กัณวีร์ โชว์จม.ฉบับจริง จี้รบ.เปิดหลักฐาน ชาวอุยกูร์สมัครใจกลับประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5075459
‘กัณวีร์’ โชว์จดหมายจากชาวอุยกูร์เป็นฉบับจริง แต่ขออย่าหลงประเด็น มอง ติดกระดุมผิดตั้งแต่ต้น จี้ รัฐบาลโชว์หลักฐานการสมัครใจกลับประเทศ
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่รัฐสภา นาย
กัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงกรณีเอกสารจดหมายของชาวอุยกูร์ว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ว่า ก่อนจะยืนยันต้องขอบอกว่าอยากให้ทุกคนอย่าหลงประเด็นในเรื่องเกี่ยวกับการผลักดันชาวอุยกูร์กลับจีน จริงๆ แล้วมีเรื่องใหญ่กว่าเป็นจดหมายจริง หรือจดหมายปลอม คือคำตอบจากรัฐบาลไทยที่จะตอบว่า การผลักดันครั้งนี้เขาสมัครใจจริงหรือไม่ สิ่งที่ตนเองเปิดประเด็นไป คือความสมัครใจของผู้ลี้ภัยที่ได้กลับจีน และมีประเทศเดียวหรือไม่ ที่ไม่มีประเทศใดรับไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม ถือเป็นคำถามใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบ แต่ตอนนี้คำถามของสังคมมุ่งมาว่าจดหมายจริงหรือไม่
นาย
กัณวีร์กล่าวว่า วันนี้ก็ไม่อยากจะบอก ไม่อยากมาเป็นสาระสำคัญในประเด็นการผลักดันผู้ลี้ภัยออกจากประเทศไทยกลับไป ไปเจอการประหัตประหารในประเทศต้นกำเนิด เพราะลี้ภัยมาเป็น 11 ปีแล้ว และเป็นหลักฐานชัดเจนที่เขาอยู่ในห้องกัก จนกระทั่ง 27 ก.พ. มีการส่งกลับ ซึ่งวันนี้ก็ตอบคำถามสังคม อยากขอยืนยันผ่านพี่น้องสื่อมวลชนว่าเป็นจดหมายฉบับจริงหรือไม่จริง
นาย
กัณวีร์กล่าวอีกว่า จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายจากกระดาษฉีก จริงๆ แล้ว เป็นรอยปั๊ม กระดาษฉีกเหล่านี้สามารถหาได้ตามเรือนจำ ทั้งสองด้านจะมีลายน้ำ และสามารถซื้อได้แผ่นละ 1 บาท ตนเองไม่เคยพูดว่าออกมาจากราชทัณฑ์อย่างถูกต้องตามระเบียบ แต่บอกว่าได้มาจาก ตม.สวนพลู จากชาวอุยกูร์ที่ออกมาจากเรือนจำ โดยก่อนหน้านี้มี 7 คนที่อยู่ในเรือนจำ และออกมาแล้ว 2 คน ซึ่งตอนนี้ถูกส่งกลับจีน สาระสำคัญไม่ใช่จดหมาย แต่ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ผลักดันกลับประเทศต้นทาง และยึดมั่นตามกฎหมายสากล รวมถึงต้องไม่ผิดกฎหมายในประเทศอนุสัญญาในต่างประเทศ นี่คือสิ่งที่ต้องยืนยัน ไม่ใช่ถามหาว่าจดหมายจริงหรือจดหมายปลอม
นาย
กัณวีร์กล่าวว่า จดหมายฉบับนี้เขียนถึงนายกรัฐมนตรี โดยจะมีการเขียนข้อความในลักษณะการถูกแยกจากครอบครัวมา 10 กว่าปี ซึ่งนายกรัฐมนตรีเพิ่งได้รับครอบครัวกลับมา เป็นการเขียนข้อความประมาณนี้ ดังนั้น คนที่มีอำนาจก็เพิ่งได้รับการกลับมาอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว เขาจึงส่งหาคนที่อาจทำให้เขาได้กลับไปเจอครอบครัวได้บ้าง
ส่วนความกังวลถึงเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์นั้น นาย
