สุดแท้ทางเดิน

กระทู้สนทนา
แกร๊ก!!

เสียงคีมยักษ์ตัดโซ่เหล็กหนาใหญ่ เหล็กชิ้นโตแตกละเอียดอย่างง่ายดาย โดยที่วิชิตไม่ต้องออกแรงมากนัก แผงประตูเหล็กถูกวางเรียงต่อๆกันถูกพันธนาการด้วยสายโซ่คล้องไปมาแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกสามารถเดินเข้าไป ในตัวอาคารร้างที่ถูกหยุดก่อสร้างกลางคันเพราะพิษเศรษฐกิจ กำแพงผนังเปลือยตะไคร่เริ่มขึ้นแล้ว ชั้น 8 ที่เป็นชั้นบนสุดมีแค่การก่ออิฐขึ้นเป็นโครงเท่านั้น และชั้นบนขึ้นไปอีกก็เป็นดาดฟ้าที่มีขยะก่อสร้างวางทิ้งไว้เต็มไปหมด

เกร๊งงงงง!!

คีมเหล็กยักษ์ถูกปล่อยวางลงพื้นปูนทันทีที่มันหมดประโยชน์อีกต่อไป วิชิตค่อยๆเดินผ่านกรงลวด สายตาที่ไร้ความรู้สึกใดๆกับความน่าสะพรึงกลัวของตัวอาคาร และด้วยยามวิกาลเวลานี้แล้ว เขาแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าในตัวอาคารมีอะไรอยู่บ้าง มีเพียงแค่แสงเงาจันทร์ในคืนเดือนหงายเท่านั้น ที่ส่องสะท้อนภายนอกตัวอาคารเพื่อให้รู้ว่ามีประตูทางเข้าอยู่ที่ไหน วิชิตไม่ลังเลใดๆที่จะเดินฝ่าความมืดมิดเข้าไปในตัวอาคาร

วิชิตเดินขึ้นบันไดวนยาวจนถึงชั้นบนสุด แค่เพียงจะก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก เขาก็เดินสะดุดกองเศษอิฐที่วางระเกะระกะแล้ว จนเกือบจะล้มหัวฟาดพื้น แต่วิชิตก็พยายามเดินต่อไปโดยเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพราะเขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากจะใช้มือสัมผัสราวบันไดขึ้นไป  และในชั้นที่ 3 วิชิตก็เดินเตะเข้ากับแท่งเหล็กจนหน้าแข้งของเขาอาบไปด้วยเลือด แต่วิชิตเองก็ไม่ได้สนใจหรือร้องครวญครางใดๆออกมาเลยสักนิดเดียว และมันก็ไม่ได้ทำให้เขาลังเลใดๆที่จะเดินต่อไปจนถึงชั้นดาดฟ้า

ในที่สุดวิชิตก็มองเห็นแสงจันทร์เดือนหงาย ที่ลอดผ่านช่องประตูทางออกสู่ลานบนดาดฟ้า  เขาก้าวผ่านมันอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าประตูบานนี้คือประตูสู่ยมโลกสำหรับเขา ใช่แล้ว! วิชิตขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าของตึกร้างแห่งนี้ เพื่อที่จะมาฆ่าตัวตายนั่นเอง ชั่วอึดใจเดียวโดยที่วิชิตก็ยังไม่ทันรู้ตัว ขาของเขาทั้งสองข้างก็มายืนอยู่บนขอบตึก แม้ตัวตึกจะสูงเพียงแค่ 8 ชั้น แต่ข้างล่างที่มีกองเศษเหล็กเศษไม้วางทับถมกันเยอะแยะ วิชิตคิดว่าร่างของเขาคงต้องโดนแท่งเหล็กหรือไม้ เสียบตายคาที่แน่นอน คงไม่ต้องนอนทรมานหากเขายังไม่ตาย

