เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.thairath.co.th/money/investment/stocks/2768721
การหาผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้น เป็นอีกหนึ่งวิธียอดฮิตของนักลงทุน เพื่อทำกำไรในตลาดหุ้น ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นแต่ละตัวนั้น ก็มีเหตุและผลที่แตกต่างกันไป บ้างก็มาจากการสะท้อนการเติบโตของธุรกิจ และความคาดหวังของผลประกอบการในอนาคต หรืออาจมาจากแรงซื้อเก็งกำไร เพราะเชื่อว่าหุ้นตัวนั้นจะปรับตัวขึ้นอีก โดยไม่สนปัจจัยพื้นฐาน
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระยะเวลาสั้นๆ มักสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุนรายย่อยให้เข้าไปซื้อ เพราะคาดหวังว่าจะสามารถทำกำไรจากการลงทุนได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ จนถึงตอนนี้แทบไม่มีหุ้นตัวไหนเลยที่ราคาจะยืนอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ และสุดท้ายมักจบด้วยราคาที่ดิ่งลงอย่างหนัก และทิ้งนักลงทุนรายย่อยไว้บน “ดอย” วันนี้ “Thairath Money” ได้รวบรวมข้อมูล 5 หุ้นสุดร้อนแรงในอดีต มาให้นักลงทุนได้พิจารณาเป็นกรณีศึกษากัน
1. หุ้น GL : บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน)
ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ และมีธุรกิจในต่างประเทศ เช่น ที่ปรึกษาด้านธุรกิจ การให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ การจัดการเงินลงทุน และด้วยทิศทางธุรกิจที่ดูเหมือนจะสดใส จนนักลงทุนหลายคนต้องขนานนามให้ว่าเป็น “หุ้นดาวรุ่ง” ทำให้ราคาของหุ้น GL จากต้นปี 2558 ที่อยู่ราว 5.60 บาท ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนทำสถิติสูงสุดที่ 69.75 บาท ภายในไม่กี่ปี หรือเพิ่มขึ้นกว่า 1,145%
แต่ฝันร้ายของราคาหุ้น GL ก็เริ่มต้นจาก “ผู้ตรวจบัญชี” ที่ออกมาช่วยชีวิตนักลงทุน โดยได้ระบุหมายเหตุประกอบงบการเงินในปี 2559 ถึงความผิดปกติเกี่ยวกับเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับ และการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับประเด็น “ธรรมาภิบาล” เป็นเหตุให้ราคาหุ้นดิ่งลงต่อเนื่อง จนปัจจุบันเหลือเพียง 0.65 บาท หรือปรับตัวลดลง 99% และยังถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ แขวนเครื่องหมาย SP, NC, NP อีกด้วย
2. หุ้น BEAUTY : บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)
บริษัทค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ภายใต้แบรนด์ “Beauty Buffet” และด้วยผลประกอบการที่เติบโตแรงอย่างต่อเนื่อง ด้วยแผนการขยายสาขาที่ใช้งบลงทุนที่ไม่สูงนัก ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุน จนราคาหุ้นเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ โดยพุ่งทำสถิติสูงสุดในปี 2561 ปิดที่ 69.00 บาท จากราคาไอพีโอ ณ ปี 2555 ที่ 8.00 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 762% เลยทีเดียว
แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน หลังผู้บริหารประกาศว่าผลการดำเนินงานออกมาพลาดไปจากเป้าหมายที่วางไว้ แม้จะสามารถรักษาอัตรากำไรไว้ได้ แต่นั่นก็ไม่เพียงพอต่อความคาดหวังของนักลงทุนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งสะท้อนลงไปในราคาหุ้นแล้ว ส่งผลให้หลังจากนั้นราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างหนัก และปัจจุบันเหลือเพียง 0.62 บาทเท่านั้น หรือลดลงมากกว่า 99%
3. หุ้น DDD : บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน)
บริษัทผู้ผลิต วิจัยและพัฒนา ทำการตลาด และจัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม เจ้าของแบรนด์ “SNAILWHITE” ถือเป็นอีกกรณีหนึ่งที่น่าศึกษา หลังความร้อนแรงถูกส่งต่อมาจาก BEAUTY ธุรกิจในอุตสาหกรรมสินค้าความงาม และด้วยแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการที่ดี ทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นตั้งแต่เข้าไอพีโอในปี 2561 โดยทำสถิติสูงสุดที่ 118.5 บาท จากราคาเสนอขายที่ 53 บาท หรือเพิ่มขึ้น 123% ในเวลาเพียงไม่นาน
แต่จากผลประกอบการที่ไม่สามารถเติบโตได้ทันราคาหุ้น หลังบริษัทประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ออกมาต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดไว้ ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเหลือเพียง 8.20 บาท
4. หุ้น JTS : บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน)
