เราเป็นคนนึงที่ชอบตามใจคนอื่นจนเป็นนิสัย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นนิสัยที่ดีหรือไม่ดีหรือเปล่า? เวลาไปไหนมาไหน ... จะกินอะไร หรืออะไรก็ตามที่ต้องลงความเห็น ... เรามักจะเออ ออ ห่อหมก ไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่ากับเพื่อน แฟน และครอบครัว แต่ถ้าจะพูดให้ดูดีหน่อย ก็คือ เราเป็นคนที่อะไรก็ได้ ง่ายๆ ไปไหนไปกัน ไม่มีปัญหา
ซึ่งจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเขียนกระทู้นี้ก็คือ “กล้วยหอม”
มีอยู่วันหนึ่ง เราแวะกินข้าวที่ร้านๆ นึง เป็นร้านเงียบๆ ติดแอร์ ขายอาหารทั่วไป หน้าตาอาม่าเจ้าของร้านดูใจดี เราเลือกสั่งเมนู ไก่ทอดซอสมะนาว+สลัด + น้ำเปล่า 1 แก้ว แล้วก็กินจนอิ่ม ... จุดนั้นเรียกได้ว่าอิ่มทีเดียว กำลังจะเรียกเก็บตังค์ อาม่าก็ใจดีหยิบกล้วยหอม (ที่ดูเหมือนเอามาจากการไหว้พระ) ให้เรา 1 ใบ ยื่นให้เรา แลเวพูดว่า
“ให้ฟรี! ไม่คิดเงิน”
เราอยากบอกอาม่าว่าขอบคุณมากๆ อาม่าใจดีจังเลย แต่ประเด็นคือ เราไม่ชอบกินกล้วยหอม แล้วจุดนี้ก็อิ่มมากแล้วด้วย ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่กล้าปฏิเสธอาม่านะคะ แต่กลัวอาม่าหน้าแตก กลัวอาม่าเสียใจ กลัวอาม่าจะหาว่าเรารังเกียจกล้วยอาม่า สรุปคือ เรายัดกล้วยหอมลูกนั้นเข้าปากค่ะ
(ถ้าอาม่ามาอ่านกระทู้นี้ ขอบคุณอาม่าสำหรับโพแทสเซียมนะคะ)
ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรานึกทบทวนการกินที่ผ่านมา ...
เคส “ขิงซอย”
เราเป็นคนไม่ชอบกินขิงมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะใส่ในโจ๊ก ผัดขิง หรือเมนูอื่นๆ ที่ใส่ขิงมาในรูปแบบ “ขิงซอย”
วันหนึ่งพ่อกับแม่พาเราไปบ้านเพื่อนชื่อป้าแดง จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ราวๆ ป.4 เมื่อทำธุระเสร็จ วันนั้นป้าแดงชวนพ่อแม่เราทานข้าวกันก่อนกลับ เราจำได้ว่าเมนูเด็ดวันนั้นคือ “ไก่ผัดขิง” ขิงเต็มเลยค่ะ ผัดขิงจริงๆ เรามองไม่เห็นไก่เลย (บ้านเราทำไก่ผัดขิงนี่แทบไม่เห็นขิงเอาแค่กลิ่นพอ)
เราภาวนาค่ะ ว่าไม่นะ! แต่ยังไม่ทันไร ... ป้าแดงตักขิงให้เราค่ะ เต็มช้อนเลยค่ะ ด้วยความที่เป็นเด็กดีมาตลอด พ่อแม่สอนว่าให้กินข้าวอย่าให้เหลือ เรากระเดือกขิงคำนั้นลงไปค่ะ แต่...มันทำให้ป้าแดงเข้าใจผิด
ป้าแดงตักให้เราอีก และตักอีก
วันนั้นเรามองหน้าพ่อกับแม่ กลั้นอ้วกเอาไว้ เท่าที่เด็ก ป.4 จะทำได้ ... เสมือนว่าพวกผู้ใหญ่เค้าคุยกันอย่างออกรส โดยที่ไม่มีใครเห็นสายตาเราเลย จากนั้นไม่นานค่ะ ... เราก็อ้วกค่ะ ขิงล้วนๆ
(ถ้าป้าแดงได้มาอ่านกระทู้นี้ เราขอขอบคุณป้าแดงสำหรับอาหารสมุนไพรชั้นดี แต่คราวหน้าขอรูปแบบมันต้มขิง หรือน้ำจิ้มข้าวมันไก่จะดีกว่านี้ค่ะ และขอโทษที่ทำเลอะเทอะวันนั้นนะคะ)
ยังไม่จบค่ะ ...