วิชิตยืนนิ่งตามองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง เขานึกถึงภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่เสนอข่าวนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ขึ้นมากระโดดตึกตายที่นี่ตรงนี้ ตำแหน่งที่เขายืนก็น่าจะใกล้เคียงกับตำแหน่งที่นักธุรกิจก่อนหน้านี้ยืน เพราะภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ถ่ายลงไปยังกองศพ ที่ลงไปนอนจมกองเลือดบนกองเศษเหล็กเศษไม้ข้างล่างนี้เอง ไม่แน่ว่าคราบเลือดก่อนหน้านี้อาจจะยังคงอยู่ข้างล่างนี้เอง หากมันไม่ถูกน้ำฝนชะล้างออกไปก่อนแล้ว

วิชิตเคยสงสัยมานานแล้วว่า สภาวะจิตสุดท้ายของคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายนั้นเป็นเช่นไร อะไรกันที่ทำให้คนๆหนึ่ง ยอมที่จะปลิดชีวิตตัวเองลงด้วยความทรมาน พวกเขาเหล่านั้นไม่กลัวเจ็บกันหรืออย่างไร แล้วโลกหลังความตายสำหรับคนที่ทำอัตวิบากกรรมกับตัวเอง ในทางความเชื่อนั้นเมื่อตายไปแล้ว เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์

วิชิตเองก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดอะไรกัน เพราะวิชิตก็ไม่ได้คิดอะไรในหัวเลยตอนนี้ หรือพวกเขาก่อนหน้านี้นั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเหมือนกัน จึงทำให้กล้าที่จะฆ่าตัวตาย แล้วตอนนี้วิชิตก็พร้อมแล้วที่จะตาย

แต่ทันใดนั้น! มีสิ่งๆหนึ่งที่เรียกสติของวิชิตกลับขึ้นมาจากภวังค์ กลิ่นควันบุหรี่ วิชิตได้กลิ่นควันบุหรี่ใกล้ๆเขา มีควันจางๆลอยผ่านหน้าเขาด้วย วิชิตหันหน้าไปที่ต้นทางของควัน เขาเห็นคนยืนดูดบุหรี่ข้างๆเขา บนขอบตึกข้างๆที่วิชิตไม่ได้สังเกตก่อนหน้านี้ ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว เนคไทราคาแพงถูกดึงออกหลวมๆ ชายเสื้อที่ดึงออกนอกกางเกง รองเท้าหนังหรู วิชิตคิดว่าหรือนี่จะคือผีนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่มากระโดดตึกตายก่อนหน้านี้ แต่ไม่ใช่สิ คนที่ยืนอยู่ข้างๆนี่น่าจะอายุเลยเลข 7 ไปแล้ว วิชิตสาวเท้าขวาที่เตรียมก้าวพ้นขอบตึกไปแล้วครึ่งก้าวกลับเข้ามา และพยายามตั้งสติทั้งหมดที่เขามีอยู่

"ลุงมาทำอะไร?" วิชิตถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ปกติที่สุด
"ลุงจะมากระโดดตึกฆ่าตัวตาย เดี๋ยวหมดบุหรี่มวนนี้ก่อน" น้ำเสียงแหบแห้งเหมือนคนไม่มีแรง พูดเสร็จเจ้าของเสียงก็อัดควันบุหรี่เข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆพ่นมันออกมาทางปาก
"แน่ใจเหรอว่าลุงจะมากระโดดตึกฆ่าตัวตาย ยังจะมาสูบบุหรี่อย่างสบายใจไม่เหมือนคนอยากตายเลย"

ตอนนี้วิชิตเริ่มหมดความคิดที่จะตายแล้ว เขาอยากไขข้อข้องใจในใจเกี่ยวกับชายชราที่อยู่ตรงหน้า

"คนเรามันก็มีเหตุผลของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันนะ ลุงน่ะเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายแล้ว อยู่ไปก็ทรมานเปล่าๆ ไหนจะเป็นภาระของลูกหลานอีก"
"แล้วทำไมถึงไม่รักษาโรคตั้งแต่ระยะแรกๆล่ะ มะเร็งปอดรักษาได้อยู่แล้วนี่"

แสงจันทร์สาดส่องชายทั้งสอง วิชิตหันหน้ามาสังเกตดูชายแก่ข้างๆเขา ร่างกายที่ผอมโซและสั่นไร้เรี่ยวแรง หายใจลำบาก ดูเหมือนคนป่วยในระยะสุดท้ายแล้ว

