มีโอกาสได้ดูหนังของคูบริคจำนวนทั้งสิ้น 9 เรื่องครับ ยังขาดที่อยากดูคือ Lolita และ Eye Wide Shut ที่น่าจะดูเร็ว ๆ นี้
ขอคอมเม้นถึง 9 เรื่องที่เคยดูตามลำดับความชอบนะครับ
1) Paths of Glory (1957) ความยอดเยี่ยมของหนังมันอยู่ที่การกะเทาะเปลือกทหารระดับสูง เป็นผลงานที่สองหลังจากเพิ่งแจ้งเกิดเปรี้ยง ๆ จาก The Killing เป็นหนังดราม่าสงครามที่ผมโคตรจะชอบเลยครับ เป็นเรื่องแรก ๆ ของเขาที่ได้ดู แล้วก็เหมือนรักแรกพบด้วย คะแนน IMDB 8.5/10 ติด criterion อีกด้วย ใครเป็นคอหนังดราม่าสงครามก็ลองหามาชมกันครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน
2) 2001: A Space Odyssey (1968) โดยส่วนตัวผมดูรอบแรกก็ไม่รู้สึกกว่ามันจะยอดเยี่ยมอะไรขนาดนั้น ไม่เห็นจะเป็นสุดยอด sci-fi อะไร แต่เวลาผ่านไป ได้ดูหนังเยอะขึ้น ได้ดูหนัง sci-fi มากขึ้นกลับยิ่งคิดถึง 2001: A Space Odyssey แล้วรู้สึกได้เลยว่าเนี่ยคือโคตรคลาสสิก ทั้งเนื้อเรื่อง ทั้งงานภาพ ทั้งเทคนิคการถ่ายทำล้ำยุค ทั้งโปรดักชั่น สมบูรณ์แบบโคตร ถ้ามีโอกาสจะดูซ้ำแน่นอนครับ
3) Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb (1964) หนังชื่อโคตรยาวที่เป็นแนวตลกร้ายเสียดสีสงครามด้วยเรื่องราวดูเป็นจริงและน่าเชื่อถือ แต่กลับเต็มไปด้วยตัวละครใน war room ที่เหมือนเด็กอมมือ แล้วช่วงหลัง ๆ นี่แอบฮามาก โดยเฉพาะฉากเครื่องบินทิ้งระเบิดเนี่ย ฮาๆๆ หาหนังแนวนี้คลาสสิก ๆ ยากนะครับ อิอิ
4) Full Metal Jacket (1987) ถ้าใครได้ดูหนังสงครามมาเยอะหน่อย การนั่งดูครึ่งหลังของหนังเรื่องนี้ที่เป็นสนามรบอาจจะรู้สึกเฉย ๆ แบบผม เพราะมันคุ้นตาทั้งการรบและสภาพทหารในสมรภูมิ (ซึ่งหนังทำได้ดีตามมาตรฐานหนังสงคราม) แต่สิ่งที่ทำให้ Full Metal Jacket โดดเด่นกว่าเรื่องอื่นเลยคือครึ่งแรกของหนังที่เป็นการฝึกก่อนไปรบในสงครามเวียดนาม สุดยอดแห่งความเข้มข้นกดดันชนิดที่ว่าทำให้คนดูเป็นบ้าเหมือนไปฝึกเองยังไงอย่างนั้น โคตรของโคตรเยี่ยมเลยครับ ถ้าให้คะแนนครึ่งแรกอย่างเดียวผมให้ 10/10 เลยนะ
5) The Killing (1956) หนังแนวปล้นสนามม้า heist film แผนการปล้นน่าเชื่อถือด้วยความสมจริงไม่ล้ำมาก ไม่หวือหวา ไม่ได้บังเอิญจงใจเขียนบทช่วย แต่มาจากการกรองไอเดียวางแผนปล้นที่ทำให้คนดูไม่รู้ว่ามันเกินจริง หนังมาพร้อมบทสรุปของเรื่องราวที่อาจจะดูรวบรัดตัดตอนไปเสียหน่อย หะหะ แต่ผมขอการันตีว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดหนังปล้นขั้นคลาสสิกครับ เป็นผลงานแจ้งเกิดคูบริคด้วยจ้า
6) Spartacus (1960) หนังอ้างอิงจากเรื่องจริงของ Spartacus ทาสในสมัยโรมันที่ไม่ยอมตกเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงของชนชั้นกลาง เขานำกองทัพทาสประกาศอิสระภาพก่อการกบฏในช่วงที่ทหารโรมันออกไปทำศึกต่างแดน เห็นพล็อต, แนวหนังและปีสร้างอาจจะรู้สึกว่ามันคล้ายกับ Ben-Hur ผมเลยเฉย ๆ กับ Spartacus นิดหน่อย อย่างไรก็ตามก็ยังยกย่องความยอดเยี่ยมของฉากประลองและฉากรบที่ทำเอาอึ้งในเทคนิคการถ่ายทำหลายต่อหลายฉาก
