พุทธพจน์เป็นภาษาใจ เข้าใจมั้ยท่านมหาเปรียญทั้งหลาย....ตองเก้า

กะอีแค่คำว่า "เดียร์ถีย์"คำเดียว  ทำเอาครูบาอาจารย์ที่ละสังขารไปแล้ว  แทบจะต้องกลับมาเกิดใหม่
ก็เพราะโดนอ้างโดนย้ำยีบ้าง  โดนเอาคำพูดไปเถียงแทนบ้าง  .....ผมว่าพวกคุณกำลังเข้าใจอะไรผิดน่ะครับ

พระศาสดาผู้เป็นเจ้าของพุทธพจน์   ไม่ใช่ท่านพุทธโฆษะ   ไม่ใช่ท่านพุทธทาส และไม่ใช่บรรดาเปรียญสอนภาษา
ผมว่าพวกคุณๆกำลังเข้าใจอะไรผิด   ต้นตอของปัญหามันคือ   ท่านพุทธทาส  ท่านพุทธโฆษะและคำว่า"เดียรถึย์"

ไอ้ที่กำลังเถียงๆกันอยู่น่ะ มันกำลังเถียงกันเรื่องทิฐิของตัวเอง  ทำไมผมถึงได้กล่าวเช่นนั้น
ก็เพราะเห็นการกล่าวอ้างของแต่ละ่คน  หาจุดยืนไม่ได้  พูดให้ทันสมัยก็คือมันไม่มีบริบท
บริบทก็คือ  ความเห็นของท่านพุทธโฆษะกับท่านพุทธทาส   ที่มีต่อบัญญัติว่า.....เดียรถีย์

ท่านทั้งสองเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า   เมื่อท่านมีปัญหากัน ซึ่งมันเป็นปัญหาในการตีความพุทธพจน์
การแก้ปัญหามันต้องลงไปหาหลักฐานในสิ่งที่เป็นพุทธวจนะ.....ไม่ใช่ไปอ้างพจนานุกรม อ้างคำแปลของพระสอนภาษา
พุทธพจน์เป็นภาษาใจ  ไม่ใช่ภาษาที่ใช้ในทางโลก  ถึงจะได้เอาคำแปลภาษามาอ้าง  มันต้องพูดด้วยปัญญาที่เกิดทางใจ



มันมีเยี่ยงอย่างที่ไหน  ดันเอาความรู้ระดับลูกศิษย์มาแย้งความรู้ระดับครูบาอาจารย์
ไม่ว่าจะเป็นความสำคัญในตัวบุคคลและศักศรีความศักสิทธิ์ในสิ่งที่อ้าง......มันใช่ไม่ได้
ในทางธรรมแล้ว  เปรียญเก้ายังต้องเคารพนับถือเปรียญสามเลยน่ะครับ   ไอ้พวกตะบี้ตะบันอ้างสงสัยจะยังไม่รู้

ความเห็นต่อไปจะสอนไปตบกระบาลไป   เพื่อจะได้รู้ว่าบริบทคืออะไรและที่สำคัญที่สุด.....กรอบของพุทธพจน์คืออะไร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่