ผู้จัดหา ออกแบบ วางระบบสื่อสารโทรคมนาคม ให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคม และให้บริการด้าน Hyperscale Data Center รวมทั้งธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก ในเวลาเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น จากราคาปิด ณ สิ้นปี 2563 ที่ 1.93 บาท ปรับตัวขึ้นทะลุ 586 บาท หรือเพิ่มขึ้น 30,262% ในเดือนเมษายน 2565
ในช่วงที่การลงทุน “คริปโตเคอเรนซี” ยังเป็นกระแสสุดฮอต การตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์ของ JTS ดูเหมือนจะเป็นข่าวที่ฮือฮาอย่างมากในหมู่นักลงทุน สะท้อนจากแรงซื้อในช่วงที่หุ้นยังเป็นขาขึ้น ในทางเดียวกันกับราคาบิตคอยน์ที่ปรับตัวขึ้นแรง แต่เมื่อหมดกระแสเก็งกำไร นอกจากการตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์แล้ว ก็ไม่มีข่าวดีใหม่ๆ มาสร้างความคาดหวังของนักลงทุน โดยเฉพาะด้านผลประกอบการได้อีก ก่อนที่ราคาจะดิ่งลงอย่างรวดเร็ว จนเหลือราว 71.50 บาท ในปัจจุบัน
5. หุ้น KEX : บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนชื่อดัง ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2563 โดยมีราคาเสนอขายหุ้นไอพีโออยู่ที่ 28 บาท ทันทีที่เปิดตลาดพบว่าราคาหุ้น KEX ขึ้นไปแตะ 65 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 132% โดยระหว่างวันทำราคาสูงสุดอยู่ที่ 73 บาท จากความคาดหวังทิศทางผลประกอบการเติบโตดี ต่อจากในอดีตที่เคยเติบโตติดต่อกัน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ราคาหุ้น KEX ไหลลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ 5.45 บาท หรือลดลงจากราคาจองซื้อถึง -80.53% จากผลประกอบการที่ออกมาไม่ดีนัก โดยผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลัง บริษัทมีกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 46.92 ล้านบาท ปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 2,829.84 ล้านบาท และปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 3,880.64 ล้านบาท และล่าสุดมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่และหวังว่าจะพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาอีกครั้ง
ส่อง 5 หุ้นอดีตเคยแรง ราคาพุ่งสุดพีก..แต่ฉากจบไม่สวย เหลือแค่ “ดอย” ทำรายย่อยสุดช้ำ
https://www.thairath.co.th/money/investment/stocks/2768721
การหาผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้น เป็นอีกหนึ่งวิธียอดฮิตของนักลงทุน เพื่อทำกำไรในตลาดหุ้น ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นแต่ละตัวนั้น ก็มีเหตุและผลที่แตกต่างกันไป บ้างก็มาจากการสะท้อนการเติบโตของธุรกิจ และความคาดหวังของผลประกอบการในอนาคต หรืออาจมาจากแรงซื้อเก็งกำไร เพราะเชื่อว่าหุ้นตัวนั้นจะปรับตัวขึ้นอีก โดยไม่สนปัจจัยพื้นฐาน
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระยะเวลาสั้นๆ มักสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุนรายย่อยให้เข้าไปซื้อ เพราะคาดหวังว่าจะสามารถทำกำไรจากการลงทุนได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ จนถึงตอนนี้แทบไม่มีหุ้นตัวไหนเลยที่ราคาจะยืนอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ และสุดท้ายมักจบด้วยราคาที่ดิ่งลงอย่างหนัก และทิ้งนักลงทุนรายย่อยไว้บน “ดอย” วันนี้ “Thairath Money” ได้รวบรวมข้อมูล 5 หุ้นสุดร้อนแรงในอดีต มาให้นักลงทุนได้พิจารณาเป็นกรณีศึกษากัน
1. หุ้น GL : บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน)
ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ และมีธุรกิจในต่างประเทศ เช่น ที่ปรึกษาด้านธุรกิจ การให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ การจัดการเงินลงทุน และด้วยทิศทางธุรกิจที่ดูเหมือนจะสดใส จนนักลงทุนหลายคนต้องขนานนามให้ว่าเป็น “หุ้นดาวรุ่ง” ทำให้ราคาของหุ้น GL จากต้นปี 2558 ที่อยู่ราว 5.60 บาท ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนทำสถิติสูงสุดที่ 69.75 บาท ภายในไม่กี่ปี หรือเพิ่มขึ้นกว่า 1,145%
แต่ฝันร้ายของราคาหุ้น GL ก็เริ่มต้นจาก “ผู้ตรวจบัญชี” ที่ออกมาช่วยชีวิตนักลงทุน โดยได้ระบุหมายเหตุประกอบงบการเงินในปี 2559 ถึงความผิดปกติเกี่ยวกับเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับ และการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับประเด็น “ธรรมาภิบาล” เป็นเหตุให้ราคาหุ้นดิ่งลงต่อเนื่อง จนปัจจุบันเหลือเพียง 0.65 บาท หรือปรับตัวลดลง 99% และยังถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ แขวนเครื่องหมาย SP, NC, NP อีกด้วย
