความได้ว่า บริษัท ทานตะวัน จำกัด ที่เป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่ 1 ของบริษัท
ได้มีความเชื่อมั่นในธุรกิจของตัวเองอย่างมาก เพราะในช่วงระยะเวลาประมาณ 20 ปี ที่ผ่านมา
ทาง บริษัท ทานตะวัน จำกัด ไม่ได้ขายหุ้นออกมาแม้แต่หุ้นเดียวเลย

ดังนั้น น้องสี่มองว่าการถือหุ้นของ บริษัท ทานตะวัน จำกัด ในสัดส่วนเท่าเดิมนั้น
เป็นประจุพลังเชิงบวก ที่สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนในหุ้นของเค้าเองได้อย่างมีนัยสำคัญครับ


อีกทั้ง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีรายงานการซื้อขายของผู้บริหารเลยครับ
ในมุมมองของน้องสี่คิดว่า การที่ผู้บริหารไม่ขยันมาลงทุนในหุ้นแบบ ซื้อๆ ขายๆ หุ้นของบริษัทตัวเองนั้น
เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลยครับ เพราะถ้าบริษัทไหน ผู้บริหารมาเล่นหุ้น ซื้อๆ ขายๆ บ่อยจนเกินไป

น้องสี่จะสังสัยก่อนเลยว่า กิจการนั้นๆ อาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนแล้วก็ได้ เพราะขนาดผู้บริหารยังมา ซื้อๆ ขายๆ หุ้นตัวเองเลย
ซึ่งก็อาจคิดต่อยอดไปอีกได้ว่า Insider ก็น่าจะรู้เยอะด้วย ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังในส่วนนี้เอง

ดังนั้น ในส่วนของหุ้น THIP นี้ น้องสี่มองว่าผู้บริหารของเค้ามีธรรมาภิบาลที่สูงในระดับที่น่าพึงพอใจเลยทีเดียว
เพราะผู้บริหารไม่มีการซื้อขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเลย ตั้งใจบริหารกิจการได้เยี่ยมเลยครับผม
(อันนี้เป็นเพียงข้อมูลย้อนหลัง 3 ปีนะครับ หากจะดูย้อนหลังมากกว่า อาจต้องติดต่อสอบถาม Marketing อีกทีนะครับ)

ด้านนโยบาและภาพรวมธุรกิจในปี 2556
















ด้านกลุ่มลูกค้า



ด้านแหล่งที่มาของรายได้



Link รายงานประจำปี 2556 ครับ : http://goo.gl/zG52VO


วิเคราะห์ด้านงบการเงินนะครับ
1. RoA , RoE ในช่วงที่ผ่านมามีแนวโน้มปรับตัวที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เลยครับ อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจเลยทีเดียว

2. Net Profit Margin อยู่ที่ราวๆ 4% - 6% ซึ่งในส่วนนี้เองต้นทุนหลักๆ จากข้างต้นก็คือ เม็ดพลาสติกครับ
ราคาในบางครั้งค่อนข้างผันผวน แต่ด้วยนโยบายและกลยุทธ์ของทางบริษัทมีประสิทธิภาพ จึงทำอัตราในส่วนนี้ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ

3. P/E ในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่น้อยมากๆ อยู่ในช่วงประมาณ 6 - 8 เท่า การคืนทุนจะเร็วดีครับ
แต่อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยราคาขึ้นมาแตะระดับที่ราคา 119 บาท

และหาก EPS โตตามไม่ทันนั้น จะทำให้ค่า P/E ในส่วนนี้เองก็อาจจะถูกปรับอยู่มาในช่วงประมาณ 10 - 12 เท่าได้ครับ
ดังนั้น หลักๆ ต้องขึ้นอยู่กับว่า EPS จะยังคงรักษาการเติบโตไปเรื่อยๆ ได้ไหม? ซึ่งก็ต้องติดตามและประเมินกันต่อไปครับ

4. ด้าน P/BV จะเห็นว่าในช่วงปี 2553 ราคา P/BV ของ THIP อยู่ที่ 0.48 เท่า !! โอ้โห หุ้น VI ชัดๆ > . <"
ดังนั้น เราก็จะเห็นได้ว่า หากธุรกิจดี ราคาก็จะค่อยๆ สะท้อนออกมาเรื่อยๆ ตอบสนองในราคาหุ้นนั่นเอง