“มะม่วงสุก”
เคสนี้ไม่ค่อยทำให้เราลำบากใจเท่าไหร่นัก เพราะมะม่วงสุกถือเป็นผลไม้โปรด จัดมากี่โลก็รับมือได้ อ้วนแค่ไหนก็ไม่หวั่น
ทว่าครั้งหนึ่งเราไปเยี่ยมยายที่ต่างจังหวัดกับแม่ ในสวนมะม่วงออกดอกออกผลมากมาย มะม่วงสุกจึงถูกเก็บและบ่มผิวสวยไว้น่าอร่อยทีเดียว
ยายเราด้วยความรักหลาน บรรจงนำมะม่วงไปล้าง ใส่ตะกร้าแล้วนำมาเฉือนให้หลานทาน จากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นโดยไม่ปอกเปลือก ตอนนั้นเรางงมากถามยายว่า “ไม่ปอกเปลือกหรอยาย” ยายบอกเราว่า “กินได้” คือมันกินได้หรอ??? จากนั้นยายกินให้ดู ... จะทำไงได้ ยายกินได้หลานก็ต้องกินได้ เราก็เลยยัดมะม่วง(พร้อมเปลือกเข้าปาก) ฮืออออออ ... ไม่อร่อยเลย เปลือกมันเฝื่อนๆ
ณ จุดนั้น ขณะที่ยายหันหลัง เราจึงคายเปลือกทิ้ง ยายคงเห็นแหละ … แต่ไม่ได้ว่าอะไร ทุกวันนี้ยังไม่แน่ใจเลย ว่าตอนนั้นโดนยายแกล้งรึป่าว ที่ยายหันหลังไปอ่ะ ยายไปหัวเราะใช่มั้ย?
(ถ้ายายมาอ่านกระทู้นี้ หนูอยากบอกยายว่ามีเส้นใยก็จริง แต่หนูกินไม่ไหวนะคะยาย )
สุดท้าย
“ซาลาเปาลูกเล็ก”
เคสนี้ไม่ได้ฝืนใจเท่าไหร่ เพราะกินด้วยความเต็มใจ แต่ว่า ...
สมัยนั้นเราอายุประมาณ 12 เราชอบกินซาลาเปาลูกเล็กๆ ที่มีไส้ครีม ไส้ถั่วแดง ไส้ใบเตย ฯลฯ มากๆ ลูกนึงเราคา 2 บาท หลังเลิกเรียน เรามักจะซื้อกลับมากินที่บ้านทุกวัน วันละ 20 บาท
มีอยู่วันหนึ่งเราซื้อมากินเอง 10 ลูก พ่อเรากลับมาซื้อมาฝากอีก 10 ลูก แม่อีก 10 ลูก พี่สาวอีก 10 ลูก รวม 40 ลูก ไม่น่าเชื่อว่ากะเพาะเด็ก ม.1 จะสามารถยัดซาลาเปา 40 ลูกเข้าไปได้
คืนนั้นถ้าใครเห็นเด็กอ้วกแตกอยู่ รพ.บางปะกอก แล้วร้องไห้ว่า
“ไม่เอาอีกแล้ววววววววววว” คนนั้นแหละค่ะ เราเอง (
ถ้าพ่อค้าซาลาเปามาอ่านกระทู้นี้ หนูอยากบอกพี่ว่าขอโทษนะคะที่หายหน้าหายตา แต่อยากบอกว่าจนทุกวันนี้หนูไม่กล้ากินซาลาเปาลูกเล็กอีกต่อไปแล้ว ถ้าเป็นไปได้ถ้าพี่ขายขนมจีบ หนูจะแวะไปอุดหนุนนะคะ)
อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วหลายคนคงคิดว่า จขกท. ถ้าไมไม่กล้าปฏิเสธ หรือเป็นคนขี้กลัวหรือเปล่า? เชื่อคนง่ายหรือเปล่า? ให้กิน ขอ อี ไม้โท แล้วจะกินหรือเปล่า? ... เราจึงขอตอบว่าถ้าให้เรากิน เราก็เลือกดูคนให้ค่ะ ถ้าคนให้เค้ามีเจตนาดี เราก็มักจะกินเสมอค่ะ นี่ละมั้งจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเป็นสาวอวบมาจนทุกวันนี้ …
[ขอบคุณภาพประกอบจาก google ค่ะ]
ปล. จริงๆแล้วยังมีอีกหลายอย่างที่เรากินตามใจคนให้นะคะ แต่ถ้าเล่าหมดกระทู้จะยาวไปหน่อย