"ปอดลุงเหลือข้างเดียวแล้วตอนนี้ เคยฉายรังสีหลายครั้งในช่วงแรกๆ สภาพลุงตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ" ลุงพูดจบก็ทำท่าจะหัวเราะเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่มีแรงพอที่จะทำแบบนั้น
"ก็ลุงยังไม่เลิกดูดบุหรี่น่ะสิ แล้วจะรักษาหายมั้ยเนี่ย"
"จะให้ลุงเลิกสูบได้อย่างไร ในเมื่อการสูบบุหรี่คือความสุขเดียวในชีวิต" ชายชราพูดเสร็จก็คีบมวนบุหรี่มาคาบไว้ที่ปาก และอัดควันเข้าปอดอีกรอบ ก่อนจะตามด้วยเสียงไอที่แหบแห้งอย่างรุนแรง
"ลูกเมียของลุงไม่มีเหรอ?"
"เมียลุงตายไปนานแล้ว เธอโดนจี้ชิงทรัพย์ คนร้ายยังเอาเธอไปฆ่าข่มขืนอีก"
"นั่นเป็นสาเหตที่ทำให้ลุงสูบบุหรี่อย่างหนัก" วิชิตพยายามเดา
"ใช่ มันทำให้ลุงสูบมันหนักขึ้น" สายตาของชายชราทอดยาวไปที่แสงจันทร์
"แล้วเธอล่ะพ่อหนุ่ม มาทำอะไรบนนี้"
"ผมก็จะมากระโดดตึกฆ่าตัวตายเหมือนกัน"
"เธอมีเรื่องทุกข์อะไร? ถึงจะมาหนีปัญหาแบบนี้ ร่างกายเธอยังแข็งแรงดี แต่งตัวก็ดีคงพอมีฐานะ"

วิชิตจ้องไปที่ใบหน้าของชายชรา ก่อนที่จะเปลี่ยนจุดมองไปที่จุดๆเดียวกับที่ชายชรามอง นั่นก็คือแสงจันทร์

"ทุกข์กายไม่ทุกข์เท่าทุกข์ใจ" น้ำเสียงแผ่วเบา ออกมาจากปากของวิชิต แต่มันยังดังพอที่ชายชราจะได้ยิน

ชายชราหันหน้ามามองที่วิชิต และยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างคนป่วย

"แน่ใจแล้วเหรอพ่อหนุ่ม ไหนเธอลองว่ามาสิ ว่าทุกข์ใจของเธอมันหนักหนาสาหัสอะไรกัน"
"ผมเหรอ ผมไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร ในเมื่อไม่มีเธอ"
"คนรักของเธอทิ้งเธอไปหรือ" คนชราหยุดสูบบุหรี่แล้ว เขาหันหน้ามาทางวิชิตเพื่อตั้งใจฟัง
"ถ้ามันเป็นเช่นนั้นมันคงจะตัดใจได้ง่ายกว่า คนรักของผมเธอถูกพ่อแม่บังคับให้ไปแต่งงานกับชายที่เธอไม่ได้รัก แต่ชายคนที่เธอรักนั้นก็คือผมเอง"
"หา! ในสมัยนี้ยังมีเรื่องเช่นนั้นอยู่อีกหรือนี่" ชายชราเปลี่ยนอิริยาบถ จากท่ายืนที่ขอบตึกเปลี่ยนเป็นนั่งลง เพราะความเมื่อยล้า สักพักวิชิตจึงนั่งลงตาม เพราะเขาอยากจะเล่าในสิ่งที่ชายชราเพิ่งจะถาม

"ผมก็ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเค้าจะคิดอย่างไร แต่ใครไม่เป็นผมก็คงไม่รู้หรอก ว่าความผิดหวังเกี่ยวกับเรื่องนี้มันน่าเจ็บช้ำเพียงใด"

ชายชราจ้องมองหน้าวิชิต ที่ตอนนี้ดวงตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำ

"ใช่แล้วพ่อหนุ่ม ถ้าใครไม่เป็นเธอก็คงไม่รู้หรอก"

วิชิตใช้ข้อมือปาดน้ำใสๆที่ไหลออกมาทางจมูก เขาพยายามกลั้นไว้ไม่ให้น้ำไหลขึ้นไปถึงดวงตา

"โรคภัยของลุงมันคงทรมานมาก จนทำให้ลุงอยากจะหนีมัน หรือลุงอาจจะสู้กับมันไม่ไหวแล้วใช่มั้ย?"