กัณวีร์ระบุว่า ต้องแยกกัน ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวยังอยู่ในเรือนจำ และอยู่ระหว่างการสอบปากคำอีก 170 ปาก ถ้าบอกว่าการส่งกลับเพื่อการรับรองในเรื่องนี้ ตนมองว่ามันไม่ใช่ ต้องพูดคุยกัน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ก่อนหน้านั้น รัฐบาลไทยคุยกับรัฐบาลจีน และอยู่ระหว่างการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่จะส่งตัวกลับจีน โดยการนำเครื่องบินมารับที่สนามบินแม่สอด และมีการส่งทันที ก่อนหน้านี้ตนเองก็เคยบอกไปแล้วว่าเป็นข่าวลือ หรือข่าวหนาหูว่ามีการผลักดันกลับไปและโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเจ้าพ่อเฟคนิวส์ ซึ่งหลักฐานที่นำมาในวันนี้ก็ตอบตัวเองดีแล้ว
การผลักดันในครั้งนี้ สุดท้ายเป็นการกักขังลืมเป็นเวลากว่า 10 ปี ทำไมตนเองและประชาชนยังไม่เคยได้ยินว่าผู้ต้องกักมีความสมัครใจมากน้อยแค่ไหน เราไม่เคยได้ยินเขาออกมาบอกว่า เขาต้องการกลับบ้าน จนปลายเดือน ก.พ. ที่รัฐบาลบอกว่าทุกคนสมัครใจกลับ ซึ่งหากมองในความเป็นจริงคงเป็นไปไม่ได้
“
ผมพยายามจะสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ หากรัฐบาลมีหลักฐานใดๆ ก็ตาม ที่ระบุได้ว่า ชาวอุยกูร์เหล่านี้ สมัครใจจะกลับประเทศจีนจริง ก็ขอให้เอาออกมาแสดง ให้ประชาชนและเวทีระหว่างประเทศ มั่นใจว่าเราไม่มีการผลักดันคนเข้าสู่การประหัตประหารอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งประเทศไทยต้องรับแรงปะทะในเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะถ้าถูกถาม เราจะตอบได้หรือไม่” นาย
กัณวีร์กล่าว
นันทนา จี้ ก.ยุติธรรม ปมบุ้งเสียชีวิตในเรือนจำ ชี้เหลื่อมล้ำสิทธิรักษา เข้าถึงหมอ ยากพอๆประกันตัว
https://www.matichon.co.th/politics/news_5075350
นันทนา ซัด ก.ยุติธรรม คุกมีไว้ขังคนจนจริงๆ เข้าถึงหมอในเรือนจำ ยากพอๆประกันตัว หวังผู้ต้องขังทุกคนได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมในฐานะมนุษย์ ต้องไม่มีเทวดาหรือสัมภเวสี
เวลา 09.30 น. วันที่ 4 มีนาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนาย
บุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติเรื่องขอเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย ของพล.ต.ต.
ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว.ในฐานะประธานคณะกรรมมาธิการ (กมธ.) กิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เสนอญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย
จากนั้นเวลา 09.50 น.ส.
นันทนา นันทวโรภาส ส.ว. อภิปรายว่า คุกมีไว้ขังคนจนเป็นจริงหรือไม่ วิญญูชนย่อมรู้ดี และยิ่งไปกว่านั้นความเหลื่อมล้ำในการเข้ารักษาพยาบาลของผู้ต้องขัง ก็ยิ่งแตกต่างกันเหมือนอยู่กันคนละพิภพ ถ้ามีเงินมีอำนาจก็จะได้อัพเกรดเป็นเทวดาจุติมาที่วิมานชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ส่วนคนจนไม่มีอำนาจก็เป็นสัมภเวสีรอรับการรักษาอยู่แถวหน้าห้องพยาบาลในเรือนจำ ไม่ว่าจะป่วยหนักขนาดไหน ก็ห้ามออกไปรักษาที่ไหน ถ้าตายก็ต้องตายในเรือนจำ นี่หรือคือความยุติธรรมต่อผู้ต้องขังในสังคมไทย
ซึ่งสาเหตุที่ต้องเสียชีวิตลงคือ ความล่าช้าของการรักษาพยาบาลและไม่มีโอกาสเข้าถึงแพทย์ ยา และโรงพยาบาล แค่โรงพยาบาลในเรือนจำยังไม่มีโอกาสเข้าถึง
น.ส.