7) Barry Lyndon (1975) อาจจะด้วยความที่เป็นหนังพีเรียดติดตามชีวิตตัวละคร ผมเลยไม่ได้ว้าวอะไรตัวเนื้อเรื่องมากนัก ไฮไลท์น่าจดจำของหนังคงหนีไม่พ้นงานภาพ ซึ่งคูบริคได้ทดลองถ่ายด้วยแสงธรรมชาติ พวกฉากแดดส่องหรือแสงเทียนในยามค่ำคืนล้วนเป็นความสว่างธรรมชาติไม่ได้จัดแสง จัดอะไรเลยครับ หนังย้อนยุคที่ให้ได้ดูแล้วจะรู้ว่ามันย้อนยุคด้วยงานภาพจริง ๆ หะหะ
8) A Clockwork Orange (1971) ดูรอบแรกก็ชอบนะ ชอบไอเดียเรื่องเอาพวกเด็กชั่วป่าเถื่อนมาล้างสมองให้สะอิดสะเอียนต่อ sex และความรุนแรง แต่พอเวลาผ่านไปเริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยได้อะไรจากหนังแฮะ ฮ่าๆๆๆ รู้สึกว่าไฮไลท์การฉาย timeline 2 ช่วงให้เห็นความแตกต่างมันก็โอเค แต่สาระที่ได้มันไม่ได้เยอะมากในสายตาผม แต่หลายคนเขาคงชื่นชมความล้ำของหนังกันมั้ง แหะๆ
9) The Shining (1980) ไม่ชอบอย่างแรง /จบ. ตอนดูโคตรน่าเบื่อ ไม่ได้มีความหลอนเลย ยิ่งมาอ่านเจอว่าเจ้าของนิยายไม่ชอบการดัดแปลงเป็นหนังแล้วผิดธีมของต้นฉบับนี่ยิ่งไม่ชอบตามไปอีก /จบจริงๆไม่ติงนัง.
..
.
แล้วคุณชอบคูบริคจากเรื่องไหนกันบ้างครับ
https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms
รำลึกถึง Stanley Kubrick ผู้กำกับระดับตำนานของวงการภาพยนตร์โลก เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของเขากันครับ
ขอคอมเม้นถึง 9 เรื่องที่เคยดูตามลำดับความชอบนะครับ
1) Paths of Glory (1957) ความยอดเยี่ยมของหนังมันอยู่ที่การกะเทาะเปลือกทหารระดับสูง เป็นผลงานที่สองหลังจากเพิ่งแจ้งเกิดเปรี้ยง ๆ จาก The Killing เป็นหนังดราม่าสงครามที่ผมโคตรจะชอบเลยครับ เป็นเรื่องแรก ๆ ของเขาที่ได้ดู แล้วก็เหมือนรักแรกพบด้วย คะแนน IMDB 8.5/10 ติด criterion อีกด้วย ใครเป็นคอหนังดราม่าสงครามก็ลองหามาชมกันครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน
2) 2001: A Space Odyssey (1968) โดยส่วนตัวผมดูรอบแรกก็ไม่รู้สึกกว่ามันจะยอดเยี่ยมอะไรขนาดนั้น ไม่เห็นจะเป็นสุดยอด sci-fi อะไร แต่เวลาผ่านไป ได้ดูหนังเยอะขึ้น ได้ดูหนัง sci-fi มากขึ้นกลับยิ่งคิดถึง 2001: A Space Odyssey แล้วรู้สึกได้เลยว่าเนี่ยคือโคตรคลาสสิก ทั้งเนื้อเรื่อง ทั้งงานภาพ ทั้งเทคนิคการถ่ายทำล้ำยุค ทั้งโปรดักชั่น สมบูรณ์แบบโคตร ถ้ามีโอกาสจะดูซ้ำแน่นอนครับ
3) Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb (1964) หนังชื่อโคตรยาวที่เป็นแนวตลกร้ายเสียดสีสงครามด้วยเรื่องราวดูเป็นจริงและน่าเชื่อถือ แต่กลับเต็มไปด้วยตัวละครใน war room ที่เหมือนเด็กอมมือ แล้วช่วงหลัง ๆ นี่แอบฮามาก โดยเฉพาะฉากเครื่องบินทิ้งระเบิดเนี่ย ฮาๆๆ หาหนังแนวนี้คลาสสิก ๆ ยากนะครับ อิอิ