ปล. 2 ใครเป็นแบบเราบ้างมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ เราจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
ปล. 3 ขอบคุณทุกท่านที่ฟังเราบ่นจนจบค่ะ
เคยมั้ย? ฝืนใจกินของที่ไม่ชอบ ... เพราะกลัวคนให้เสียใจ
มีอยู่วันหนึ่ง เราแวะกินข้าวที่ร้านๆ นึง เป็นร้านเงียบๆ ติดแอร์ ขายอาหารทั่วไป หน้าตาอาม่าเจ้าของร้านดูใจดี เราเลือกสั่งเมนู ไก่ทอดซอสมะนาว+สลัด + น้ำเปล่า 1 แก้ว แล้วก็กินจนอิ่ม ... จุดนั้นเรียกได้ว่าอิ่มทีเดียว กำลังจะเรียกเก็บตังค์ อาม่าก็ใจดีหยิบกล้วยหอม (ที่ดูเหมือนเอามาจากการไหว้พระ) ให้เรา 1 ใบ ยื่นให้เรา แลเวพูดว่า “ให้ฟรี! ไม่คิดเงิน”
เราอยากบอกอาม่าว่าขอบคุณมากๆ อาม่าใจดีจังเลย แต่ประเด็นคือ เราไม่ชอบกินกล้วยหอม แล้วจุดนี้ก็อิ่มมากแล้วด้วย ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่กล้าปฏิเสธอาม่านะคะ แต่กลัวอาม่าหน้าแตก กลัวอาม่าเสียใจ กลัวอาม่าจะหาว่าเรารังเกียจกล้วยอาม่า สรุปคือ เรายัดกล้วยหอมลูกนั้นเข้าปากค่ะ (ถ้าอาม่ามาอ่านกระทู้นี้ ขอบคุณอาม่าสำหรับโพแทสเซียมนะคะ)
เคส “ขิงซอย”
เราเป็นคนไม่ชอบกินขิงมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะใส่ในโจ๊ก ผัดขิง หรือเมนูอื่นๆ ที่ใส่ขิงมาในรูปแบบ “ขิงซอย”
วันหนึ่งพ่อกับแม่พาเราไปบ้านเพื่อนชื่อป้าแดง จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ราวๆ ป.4 เมื่อทำธุระเสร็จ วันนั้นป้าแดงชวนพ่อแม่เราทานข้าวกันก่อนกลับ เราจำได้ว่าเมนูเด็ดวันนั้นคือ “ไก่ผัดขิง” ขิงเต็มเลยค่ะ ผัดขิงจริงๆ เรามองไม่เห็นไก่เลย (บ้านเราทำไก่ผัดขิงนี่แทบไม่เห็นขิงเอาแค่กลิ่นพอ)
เราภาวนาค่ะ ว่าไม่นะ! แต่ยังไม่ทันไร ... ป้าแดงตักขิงให้เราค่ะ เต็มช้อนเลยค่ะ ด้วยความที่เป็นเด็กดีมาตลอด พ่อแม่สอนว่าให้กินข้าวอย่าให้เหลือ เรากระเดือกขิงคำนั้นลงไปค่ะ แต่...มันทำให้ป้าแดงเข้าใจผิด
ป้าแดงตักให้เราอีก และตักอีก
วันนั้นเรามองหน้าพ่อกับแม่ กลั้นอ้วกเอาไว้ เท่าที่เด็ก ป.4 จะทำได้ ... เสมือนว่าพวกผู้ใหญ่เค้าคุยกันอย่างออกรส โดยที่ไม่มีใครเห็นสายตาเราเลย จากนั้นไม่นานค่ะ ... เราก็อ้วกค่ะ ขิงล้วนๆ (ถ้าป้าแดงได้มาอ่านกระทู้นี้ เราขอขอบคุณป้าแดงสำหรับอาหารสมุนไพรชั้นดี แต่คราวหน้าขอรูปแบบมันต้มขิง หรือน้ำจิ้มข้าวมันไก่จะดีกว่านี้ค่ะ และขอโทษที่ทำเลอะเทอะวันนั้นนะคะ)
“มะม่วงสุก”
เคสนี้ไม่ค่อยทำให้เราลำบากใจเท่าไหร่นัก เพราะมะม่วงสุกถือเป็นผลไม้โปรด จัดมากี่โลก็รับมือได้ อ้วนแค่ไหนก็ไม่หวั่น