นันทนา กล่าวต่อว่า ทั้งกรณีของ นาย
อำพล ตั้งนพกุล หรืออากง ที่ใช้เวลากว่า 1 เดือน 3 วัน นาย
อำพล ถึงได้พบแพทย์ ถ้าได้ส่งตัวรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง เหมือนส่งเทวดาไปชั้น 14 นาย
อำพลจะรอดหรือไม่ หรือกรณีของน.ส.
เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ที่มีคำถามคือหากจะช่วยชีวิตของน.ส.เนติพร ทำไมไม่นำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้เรือนจำ
หากส่งไปที่โรงพยาบาลตำรวจการฟื้นชีพอาจจะสำเร็จ หรือโรงพยาบาลตำรวจมีไว้ให้เทวดารักษาตัวเท่านั้น อาการโคม่าขนาดนี้ยังไม่ได้รับการอนุญาตให้ไปรักษาในโรงพยาบาลภายนอกจนเสียชีวิตในที่สุด เป็นการเหลื่อมล้ำหรือไม่
น.ส.
นันทนา กล่าวว่า ขณะนี้ ยังมีนายสิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ หรือขนุน มศว นักกิจกรรม ได้ทำการอดอาหารประท้วงมาเป็นเวลา12 วันแล้ว ด้วยเหตุผลที่ไม่ได้รับการประกันตัว ตอนนี้นายสิรภพ ถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพราะอาการเล็บเริ่มคล้ำ ผื่นขึ้น และไม่มีแรง
ขออย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย อย่าให้เขาเสียชีวิต ซึ่งการเข้าถึงหมอในเรือนจำเป็นเรื่องที่ยากพอๆกับการได้ประกันตัว ขั้นตอนการพบหมอ และลงชื่อเข้าคิวพบหมอก่อน 08.00 น. รอคิว 1-2 วัน โควตาหมอตรวจ 1 ต่อ 20 คน โดยมีหมอ 2 คนตรวจครบโควตาเริ่มใหม่พรุ่งนี้ สภาพภายในโรงพยาบาลราชทัณฑ์แออัด ห้องละ 30 เตียง
โอกาสพบหมอพยาบาลน้อย คนไข้ดูแลกันเองแล้วก็ติดไข้กันเอง เจ้าหน้าที่ไม่มาดูแลคนป่วย บางครั้งผู้ต้องขังต้องนอนอยู่กับคนป่วยที่ตายแล้ว จนถึงเช้ารอผู้คุมมาจึงจะเคลื่อนย้ายศพออกไปได้ นี่คือความทุกข์ที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำและเลือกปฏิบัติกับผู้ต้องขัง
น.ส.
นันทนา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ มีผู้ต้องขังจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่พึงได้รับตามสิทธิ์แห่งการเป็นมนุษย์ โดยในประเทศไทยปี 2563 กระทรวงยุติธรรมได้ออกกฎกระทรวงเรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำที่สรุปได้ว่า ถ้าผู้ต้องขังมีอาการป่วยให้ส่งตัวไปรักษาในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็ว หากไม่สามารถรักษาได้ผู้บังคับบัญชาเรือนจำมีอำนาจอนุญาตส่งตัวรักษานอกเรือนจำได้และถ้ามีเหตุจำเป็นสามารถส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชนได้ ซึ่งข้อกำหนดเหล่านี้มีขึ้นเพื่อรักษาชีวิตของผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
“
เราไม่คาดหวังว่าจะให้ผู้ต้องขังทุกคนต้องได้รับการรักษาที่ชั้น 14 ขอเพียงให้เขาเหล่านั้นได้เข้าถึงการรักษาตามสิทธิ์แห่งความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันเท่านั้น จึงฝากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้มอบสิทธิ์แห่งการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ จะต้องไม่มีเทวดาหรือสัมภเวสีอีกต่อไป” นส.