โดยปัจจุบัน P/BV ของ THIP อยู่ที่ 1.12 เท่า ครับ แล้วหากจะถามว่าแพงไหม??
ในมุมมองน้องสี่คิดว่า P/BV ณ ระดับแถวๆ นี้ไม่น่าจะแพงเกินพื้นฐานนะครับ

เพราะว่า หากปีนี้หากกิจการสามมารถทำ EPS ให้พอๆ กับปีที่แล้วที่ประมาณ 14
บริษัทจ่ายเงินปันผลไปประมาณ 4.50 บาท/หุ้น = 14 - 4.5 = 9.5 บาท

บริษัทนำกำไรที่เหลือ >> เข้าบัญชีกำไรสะสม >> ทำให้ Equity เพิ่มขึ้น(ในส่วนของผู้ถือหุ้น)
โดย ณ ปัจจุบัน Book Value ของกิจการอยู่ที่ประมาณ 107 บาท หาก + 9.5 บาท จากกำไรหลังหักเงินปันผลจ่ายไปแล้ว

= 107 + 9.5 = 116.50 บาท
เราก็จะเห็นว่า ราคาแถวๆ 119 บาท ก็ยังซื้อในราคาที่พอๆ กับมูลค่ากิจการในอนาคตนั่นเองครับ
*** EPS เป็นการประมาณนะครับ ซึ่งจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น หลักๆ ควรติดตามกำไรเป็นระยะๆ ครับผม ***

5. ด้านการจ่ายปันผล THIP จ่ายปันผลราวๆ 3% กว่า - 5% ครับ
ซึ่งก็อยู่ในระดับที่ไม่สูงๆ หรือไม่น้อยจนเกินไปครับ อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา THIP มีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอครับ

*** ข้อสังเกต : THIP ปีล่าสุด EPS อยู่ที่ประมาณ 14 บาท แต่ทางกิจการจ่ายปันผลออกมาเพียง 4.50 บาท
ก็ค่อนข้างจ่ายน้อยไปหน่อยนึงครับ แต่อย่างไรก็ตาม การจ่ายปันผลที่น้อยก็จะส่งผลให้ BV ของกิจการดูดีครับผม ***



วิเคราะห์ด้านบัญชีทางการเงินที่สำคัญ
ในส่วนนี้เองที่ผ่านมา THIP มีผลการดำเนินงานได้อยู่ในระดับที่ดีครับ
สินทรัพย์เพิ่มขึ้นทุกปี +
หนี้สินอยู่ในระดับที่น้อย +
ส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้นทุกปี +

ส่วนด้านรายได้ + กำไรสุทธิ ที่ผ่านมาก็ทำได้ดีเช่นกันครับ
และกำไรล่าสุดใน Q1 2557 ก็ทำได้มากกว่า Q1 2556 ด้วยครับผม






Link ติดตามข้อมูลเเพิ่มเติมได้ที่ : http://goo.gl/SlNIiM


ในด้านของสินทรัพย์
จากภาพจะเห็นว่า สินทรัพย์ส่วนใหญ่ของกิจการจะอยู่ในส่วนของสินทรัพย์หมุนเวียนครับ ได้แก่
เงินสด , ลูกหนี้การค้า และสินค้าคงเหลือ ซึ่งสินทรัพย์ประเภทนี้จะดีครับเพราะหมุนกับมาเป็นเงินสดได้เร็ว
และทำให้กิจการมีสภาพคล่องที่สูงครับผม


ส่วนในด้านของหนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
ในส่วนของหนี้สินจะพบว่า กิจการมีหนี้สินในด้านของเจ้าหนี้การค้า + หนี้สินหมุนเวียนอื่นๆ
ไม่มีหนี้สินจากการกู้ยืมเงินเลยครับ แปลว่า ในเรื่องดอกเบี้ยจ่าย / ผิดชำระหนี้จากเงินกู้ในเจ้าหนี้ นั้นจะไม่เกิดขึ้นเลยครับ
ดังนั้น ในส่วนของหนี้สินที่น้อยจึงทำให้กิจการมีความมั่นคงสูงครับ