2. หุ้น BEAUTY : บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)
บริษัทค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ภายใต้แบรนด์ “Beauty Buffet” และด้วยผลประกอบการที่เติบโตแรงอย่างต่อเนื่อง ด้วยแผนการขยายสาขาที่ใช้งบลงทุนที่ไม่สูงนัก ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุน จนราคาหุ้นเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ โดยพุ่งทำสถิติสูงสุดในปี 2561 ปิดที่ 69.00 บาท จากราคาไอพีโอ ณ ปี 2555 ที่ 8.00 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 762% เลยทีเดียว
แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน หลังผู้บริหารประกาศว่าผลการดำเนินงานออกมาพลาดไปจากเป้าหมายที่วางไว้ แม้จะสามารถรักษาอัตรากำไรไว้ได้ แต่นั่นก็ไม่เพียงพอต่อความคาดหวังของนักลงทุนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งสะท้อนลงไปในราคาหุ้นแล้ว ส่งผลให้หลังจากนั้นราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างหนัก และปัจจุบันเหลือเพียง 0.62 บาทเท่านั้น หรือลดลงมากกว่า 99%
3. หุ้น DDD : บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน)
บริษัทผู้ผลิต วิจัยและพัฒนา ทำการตลาด และจัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม เจ้าของแบรนด์ “SNAILWHITE” ถือเป็นอีกกรณีหนึ่งที่น่าศึกษา หลังความร้อนแรงถูกส่งต่อมาจาก BEAUTY ธุรกิจในอุตสาหกรรมสินค้าความงาม และด้วยแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการที่ดี ทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นตั้งแต่เข้าไอพีโอในปี 2561 โดยทำสถิติสูงสุดที่ 118.5 บาท จากราคาเสนอขายที่ 53 บาท หรือเพิ่มขึ้น 123% ในเวลาเพียงไม่นาน
แต่จากผลประกอบการที่ไม่สามารถเติบโตได้ทันราคาหุ้น หลังบริษัทประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ออกมาต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดไว้ ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเหลือเพียง 8.20 บาท
4. หุ้น JTS : บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน)
ผู้จัดหา ออกแบบ วางระบบสื่อสารโทรคมนาคม ให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคม และให้บริการด้าน Hyperscale Data Center รวมทั้งธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก ในเวลาเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น จากราคาปิด ณ สิ้นปี 2563 ที่ 1.93 บาท ปรับตัวขึ้นทะลุ 586 บาท หรือเพิ่มขึ้น 30,262% ในเดือนเมษายน 2565
ในช่วงที่การลงทุน “คริปโตเคอเรนซี” ยังเป็นกระแสสุดฮอต การตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์ของ JTS ดูเหมือนจะเป็นข่าวที่ฮือฮาอย่างมากในหมู่นักลงทุน สะท้อนจากแรงซื้อในช่วงที่หุ้นยังเป็นขาขึ้น ในทางเดียวกันกับราคาบิตคอยน์ที่ปรับตัวขึ้นแรง แต่เมื่อหมดกระแสเก็งกำไร นอกจากการตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์แล้ว ก็ไม่มีข่าวดีใหม่ๆ มาสร้างความคาดหวังของนักลงทุน โดยเฉพาะด้านผลประกอบการได้อีก ก่อนที่ราคาจะดิ่งลงอย่างรวดเร็ว จนเหลือราว 71.50 บาท ในปัจจุบัน
5. หุ้น KEX : บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนชื่อดัง ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2563 โดยมีราคาเสนอขายหุ้นไอพีโออยู่ที่ 28 บาท ทันทีที่เปิดตลาดพบว่าราคาหุ้น KEX ขึ้นไปแตะ 65 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 132% โดยระหว่างวันทำราคาสูงสุดอยู่ที่ 73 บาท จากความคาดหวังทิศทางผลประกอบการเติบโตดี ต่อจากในอดีตที่เคยเติบโตติดต่อกัน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ราคาหุ้น KEX ไหลลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ 5.45 บาท หรือลดลงจากราคาจองซื้อถึง -80.53% จากผลประกอบการที่ออกมาไม่ดีนัก โดยผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลัง บริษัทมีกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 46.92 ล้านบาท ปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 2,829.84 ล้านบาท และปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 3,880.64 ล้านบาท และล่าสุดมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่และหวังว่าจะพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาอีกครั้ง