นันทนา กล่าว
ปกรณ์วุฒิ ยังไม่เคลียร์ ‘วิสุทธิ์’ รับโกรธจริง พูดถึงยุบพรรคเป็นเรื่องตลก จ่อเสนอซักฟอก 4 วัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_5075333
‘ปกรณ์วุฒิ’ ลั่นมีมารยาทพอ เจอผู้ใหญ่ก็ยกมือไหว้ตลอด ปมมีวิวาทะกับ ‘วิสุทธิ์’ บอกยังไม่เคลียร์ รับโกรธจริง หลังชอบอ้างอยู่ฝ่าย ปชต. แต่กลับพูดถึงอาวุธเผด็จการที่ประหารนักการเมืองเป็นเรื่องตลก จ่อเสนอซักฟอก 4 วัน เลิกไม่เกิน 5 ทุ่ม ส่วน ‘นายกฯ’ ต้องแจงด้วยตัวเองหรือไม่ต้องดูบริบท
เมื่อเวลา 09.35 น. วันที่ 4 มีนาคม ที่รัฐสภา นาย
ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีข้อถกเถียงเรื่องจำนวนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า จะต้องมีการพูดคุยกับวิป 3 ฝ่ายอีกครั้ง เพราะตอนที่ขอไป 5 วันก็มีการเตรียมการไว้แล้วว่าจะมีผู้อภิปรายประมาณไหน ซึ่งที่ขอไป 5 วันนั้นไม่ใช่ฝ่ายค้านต้องลุกมาพูดทั้ง 5 วันเลย ต้องมีเวลาให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชี้แจงด้วย เราต้องพูดกันทั้ง 2 ฝ่าย รัฐบาลคงทราบดีอยู่แล้วว่าต้องมีการแบ่งเรื่องเวลากัน
“
ผมเห็นข่าวแต่ไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนพูดว่าการจะออกมาพูดว่าขอเวลาอภิปราย 5 วันนั้นเป็นการผิดมารยาท ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าผิดมารยาทตรงไหน จริงๆ ผมเห็นข้อดีคือการที่ผมบอกก่อนนั้น รัฐบาลจะได้เตรียมการได้คร่าวๆ ว่าฝ่ายค้านเตรียมผู้อภิปรายไว้ประมาณไหน แต่รัฐบาลกลับออกมาตอบโต้ว่าจะให้เวลาในการอภิปรายเพียง 1 วัน
ส่วนเรื่องดีอีกเรื่องคือเป็นเรื่องที่ประชาชนได้หยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าพวกเขาเห็นอย่างไร แล้วพรรคการเมืองจะได้รับฟังเสียงจากสังคมแล้วนำมาตัดสินใจว่าการทำงานในสภาที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณไหน” นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าว
เมื่อถามว่า กรณีการตอบโต้ระหว่างนาย
ปกรณ์วุฒิและ นาย
วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานวิปรัฐบาล จะถึงขั้นไม่ยกมือไหว้เลยหรือไม่ นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า
“ผมเป็นคนมีมารยาท ผมเกิดเป็นคนไทย ตั้งแต่เด็กเวลาเห็นผู้ใหญ่ผมก็ยกมือไหว้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคมนั้น ต้องบอกตามตรงว่าผมโกรธจริงๆ คนธรรมดา มีอารมณ์โกรธได้ สิ่งที่ผมโกรธไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นเพราะผมเห็นการเมืองที่อ้างตัวเองว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยมาก่อนกลับพูดถึงเรื่องการยุบพรรค พูดถึงเรื่องอาวุธที่ฝ่ายเผด็จการนำมาประหัตประหารนักการเมืองที่มาจากประชาชนได้ราวกับเป็นเรื่องตลก จึงได้ตอบโต้ออกไปในลักษณะนั้น แต่ก็ยังไม่เห็นว่าฝ่ายนั้นจะพูดถึงสิ่งที่ผมพูด แต่กลับไปพูดประเด็นอื่นแทน และคาดหวังว่าคงไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนั้น
