ราชทัณฑ์อนุมัติย้ายนักโทษเสื้อแดงไปคุมขังในคุกตามภูมิลำเนา
ย้ำกระบวนการยุติธรรมพิสูจน์แล้วไม่ใช่นักโทษการเมือง
นายวิทยา สุริยะวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า
ได้อนุมัติให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำชั่วคราวหลักสี่
จำนวน 22 คน เป็นผู้ต้องขังชาย 20 คน ผู้ต้องขังหญิง 2 คน กลับไปคุมยังเรือนจำ
ตามภูมิลำเนาตามที่นายสรสิทธิ์ จงเจริญ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ได้เสนอ
เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ต้องขังในเรือนดังกล่าว
เป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลและมีกำหนดโทษชัดเจนแล้ว
ส่วนใหญ่ต้องโทษจำคุกเป็นเวลานาน เพราะก่อคดีที่มีโทษสูง เช่น
วางเพลิงเผาศาลากลางจังหวัด หรือเผาสถานที่ต่าง ๆ
ที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมได้พิสูจน์แล้วว่าผู้ต้องขังกลุ่มนี้ไม่ใช่ผู้ต้องขังคดีการเมือง
แต่เป็นผู้ต้องขังคดีอาญาทั่วไป จึงสมควรย้ายกลับคุมขังยังเรือนจำที่มีอำนาจควบคุม
นอกจากนี้เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ใช้คุมขังผู้ต้องขังจำนวนน้อยมาก แต่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง
ต้องแบ่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานร่วมกับตำรวจ โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละกว่า 1 ล้านบาท
ตนในฐานะอธิบดีกรมราชทัณฑ์จึงอนุมัติให้ย้ายได้
ส่วนสถานที่ดังกล่าวจะปิดการใช้งานเนื่องจากขณะนี้ไม่มีผู้ต้องขังคดีการเมือง
ที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในขั้นสอบสวนหรือการพิจารณาคดีในขั้นศาล
แหล่งข่าวจากเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ระบุว่าวันนี้เรือนจำได้ทยอยย้ายผู้ต้องขัง
ไปยังเรือนจำภูมิลำเนาแล้วล็อตแรกจำนวน 6คน
ส่วนที่เหลืออีก 16 คนจะทยอยย้ายให้เสร็จสิ้นภายในสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม ในการย้ายผู้ต้องขังครั้งนี้ไม่ปรากฏว่ามีแกนนำนปช.คนใดมาให้กำลังใจ
<><> ยุติธรรมชี้เสื้อแดงไม่ใช่นักโทษการเมือง <><>
ย้ำกระบวนการยุติธรรมพิสูจน์แล้วไม่ใช่นักโทษการเมือง
นายวิทยา สุริยะวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า
ได้อนุมัติให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำชั่วคราวหลักสี่
จำนวน 22 คน เป็นผู้ต้องขังชาย 20 คน ผู้ต้องขังหญิง 2 คน กลับไปคุมยังเรือนจำ
ตามภูมิลำเนาตามที่นายสรสิทธิ์ จงเจริญ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ได้เสนอ
เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ต้องขังในเรือนดังกล่าว
เป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลและมีกำหนดโทษชัดเจนแล้ว
ส่วนใหญ่ต้องโทษจำคุกเป็นเวลานาน เพราะก่อคดีที่มีโทษสูง เช่น
วางเพลิงเผาศาลากลางจังหวัด หรือเผาสถานที่ต่าง ๆ
ที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมได้พิสูจน์แล้วว่าผู้ต้องขังกลุ่มนี้ไม่ใช่ผู้ต้องขังคดีการเมือง
แต่เป็นผู้ต้องขังคดีอาญาทั่วไป จึงสมควรย้ายกลับคุมขังยังเรือนจำที่มีอำนาจควบคุม
นอกจากนี้เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ใช้คุมขังผู้ต้องขังจำนวนน้อยมาก แต่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง
ต้องแบ่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานร่วมกับตำรวจ โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละกว่า 1 ล้านบาท
ตนในฐานะอธิบดีกรมราชทัณฑ์จึงอนุมัติให้ย้ายได้
ส่วนสถานที่ดังกล่าวจะปิดการใช้งานเนื่องจากขณะนี้ไม่มีผู้ต้องขังคดีการเมือง
ที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในขั้นสอบสวนหรือการพิจารณาคดีในขั้นศาล
แหล่งข่าวจากเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ระบุว่าวันนี้เรือนจำได้ทยอยย้ายผู้ต้องขัง
ไปยังเรือนจำภูมิลำเนาแล้วล็อตแรกจำนวน 6คน
ส่วนที่เหลืออีก 16 คนจะทยอยย้ายให้เสร็จสิ้นภายในสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม ในการย้ายผู้ต้องขังครั้งนี้ไม่ปรากฏว่ามีแกนนำนปช.คนใดมาให้กำลังใจ