วิชิตเปลี่ยนเรื่องคุย

"ก็ไม่เชิง!"

ชายชราตอบทันควัน ก่อนจะนิ่งเงียบไปพักใหญ่ หลังจากนั้นเขาจึงอธิบายในสิ่งที่เขาคิด

"ความทรมานลุงชินชากับมันแล้ว และเรื่องที่ว่าจะสู้กับมันไหวหรือไม่ ลุงสู้ไหว ลุงมีเงินเป็นโกดังที่จะจ้างหมอที่ดีที่สุดในโลกมารักษา แต่ประเด็นคือไม่รู้จะสู้กับมันเพื่ออะไร หากสู้ชนะทำให้มีชีวิตรอดต่อไป แล้วยังไงล่ะ จะให้ลุงทำอะไรต่อ"

วิชิตเริ่มเข้าใจแล้วว่าคนรอบข้างเขา ทำไมจึงไม่มีใครเข้าใจว่าอะไรทำให้วิชิตอยากตาย แม้เขาจะอธิบายสิ่งเหล่านั้นให้คนรอบข้างฟัง เหมือนกับตอนนี้ที่เขาฟังคำอธิบายจากชายชรา แต่วิชิตเองก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี

"แล้วลูกหลานของลุงล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน"
"ลูกชายทั้งสองคนก็มีครอบครัวกันแล้ว ลุงก็หมดห่วงไปแล้วล่ะ"
"มีสิ่งอื่นๆมากมายในโลกนี้ให้ทำอีกเยอะแยะ ถ้าลุงมีเงินเยอะขนาดนั้น ทำไมไม่ใช้เงินรักษาตัวเองให้หาย และใช้เงินที่เหลือเอามาใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยงไปเลย "

สิ้นสุดคำพูดของวิชิต ทั้งคู่ก็นั่งนิ่งคิดอะไรในหัวของตัวเอง ชายชราครุ่นคิดหนัก เขาใช้ฟันขบที่ริมฝีปากเบาๆ

"ร่างกายเธอยังหนุ่มยังแน่น ดูๆก็แข็งแรงดี ทำไมไม่หาอะไรทำในสิ่งที่เธอพูด บางอย่างมันก็ไม่ต้องใช้เงินเยอะก็สามารถทำมันได้"

"เงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเช่นกัน ก่อนหน้านี้ที่เรายังมีกันและกัน ผมวาดฝันอนาคตไว้หลายอย่าง เริ่มจากผมและเธอจะเรียนจบเป็นสถาปนิก เราจะเปิดออฟฟิศเล็กๆที่มีชื่อผมและเธอรวมกัน เราจะแต่งงานกัน หลังจากนั้นเราจะมีลูกด้วยกันสักสองคน หากการงานไปได้ดีแล้ว เราอาจจะไปเรียนโทกันอีกคนละใบ เราจะเก็บเงินก้อนใหญ่ไว้ใช้ยามแก่เฒ่า จะเดินทางรอบโลกจะไปยังที่ๆอยากด้วยกันสองคน และมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่เราจะทำด้วยกัน ลุงเชื่อมั้ยว่าผมทำสิ่งเหล่านี้ไปเกือบครึ่งแล้ว"
"แล้วทำไมเธอไม่ทำมันต่อ"

วิชิตหันหน้ามาทางชายชรา

"โดยไม่มีเธอนี่นะ ผมอยากทำฝันร่วมกับเธอ ถ้าไม่มีเธอแล้วผมก็ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น มันเหมือนกับว่า เธอเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมก้าวต่อไป หรือบางทีอาจจะเป็นทำให้ผมมีชีวิตต่อไปเลยก็ได้ แต่พอไม่มีเธอผมก็เหมือนกับหมดแรง หมดกำลังใจ"