JJNY : กัณวีร์จี้ เปิดหลักฐานอุยกูร์│นันทนาจี้ก.ยุติธรรม│ปกรณ์วุฒิ ยังไม่เคลียร์ ‘วิสุทธิ์’│จีนตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5075459
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่รัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงกรณีเอกสารจดหมายของชาวอุยกูร์ว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ว่า ก่อนจะยืนยันต้องขอบอกว่าอยากให้ทุกคนอย่าหลงประเด็นในเรื่องเกี่ยวกับการผลักดันชาวอุยกูร์กลับจีน จริงๆ แล้วมีเรื่องใหญ่กว่าเป็นจดหมายจริง หรือจดหมายปลอม คือคำตอบจากรัฐบาลไทยที่จะตอบว่า การผลักดันครั้งนี้เขาสมัครใจจริงหรือไม่ สิ่งที่ตนเองเปิดประเด็นไป คือความสมัครใจของผู้ลี้ภัยที่ได้กลับจีน และมีประเทศเดียวหรือไม่ ที่ไม่มีประเทศใดรับไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม ถือเป็นคำถามใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบ แต่ตอนนี้คำถามของสังคมมุ่งมาว่าจดหมายจริงหรือไม่
นายกัณวีร์กล่าวว่า วันนี้ก็ไม่อยากจะบอก ไม่อยากมาเป็นสาระสำคัญในประเด็นการผลักดันผู้ลี้ภัยออกจากประเทศไทยกลับไป ไปเจอการประหัตประหารในประเทศต้นกำเนิด เพราะลี้ภัยมาเป็น 11 ปีแล้ว และเป็นหลักฐานชัดเจนที่เขาอยู่ในห้องกัก จนกระทั่ง 27 ก.พ. มีการส่งกลับ ซึ่งวันนี้ก็ตอบคำถามสังคม อยากขอยืนยันผ่านพี่น้องสื่อมวลชนว่าเป็นจดหมายฉบับจริงหรือไม่จริง
นายกัณวีร์กล่าวอีกว่า จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายจากกระดาษฉีก จริงๆ แล้ว เป็นรอยปั๊ม กระดาษฉีกเหล่านี้สามารถหาได้ตามเรือนจำ ทั้งสองด้านจะมีลายน้ำ และสามารถซื้อได้แผ่นละ 1 บาท ตนเองไม่เคยพูดว่าออกมาจากราชทัณฑ์อย่างถูกต้องตามระเบียบ แต่บอกว่าได้มาจาก ตม.สวนพลู จากชาวอุยกูร์ที่ออกมาจากเรือนจำ โดยก่อนหน้านี้มี 7 คนที่อยู่ในเรือนจำ และออกมาแล้ว 2 คน ซึ่งตอนนี้ถูกส่งกลับจีน สาระสำคัญไม่ใช่จดหมาย แต่ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ผลักดันกลับประเทศต้นทาง และยึดมั่นตามกฎหมายสากล รวมถึงต้องไม่ผิดกฎหมายในประเทศอนุสัญญาในต่างประเทศ นี่คือสิ่งที่ต้องยืนยัน ไม่ใช่ถามหาว่าจดหมายจริงหรือจดหมายปลอม
นายกัณวีร์กล่าวว่า จดหมายฉบับนี้เขียนถึงนายกรัฐมนตรี โดยจะมีการเขียนข้อความในลักษณะการถูกแยกจากครอบครัวมา 10 กว่าปี ซึ่งนายกรัฐมนตรีเพิ่งได้รับครอบครัวกลับมา เป็นการเขียนข้อความประมาณนี้ ดังนั้น คนที่มีอำนาจก็เพิ่งได้รับการกลับมาอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว เขาจึงส่งหาคนที่อาจทำให้เขาได้กลับไปเจอครอบครัวได้บ้าง