4) Full Metal Jacket (1987) ถ้าใครได้ดูหนังสงครามมาเยอะหน่อย การนั่งดูครึ่งหลังของหนังเรื่องนี้ที่เป็นสนามรบอาจจะรู้สึกเฉย ๆ แบบผม เพราะมันคุ้นตาทั้งการรบและสภาพทหารในสมรภูมิ (ซึ่งหนังทำได้ดีตามมาตรฐานหนังสงคราม) แต่สิ่งที่ทำให้ Full Metal Jacket โดดเด่นกว่าเรื่องอื่นเลยคือครึ่งแรกของหนังที่เป็นการฝึกก่อนไปรบในสงครามเวียดนาม สุดยอดแห่งความเข้มข้นกดดันชนิดที่ว่าทำให้คนดูเป็นบ้าเหมือนไปฝึกเองยังไงอย่างนั้น โคตรของโคตรเยี่ยมเลยครับ ถ้าให้คะแนนครึ่งแรกอย่างเดียวผมให้ 10/10 เลยนะ
5) The Killing (1956) หนังแนวปล้นสนามม้า heist film แผนการปล้นน่าเชื่อถือด้วยความสมจริงไม่ล้ำมาก ไม่หวือหวา ไม่ได้บังเอิญจงใจเขียนบทช่วย แต่มาจากการกรองไอเดียวางแผนปล้นที่ทำให้คนดูไม่รู้ว่ามันเกินจริง หนังมาพร้อมบทสรุปของเรื่องราวที่อาจจะดูรวบรัดตัดตอนไปเสียหน่อย หะหะ แต่ผมขอการันตีว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดหนังปล้นขั้นคลาสสิกครับ เป็นผลงานแจ้งเกิดคูบริคด้วยจ้า
6) Spartacus (1960) หนังอ้างอิงจากเรื่องจริงของ Spartacus ทาสในสมัยโรมันที่ไม่ยอมตกเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงของชนชั้นกลาง เขานำกองทัพทาสประกาศอิสระภาพก่อการกบฏในช่วงที่ทหารโรมันออกไปทำศึกต่างแดน เห็นพล็อต, แนวหนังและปีสร้างอาจจะรู้สึกว่ามันคล้ายกับ Ben-Hur ผมเลยเฉย ๆ กับ Spartacus นิดหน่อย อย่างไรก็ตามก็ยังยกย่องความยอดเยี่ยมของฉากประลองและฉากรบที่ทำเอาอึ้งในเทคนิคการถ่ายทำหลายต่อหลายฉาก
7) Barry Lyndon (1975) อาจจะด้วยความที่เป็นหนังพีเรียดติดตามชีวิตตัวละคร ผมเลยไม่ได้ว้าวอะไรตัวเนื้อเรื่องมากนัก ไฮไลท์น่าจดจำของหนังคงหนีไม่พ้นงานภาพ ซึ่งคูบริคได้ทดลองถ่ายด้วยแสงธรรมชาติ พวกฉากแดดส่องหรือแสงเทียนในยามค่ำคืนล้วนเป็นความสว่างธรรมชาติไม่ได้จัดแสง จัดอะไรเลยครับ หนังย้อนยุคที่ให้ได้ดูแล้วจะรู้ว่ามันย้อนยุคด้วยงานภาพจริง ๆ หะหะ
8) A Clockwork Orange (1971) ดูรอบแรกก็ชอบนะ ชอบไอเดียเรื่องเอาพวกเด็กชั่วป่าเถื่อนมาล้างสมองให้สะอิดสะเอียนต่อ sex และความรุนแรง แต่พอเวลาผ่านไปเริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยได้อะไรจากหนังแฮะ ฮ่าๆๆๆ รู้สึกว่าไฮไลท์การฉาย timeline 2 ช่วงให้เห็นความแตกต่างมันก็โอเค แต่สาระที่ได้มันไม่ได้เยอะมากในสายตาผม แต่หลายคนเขาคงชื่นชมความล้ำของหนังกันมั้ง แหะๆ
9) The Shining (1980) ไม่ชอบอย่างแรง /จบ. ตอนดูโคตรน่าเบื่อ ไม่ได้มีความหลอนเลย ยิ่งมาอ่านเจอว่าเจ้าของนิยายไม่ชอบการดัดแปลงเป็นหนังแล้วผิดธีมของต้นฉบับนี่ยิ่งไม่ชอบตามไปอีก /จบจริงๆไม่ติงนัง.
..
.
แล้วคุณชอบคูบริคจากเรื่องไหนกันบ้างครับ
https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms