(1 มี.ค.68) เป็นข่าวไปทั่วโลก เมื่อรัฐบาลจีนส่งเครื่องบินมารับชาวอุยกูร์ที่ลักลอบเข้าเมืองและกลายเป็นผู้ต้องกักอยู่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองขอไทยมานานกว่า 10 ปีแล้ว เพราะไม่มีประเทศที่สามรับตัวไป



อีกทั้งเดิมทีชาวอุยกูร์เหล่านั้นไม่ยอมกลับไปบ้านเกิดด้วยเกรงการลงโทษจากรัฐบาลจีน การถูกกักตัวเป็นระยะเวลาที่ยาวนานนับ 10 ปี
ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างชาวอุยกูร์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จึงทำให้ชาวอุยกูร์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สตม. สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การส่งกลับครั้งนี้จึงเป็นไปด้วยความราบรื่นและเรียบร้อย
อีกทั้งในช่วงตรุษจีนของปีนี้เอง รัฐบาลจีนได้นำการแสดงของชาวอุยกูร์มาแสดงที่เยาวราช กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ได้เห็นถึงการยอมรับของสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า ชาวอุยกูร์เป็นส่วนหนึ่งของจีน ซึ่งเป็นไปตามแผนงานในการพัฒนาประเทศของรัฐบาลจีน โดยหลังจากนั้นรัฐบาลจีนได้ส่งคลิปต่าง ๆ ที่ถ่ายจากญาติพี่น้องของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชาวอุยกูร์ในปัจจุบัน และครอบครัวของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นต่างก็เรียกร้องต้องการให้ญาติพี่น้องของตนได้เดินทางกลับบ้านเพื่อไปใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องพลัดพรากห่างกันมานานกว่า 10 ปี และต่อมารัฐบาลจีนได้ทำการออกหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการว่า ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนนี้จะไม่ถูกดำเนินคดี และยังจะได้รับการฝึกงานสร้างอาชีพให้มีรายได้ต่อไป โดยสามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวได้เลยทันทีหลังจากเดินทางกลับและผ่านการตรวจร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 คณะผู้แทนของประเทศไทยได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนและตรวจสอบชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับ
โดย พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผบ.ตร. หนึ่งในคณะผู้แทนไทยได้เปิดเผยว่า คณะผู้แทนไทยได้พบอดีตผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นซึ่งปรากฏแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความปลอดภัยและความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งต่อการกลับมาของครอบครัวอดีตผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้น
ดังนั้น UNHCR และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งออกมาประท้วงและหรือประณามประเทศไทยถึงการส่งตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นกลับ คงต้องกลับไปหาข้อมูลและทบทวนใหม่ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาทำไม UNHCR จึงไม่สามารถประสานจัดการส่งคนเหล่านี้ไปประเทศที่สามได้สำเร็จ
(แต่กลับสามารถทำให้ผู้ต้องหาในคดีความผิดตามมาตรา 112 หลบหนีออกจากประเทศไทยไปเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศต่าง ๆ ได้) เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้เองก็ทำการผลักดันผู้อพยพหลบหนีเข้าเมืองเพื่อส่งออกนอกประเทศกันเป็นการใหญ่ การที่จะกล่าวหาหรือประณามหยามเหยียดใครจนได้รับความเสียหายนั้น สมควรที่จะได้ทบทวนมองดูตัวเองให้ดีโดยถี่ถ้วนเสียก่อน
เพราะการกระทำกับคำพูดของทั้ง UNHCR และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ มีความย้อนแย้งขัดกันมากเหลือเกิน และต้องรอดูกันต่อไปว่า ชาวปาเลสไตน์ที่เดินทางกลับบ้านที่ฉนวนกาซ่าจะได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีเทียบเคียงได้กับการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนของรัฐบาลจีน เช่นนี้หรือไม่?
https://www.facebook.com/share/p/1AcdmPnMrQ/
ไม่มีการบังคับส่งกลับแม้แต่คนเดียว!! คณะผู้แทนไทย เผยชาวอุยกูร์ดีใจได้คืนสู่อ้อมกอดครอบครัว
อีกทั้งเดิมทีชาวอุยกูร์เหล่านั้นไม่ยอมกลับไปบ้านเกิดด้วยเกรงการลงโทษจากรัฐบาลจีน การถูกกักตัวเป็นระยะเวลาที่ยาวนานนับ 10 ปี
ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างชาวอุยกูร์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จึงทำให้ชาวอุยกูร์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สตม. สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การส่งกลับครั้งนี้จึงเป็นไปด้วยความราบรื่นและเรียบร้อย
อีกทั้งในช่วงตรุษจีนของปีนี้เอง รัฐบาลจีนได้นำการแสดงของชาวอุยกูร์มาแสดงที่เยาวราช กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ได้เห็นถึงการยอมรับของสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า ชาวอุยกูร์เป็นส่วนหนึ่งของจีน ซึ่งเป็นไปตามแผนงานในการพัฒนาประเทศของรัฐบาลจีน โดยหลังจากนั้นรัฐบาลจีนได้ส่งคลิปต่าง ๆ ที่ถ่ายจากญาติพี่น้องของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชาวอุยกูร์ในปัจจุบัน และครอบครัวของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นต่างก็เรียกร้องต้องการให้ญาติพี่น้องของตนได้เดินทางกลับบ้านเพื่อไปใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องพลัดพรากห่างกันมานานกว่า 10 ปี และต่อมารัฐบาลจีนได้ทำการออกหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการว่า ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนนี้จะไม่ถูกดำเนินคดี และยังจะได้รับการฝึกงานสร้างอาชีพให้มีรายได้ต่อไป โดยสามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวได้เลยทันทีหลังจากเดินทางกลับและผ่านการตรวจร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 คณะผู้แทนของประเทศไทยได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนและตรวจสอบชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับ
โดย พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผบ.ตร. หนึ่งในคณะผู้แทนไทยได้เปิดเผยว่า คณะผู้แทนไทยได้พบอดีตผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นซึ่งปรากฏแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความปลอดภัยและความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งต่อการกลับมาของครอบครัวอดีตผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้น
ดังนั้น UNHCR และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งออกมาประท้วงและหรือประณามประเทศไทยถึงการส่งตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นกลับ คงต้องกลับไปหาข้อมูลและทบทวนใหม่ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาทำไม UNHCR จึงไม่สามารถประสานจัดการส่งคนเหล่านี้ไปประเทศที่สามได้สำเร็จ
(แต่กลับสามารถทำให้ผู้ต้องหาในคดีความผิดตามมาตรา 112 หลบหนีออกจากประเทศไทยไปเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศต่าง ๆ ได้) เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้เองก็ทำการผลักดันผู้อพยพหลบหนีเข้าเมืองเพื่อส่งออกนอกประเทศกันเป็นการใหญ่ การที่จะกล่าวหาหรือประณามหยามเหยียดใครจนได้รับความเสียหายนั้น สมควรที่จะได้ทบทวนมองดูตัวเองให้ดีโดยถี่ถ้วนเสียก่อน
เพราะการกระทำกับคำพูดของทั้ง UNHCR และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ มีความย้อนแย้งขัดกันมากเหลือเกิน และต้องรอดูกันต่อไปว่า ชาวปาเลสไตน์ที่เดินทางกลับบ้านที่ฉนวนกาซ่าจะได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีเทียบเคียงได้กับการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนของรัฐบาลจีน เช่นนี้หรือไม่?
https://www.facebook.com/share/p/1AcdmPnMrQ/