ส่วนความกังวลถึงเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์นั้น นายกัณวีร์ระบุว่า ต้องแยกกัน ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวยังอยู่ในเรือนจำ และอยู่ระหว่างการสอบปากคำอีก 170 ปาก ถ้าบอกว่าการส่งกลับเพื่อการรับรองในเรื่องนี้ ตนมองว่ามันไม่ใช่ ต้องพูดคุยกัน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ก่อนหน้านั้น รัฐบาลไทยคุยกับรัฐบาลจีน และอยู่ระหว่างการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่จะส่งตัวกลับจีน โดยการนำเครื่องบินมารับที่สนามบินแม่สอด และมีการส่งทันที ก่อนหน้านี้ตนเองก็เคยบอกไปแล้วว่าเป็นข่าวลือ หรือข่าวหนาหูว่ามีการผลักดันกลับไปและโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเจ้าพ่อเฟคนิวส์ ซึ่งหลักฐานที่นำมาในวันนี้ก็ตอบตัวเองดีแล้ว
การผลักดันในครั้งนี้ สุดท้ายเป็นการกักขังลืมเป็นเวลากว่า 10 ปี ทำไมตนเองและประชาชนยังไม่เคยได้ยินว่าผู้ต้องกักมีความสมัครใจมากน้อยแค่ไหน เราไม่เคยได้ยินเขาออกมาบอกว่า เขาต้องการกลับบ้าน จนปลายเดือน ก.พ. ที่รัฐบาลบอกว่าทุกคนสมัครใจกลับ ซึ่งหากมองในความเป็นจริงคงเป็นไปไม่ได้
“ผมพยายามจะสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ หากรัฐบาลมีหลักฐานใดๆ ก็ตาม ที่ระบุได้ว่า ชาวอุยกูร์เหล่านี้ สมัครใจจะกลับประเทศจีนจริง ก็ขอให้เอาออกมาแสดง ให้ประชาชนและเวทีระหว่างประเทศ มั่นใจว่าเราไม่มีการผลักดันคนเข้าสู่การประหัตประหารอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งประเทศไทยต้องรับแรงปะทะในเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะถ้าถูกถาม เราจะตอบได้หรือไม่” นายกัณวีร์กล่าว
นันทนา จี้ ก.ยุติธรรม ปมบุ้งเสียชีวิตในเรือนจำ ชี้เหลื่อมล้ำสิทธิรักษา เข้าถึงหมอ ยากพอๆประกันตัว
https://www.matichon.co.th/politics/news_5075350
นันทนา ซัด ก.ยุติธรรม คุกมีไว้ขังคนจนจริงๆ เข้าถึงหมอในเรือนจำ ยากพอๆประกันตัว หวังผู้ต้องขังทุกคนได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมในฐานะมนุษย์ ต้องไม่มีเทวดาหรือสัมภเวสี
เวลา 09.30 น. วันที่ 4 มีนาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติเรื่องขอเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย ของพล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว.ในฐานะประธานคณะกรรมมาธิการ (กมธ.) กิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เสนอญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย
จากนั้นเวลา 09.50 น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ส.ว. อภิปรายว่า คุกมีไว้ขังคนจนเป็นจริงหรือไม่ วิญญูชนย่อมรู้ดี และยิ่งไปกว่านั้นความเหลื่อมล้ำในการเข้ารักษาพยาบาลของผู้ต้องขัง ก็ยิ่งแตกต่างกันเหมือนอยู่กันคนละพิภพ ถ้ามีเงินมีอำนาจก็จะได้อัพเกรดเป็นเทวดาจุติมาที่วิมานชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ส่วนคนจนไม่มีอำนาจก็เป็นสัมภเวสีรอรับการรักษาอยู่แถวหน้าห้องพยาบาลในเรือนจำ ไม่ว่าจะป่วยหนักขนาดไหน ก็ห้ามออกไปรักษาที่ไหน ถ้าตายก็ต้องตายในเรือนจำ นี่หรือคือความยุติธรรมต่อผู้ต้องขังในสังคมไทย
ซึ่งสาเหตุที่ต้องเสียชีวิตลงคือ ความล่าช้าของการรักษาพยาบาลและไม่มีโอกาสเข้าถึงแพทย์ ยา และโรงพยาบาล แค่โรงพยาบาลในเรือนจำยังไม่มีโอกาสเข้าถึง
น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า ทั้งกรณีของ นายอำพล ตั้งนพกุล หรืออากง ที่ใช้เวลากว่า 1 เดือน 3 วัน นายอำพล ถึงได้พบแพทย์ ถ้าได้ส่งตัวรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง เหมือนส่งเทวดาไปชั้น 14 นายอำพลจะรอดหรือไม่ หรือกรณีของน.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ที่มีคำถามคือหากจะช่วยชีวิตของน.ส.เนติพร ทำไมไม่นำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้เรือนจำ
หากส่งไปที่โรงพยาบาลตำรวจการฟื้นชีพอาจจะสำเร็จ หรือโรงพยาบาลตำรวจมีไว้ให้เทวดารักษาตัวเท่านั้น อาการโคม่าขนาดนี้ยังไม่ได้รับการอนุญาตให้ไปรักษาในโรงพยาบาลภายนอกจนเสียชีวิตในที่สุด เป็นการเหลื่อมล้ำหรือไม่
น.ส.นันทนา กล่าวว่า ขณะนี้ ยังมีนายสิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ หรือขนุน มศว นักกิจกรรม ได้ทำการอดอาหารประท้วงมาเป็นเวลา12 วันแล้ว ด้วยเหตุผลที่ไม่ได้รับการประกันตัว ตอนนี้นายสิรภพ ถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพราะอาการเล็บเริ่มคล้ำ ผื่นขึ้น และไม่มีแรง
ขออย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย อย่าให้เขาเสียชีวิต ซึ่งการเข้าถึงหมอในเรือนจำเป็นเรื่องที่ยากพอๆกับการได้ประกันตัว ขั้นตอนการพบหมอ และลงชื่อเข้าคิวพบหมอก่อน 08.00 น. รอคิว 1-2 วัน โควตาหมอตรวจ 1 ต่อ 20 คน โดยมีหมอ 2 คนตรวจครบโควตาเริ่มใหม่พรุ่งนี้ สภาพภายในโรงพยาบาลราชทัณฑ์แออัด ห้องละ 30 เตียง
โอกาสพบหมอพยาบาลน้อย คนไข้ดูแลกันเองแล้วก็ติดไข้กันเอง เจ้าหน้าที่ไม่มาดูแลคนป่วย บางครั้งผู้ต้องขังต้องนอนอยู่กับคนป่วยที่ตายแล้ว จนถึงเช้ารอผู้คุมมาจึงจะเคลื่อนย้ายศพออกไปได้ นี่คือความทุกข์ที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำและเลือกปฏิบัติกับผู้ต้องขัง
น.ส.นันทนา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ มีผู้ต้องขังจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่พึงได้รับตามสิทธิ์แห่งการเป็นมนุษย์ โดยในประเทศไทยปี 2563 กระทรวงยุติธรรมได้ออกกฎกระทรวงเรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำที่สรุปได้ว่า ถ้าผู้ต้องขังมีอาการป่วยให้ส่งตัวไปรักษาในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็ว หากไม่สามารถรักษาได้ผู้บังคับบัญชาเรือนจำมีอำนาจอนุญาตส่งตัวรักษานอกเรือนจำได้และถ้ามีเหตุจำเป็นสามารถส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชนได้ ซึ่งข้อกำหนดเหล่านี้มีขึ้นเพื่อรักษาชีวิตของผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
“เราไม่คาดหวังว่าจะให้ผู้ต้องขังทุกคนต้องได้รับการรักษาที่ชั้น 14 ขอเพียงให้เขาเหล่านั้นได้เข้าถึงการรักษาตามสิทธิ์แห่งความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันเท่านั้น จึงฝากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้มอบสิทธิ์แห่งการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ จะต้องไม่มีเทวดาหรือสัมภเวสีอีกต่อไป” นส.นันทนา กล่าว
ปกรณ์วุฒิ ยังไม่เคลียร์ ‘วิสุทธิ์’ รับโกรธจริง พูดถึงยุบพรรคเป็นเรื่องตลก จ่อเสนอซักฟอก 4 วัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_5075333
‘ปกรณ์วุฒิ’ ลั่นมีมารยาทพอ เจอผู้ใหญ่ก็ยกมือไหว้ตลอด ปมมีวิวาทะกับ ‘วิสุทธิ์’ บอกยังไม่เคลียร์ รับโกรธจริง หลังชอบอ้างอยู่ฝ่าย ปชต. แต่กลับพูดถึงอาวุธเผด็จการที่ประหารนักการเมืองเป็นเรื่องตลก จ่อเสนอซักฟอก 4 วัน เลิกไม่เกิน 5 ทุ่ม ส่วน ‘นายกฯ’ ต้องแจงด้วยตัวเองหรือไม่ต้องดูบริบท
เมื่อเวลา 09.35 น. วันที่ 4 มีนาคม ที่รัฐสภา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีข้อถกเถียงเรื่องจำนวนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า จะต้องมีการพูดคุยกับวิป 3 ฝ่ายอีกครั้ง เพราะตอนที่ขอไป 5 วันก็มีการเตรียมการไว้แล้วว่าจะมีผู้อภิปรายประมาณไหน ซึ่งที่ขอไป 5 วันนั้นไม่ใช่ฝ่ายค้านต้องลุกมาพูดทั้ง 5 วันเลย ต้องมีเวลาให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชี้แจงด้วย เราต้องพูดกันทั้ง 2 ฝ่าย รัฐบาลคงทราบดีอยู่แล้วว่าต้องมีการแบ่งเรื่องเวลากัน
“ผมเห็นข่าวแต่ไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนพูดว่าการจะออกมาพูดว่าขอเวลาอภิปราย 5 วันนั้นเป็นการผิดมารยาท ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าผิดมารยาทตรงไหน จริงๆ ผมเห็นข้อดีคือการที่ผมบอกก่อนนั้น รัฐบาลจะได้เตรียมการได้คร่าวๆ ว่าฝ่ายค้านเตรียมผู้อภิปรายไว้ประมาณไหน แต่รัฐบาลกลับออกมาตอบโต้ว่าจะให้เวลาในการอภิปรายเพียง 1 วัน
ส่วนเรื่องดีอีกเรื่องคือเป็นเรื่องที่ประชาชนได้หยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าพวกเขาเห็นอย่างไร แล้วพรรคการเมืองจะได้รับฟังเสียงจากสังคมแล้วนำมาตัดสินใจว่าการทำงานในสภาที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณไหน” นายปกรณ์วุฒิกล่าว
เมื่อถามว่า กรณีการตอบโต้ระหว่างนายปกรณ์วุฒิและ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานวิปรัฐบาล จะถึงขั้นไม่ยกมือไหว้เลยหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า “ผมเป็นคนมีมารยาท ผมเกิดเป็นคนไทย ตั้งแต่เด็กเวลาเห็นผู้ใหญ่ผมก็ยกมือไหว้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคมนั้น ต้องบอกตามตรงว่าผมโกรธจริงๆ คนธรรมดา มีอารมณ์โกรธได้ สิ่งที่ผมโกรธไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นเพราะผมเห็นการเมืองที่อ้างตัวเองว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยมาก่อนกลับพูดถึงเรื่องการยุบพรรค พูดถึงเรื่องอาวุธที่ฝ่ายเผด็จการนำมาประหัตประหารนักการเมืองที่มาจากประชาชนได้ราวกับเป็นเรื่องตลก จึงได้ตอบโต้ออกไปในลักษณะนั้น แต่ก็ยังไม่เห็นว่าฝ่ายนั้นจะพูดถึงสิ่งที่ผมพูด แต่กลับไปพูดประเด็นอื่นแทน และคาดหวังว่าคงไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนั้น