ความเงียบสงัดระหว่างทั้งสองเริ่มเข้ามาเกาะกุมบรรยากาศอีกครั้ง จนกระทั่งชายชราพูดอะไรบางอย่างออกมา

"เธอทำคนเดียวไม่ได้เหรอ?"
"ผมไม่รู้ว่าจะทำมันเพื่ออะไร หากทำสิ่งเหล่านั้นสำเร็จแล้ว แล้วยังไงต่อ ก็ผมไม่มีเธอแล้ว"
"พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้คนในสังคมต่างก็จะชื่นชมยินดีในความสำเร็จของเธอ เธอไม่แคร์กับสิ่งเหล่านั้นเหรอ?"
"ไม่เลย ความคาดหวังจากคนเหล่านั้นมันเป็นแค่สิ่งจอมปลอม พวกเขาหวังถึงผลประโยชน์ที่จะสะท้อนไปถึงตัวเขาก็แค่นั้นเอง แต่ที่ผมต้องการสร้างฝันร่วมกับเธอ เพราะผมแค่อยากจะทำมัน และสนุกไปกับมันแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรเลย"

ชายชราหัวเราะในลำคอเล็กน้อย เขาคิดในใจว่ารู้สึกแปลกดี ที่มาเจอคนอย่างวิชิต ในวันที่เขากำลังจะมากระโดดตึกตาย ชายชราควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และตอกมวนบุหรี่ออกมาอย่างชำนาญ บุหรี่อีกมวนถูกจุดและถูกสูดควันเข้าไปเต็มปอดชายชราอีกครั้ง พร้อมกับพ่นมันออกมา

"ถ้าลุงไม่รังเกียจ ผมขอลองดูดมันบ้างได้ไหม ขอดูดตัวเดียวกับลุงนี่แหละ"

ชายชรายิ้มทั้งๆที่ยังพ่นควันออกจากปาก เขาส่งบุหรี่มวนเดียวกันนี้ให้วิชิต

วิชิตทำท่าเก้ๆกังๆก่อนรับมวนบุหรี่ไว้ในมือ เขาค่อยๆใช้ปากอมไปที่ก้นกรองบุหรี่ ก่อนจะตัดสินใจออกแรงสูดควันบุหรี่เต็มแรง

"แคร่กๆๆๆ"

วิชิตสำลักควันบุหรี่ เสียงหัวเราะจากชายชราดังลั่น แต่หัวเราะได้ไม่นานเพราะเริ่มมีอาการเจ็บที่หน้าอก วิชิตเริ่มหายจากอาการสำลักควันแล้ว เขายื่นบุหรี่มวนนั้นคืนไปให้ชายชรา

"บุหรี่นี่มันดียังไงน่ะลุง ผมไม่เข้าใจ ทำไมคนถึงดูดมัน มันช่วยอะไรเราได้บ้างนอกจากจะทำให้เราเป็นโรคร้าย ช่วงหลังๆมานี่เห็นแต่คนพูดถึงมันแต่ในแง่ร้าย ลุงลองบอกข้อดีของมันให้ผมฟังหน่อยสิ"

ก่อนชายชราจะพูดถึงข้อดีของบุหรี่ เขาสูดลมจากปากผ่านมัน ก่อนจะพ่นควันสีเทาลอยคลุ้งขึ้นบนท้องฟ้า

"เธอรู้จักมอร์ฟีนมั้ย?"

"รู้ครับ มันคือยาเสพติดประเภทหลอนประสาท"

"มอร์ฟีนถูกใช้ในทางการแพทย์ เวลาที่มีผู้ป่วยทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายหรือขั้นตอนการรักษา มอร์ฟีนจะถูกใช้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ไม่อย่างนั้นผู้ป่วยอาจทรมานจนตายหรือท้อแท้หมดกำลังใจในการรักษาต่อไป"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบุหรี่ล่ะ?"

ชายชราหันหน้ามามองที่วิชิต ก่อนจะดูดบุหรี่อีกครั้งและดีดมวนบุหรี่มวนนั้น ลงไปยังพื้นล่างของตึก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่