ทว่าครั้งหนึ่งเราไปเยี่ยมยายที่ต่างจังหวัดกับแม่ ในสวนมะม่วงออกดอกออกผลมากมาย มะม่วงสุกจึงถูกเก็บและบ่มผิวสวยไว้น่าอร่อยทีเดียว
ยายเราด้วยความรักหลาน บรรจงนำมะม่วงไปล้าง ใส่ตะกร้าแล้วนำมาเฉือนให้หลานทาน จากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นโดยไม่ปอกเปลือก ตอนนั้นเรางงมากถามยายว่า “ไม่ปอกเปลือกหรอยาย” ยายบอกเราว่า “กินได้” คือมันกินได้หรอ??? จากนั้นยายกินให้ดู ... จะทำไงได้ ยายกินได้หลานก็ต้องกินได้ เราก็เลยยัดมะม่วง(พร้อมเปลือกเข้าปาก) ฮืออออออ ... ไม่อร่อยเลย เปลือกมันเฝื่อนๆ
ณ จุดนั้น ขณะที่ยายหันหลัง เราจึงคายเปลือกทิ้ง ยายคงเห็นแหละ … แต่ไม่ได้ว่าอะไร ทุกวันนี้ยังไม่แน่ใจเลย ว่าตอนนั้นโดนยายแกล้งรึป่าว ที่ยายหันหลังไปอ่ะ ยายไปหัวเราะใช่มั้ย? (ถ้ายายมาอ่านกระทู้นี้ หนูอยากบอกยายว่ามีเส้นใยก็จริง แต่หนูกินไม่ไหวนะคะยาย )
สุดท้าย “ซาลาเปาลูกเล็ก”
เคสนี้ไม่ได้ฝืนใจเท่าไหร่ เพราะกินด้วยความเต็มใจ แต่ว่า ...
สมัยนั้นเราอายุประมาณ 12 เราชอบกินซาลาเปาลูกเล็กๆ ที่มีไส้ครีม ไส้ถั่วแดง ไส้ใบเตย ฯลฯ มากๆ ลูกนึงเราคา 2 บาท หลังเลิกเรียน เรามักจะซื้อกลับมากินที่บ้านทุกวัน วันละ 20 บาท
มีอยู่วันหนึ่งเราซื้อมากินเอง 10 ลูก พ่อเรากลับมาซื้อมาฝากอีก 10 ลูก แม่อีก 10 ลูก พี่สาวอีก 10 ลูก รวม 40 ลูก ไม่น่าเชื่อว่ากะเพาะเด็ก ม.1 จะสามารถยัดซาลาเปา 40 ลูกเข้าไปได้
คืนนั้นถ้าใครเห็นเด็กอ้วกแตกอยู่ รพ.บางปะกอก แล้วร้องไห้ว่า “ไม่เอาอีกแล้ววววววววววว” คนนั้นแหละค่ะ เราเอง (ถ้าพ่อค้าซาลาเปามาอ่านกระทู้นี้ หนูอยากบอกพี่ว่าขอโทษนะคะที่หายหน้าหายตา แต่อยากบอกว่าจนทุกวันนี้หนูไม่กล้ากินซาลาเปาลูกเล็กอีกต่อไปแล้ว ถ้าเป็นไปได้ถ้าพี่ขายขนมจีบ หนูจะแวะไปอุดหนุนนะคะ)
อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วหลายคนคงคิดว่า จขกท. ถ้าไมไม่กล้าปฏิเสธ หรือเป็นคนขี้กลัวหรือเปล่า? เชื่อคนง่ายหรือเปล่า? ให้กิน ขอ อี ไม้โท แล้วจะกินหรือเปล่า? ... เราจึงขอตอบว่าถ้าให้เรากิน เราก็เลือกดูคนให้ค่ะ ถ้าคนให้เค้ามีเจตนาดี เราก็มักจะกินเสมอค่ะ นี่ละมั้งจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเป็นสาวอวบมาจนทุกวันนี้ …
[ขอบคุณภาพประกอบจาก google ค่ะ]
ปล. จริงๆแล้วยังมีอีกหลายอย่างที่เรากินตามใจคนให้นะคะ แต่ถ้าเล่าหมดกระทู้จะยาวไปหน่อย
ปล. 2 ใครเป็นแบบเราบ้างมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ เราจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
ปล. 3 ขอบคุณทุกท่านที่ฟังเราบ่นจนจบค่ะ