ส่วนในด้านของส่วนของผู้ถือหุ้นนะครับ
จะเห็นว่า กิจการมีกำไรสะสมถึง 636.61 ล้านบาท
ในขณะส่วนของเจ้าของทั้งหมดอยู่ที่ 853.41 ล้านบาท

หากมองเป็นจำนวนเฉยๆ อาจมองไม่เห็นภาพนะครับ น้องสี่จะเทียบเป็น % ออกมานะครับ
(636.61 / 853.51) *100 = ประมาณ 75% ครับ

หมายความว่า กำไรสะสมของกิจการมีถึง 75% เมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด
ซึ่งในมุมมองของน้องสี่ มองว่า สัดส่วนนี้ค่อนข้างเป็นสัดส่วนที่น่าสนใจมากๆ

เพราะในทางบัญชีแล้ว "บัญชีกำไรสะสม" ตรงตามชื่อก็คือสะสมมาจากกำไรสุทธิที่ปิดยอดเป็นปีต่อปี
ซึ่งแปลว่า ตั้งแต่เปิดกิจการมา ในช่วงปี 1997 ถึง ปี 2014 กิจการสามารถดำเนินงานมาเรื่อยๆ และมีกำไรเก็บในส่วนนี้ค่อนข้างมาก

เป็นการบ่งบอกถึงศักยภาพของกิจการได้ดีเลยทีเดียวว่า "เดินธุรกิจ + ปรับกลยุทธ์ในการบริหารมาถูกทางแล้ว" นั่นเอง
เพราะอย่างบางบริษัทส่วนของผู้ถือหุ้นก็เยอะนะ แต่พอไปเจาะงบดันมาจาก ส่วนเกินมูลค่าหุ้น / องค์ประกอบอื่นๆ
ดังนั้นแล้ว ในมุมมองน้องสี่ น้องสี่คิดว่า กิจการที่ดีก็ควรที่จะมีกำไรสะสมอยู่ในดับที่มากกว่า 50% ขึ้นไปจะดีมากๆ เลยครับ

วิเคราะห์ด้านกราฟ
กราฟ Week

ด้านกราฟ Week จะเห็นว่าราคาหุ้นได้มี Volume เข้ามาในเดือนที่ 5 นะครับ และทะลุแนวต้านที่ 110 บาท ครับ
ซึ่งสาเหตุกลักๆ น่าจะมาจากกำไรใน Q1 ที่พุ่งสูงขึ้นกว่าปีทีแล้วครับ

จากสัญญาณกราฟเบื้องต้น อาจต้องรอรับแถวๆ ที่ราคา 110 บาท หรือแถวเส้นสีเหลือง ราคาประมาณ 95 - 100 บาท
ซึ่งในบริเวณราคาแถวนั้น น่าจะมีความปลอดภัยที่สูงในระดับหนึ่งครับ แต่อยู่ที่ว่าราคาจะลงมาให้เรารับหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น คงต้องรอสัญญาณและติดตามกันไปสักระยะครับว่า ราคาจะมีทิศทางอ่อนตัวลงมากน้อยเพียงใดครับ

*** ข้อควรระวัง สำคัญมากๆ !! ***

1. หุ้น THIP มีสภาพคล่องในการ ซื้อ - ขาย หุ้นค่อนข้างน้อยถึงน้อยมากๆ
ดังนั้น หากจะลงทุนควรที่จะบริหารเงินในส่วนนี้ให้ดีนะครับ เพราะว่า ราคาหุ้นจะสวิงขึ้น-ลง ค่อนข้างแรงครับ

2. ในด้านของต้นทุนอย่างที่กล่าวไว้ในช่วงขั้นต้นครับว่า ต้นทุนหลักๆ จะมาจาก "ราคาเม็ดพลาสติก" ครับ
เพราะฉะนั้น หากต้นทุนในส่วนนี้สูงก็อาจจะกระทบต่อกำไรในแต่ละไตรมาสได้ครับ

3. THIP ไม่เหมาะกับการเก็งกำไรนะเพราะสภาพคล่องน้อยครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่