วันนี้เป็นอีกวันที่เริ่มงานเป็นปกติเหมือนวันอื่น เหล่าบันดาพนักงานที่เคยขึ้นตรงกับเมธาวี และเคยทำท่าต่อต้านรุจรีในยุคก่อนที่เธอจะขึ้นมาเป็นผู้นำนั้น บัดนี้พวกเขาเหล่านั้นคอยมาพินอบพิเทารุจรีเหมือนผู้จงรักภักดี หลังจากทักทายกับเหล่าพนักงานเสร็จ รุจรีเดินตรงไปที่ห้องทำงานของเธอ แต่ถูกขัดจังหวะด้วยเลขาหน้าห้อง
"เอ่อ... คุณรุจรีคะ พอดีคุณพรประพามารออยู่ในห้องค่ะ คือว่าต้องขอโทษนะคะที่..."
มยุรีเลขาหน้าห้องพูดพร้อมทำท่าขอโทษขอโพยรุจรีที่ปล่อยให้มีคนเข้าไปในห้องของเธอโดยพลการ
"ไม่เป็นไรจ้ะ เรื่องนั้นไม่เป็นไร"
รุจรีเธอชิงตอบก่อนเพื่อไม่ให้เลขาของเธอต้องลำบากใจ รุจรีเปิดประตูเข้าไปในห้องก็เห็นพรประพานั่งอยู่บนชุดรับแขกแล้ว
"พี่พร!"
รุจรีอุทานออกมาเป็นชื่อพี่สาวของเธอ
"ว่ายังไงยัยรุจ พี่จะมาขอคำปรึกษาเรื่องที่เราคุยกันเมื่อหลายวันก่อนน่ะ"
"เอ่อ... ถ้าเป็นเรื่องนั้นน้องขอพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมล่ะนะ สำหรับเงิน 150ล้านบาทน่ะน้องหาให้พี่พรไม่ได้จริงๆ มันเป็นจำนวนเงินที่เยอะอยู่เหมือนกัน"
"ทำไมล่ะรุจ ไม่มีเงินสดติดตัวบ้างเลยเหรอ"
"น้องเริ่มต้นจากเป็นแค่ลูกจ้างของพ่อมาก่อน เงินทองที่จะมีสะสมเป็นหลักร้อยๆล้านมันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะพี่พร "
รุจรีพยายามพูดตัดบทพรประพา แต่ไม่สำเร็จ
พรประพรดูท่าทีของรุจรีคิดว่าเธอคงไม่ได้เงินแน่ เธอจึงพูดคำพูดที่เธอเตรียมมาไว้แล้วใส่รุจรี
"เอาล่ะ ในเมื่อเธอไม่มีเงินสดให้พี่จริงๆถ้าอย่างนั้นพี่อีกทางหนึ่งที่จะให้น้องช่วย"
"ทางไหนคะ"
"พี่อยากให้น้องไปกู้เงินจากแหล่งเงินกู้"
"อ้าว! ไหนบอกว่าพี่ไม่อยากไปกู้เงินจากสถาบันการเงิน"
พรประพานิ่งเงียบไปชั่วครู่
"คือพี่อยากให้น้องไปกู้เงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบมาให้พี่น่ะ คือตัวพี่เองไม่สามารถไปกู้เงินจากพวกนั้นได้แล้ว"
"หมายความว่ายังไงคะ พี่พรไปกู้เงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบมาทำธุรกิจเหรอ พี่ทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน"
"รุจฟังพี่ก่อนพี่จะเล่าให้ฟัง มีอยู่ครั้งหนึ่งมีพ่อค้าเพชรพลอยนำเพชรที่ผิดกฎหมายมาขายให้พี่ ราคาในตอนนั้นถือว่าถูกมากๆ พี่คิดว่ามันจะทำกำไรให้บริษัทของพี่อย่างมหาศาล แต่ตอนนั้นพี่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อของทั้งหมดไว้ ถ้าเอาของมาไม่หมดก็กลัวของตกไปอยู่ในมือค่แข่ง พี่จึงตัดสินใจว่าจะไปกู้เงินจากธนาคารเพื่อมาซื้อเพชรเหล่านี้ แต่ปรากฏว่าพี่ไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารออกมาซื้อเพชรที่ผิดกฎหมายนี้ได้ หนทางสุดท้ายก็มีกลุ่มทุนนอกระบบที่ยอมปล่อยเงินกู้ให้พี่"
พรประพาหยุดพูดเพื่อพักหายใจ รุจรีจึงรีบแทรก
"พี่ก็เลยตัดสินใจกู้เงินจากนายทุนนอกระบบนั้น"
"ใช่ ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยเงินกู้นั้นจะมหาโหด แต่พี่ลองคำนวนเงินกับราคาของเพชรที่จะซื้อมานั้น มันก็ยังทำกำไรให้พีอยู่ดี และในตอนนั้นการจะขอกู้เงินกับพวกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้หลักประกันอะไรค้ำสักอย่าง ขอแค่เพียงมีเครดิตอยู่ก็ได้เงินก้อนโตออกมาได้ง่าย แต่ความผิดพลาดเกิดที่พี่ไม่สามารถขายเพชรเหล่านั้นได้ทัน"
"น้องเข้าใจแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพี่ไม่จ่ายเงินที่กู้มาให้นายทุนคนนั้น พี่ไม่ได้เอาหลักทรัพย์อะไรไปค้ำนี่คะ"
"ลองคิดดูสิว่านายทุนคนไหนที่จะกล้าปล่อยกู้โดยไม่มีหลักทรัพย์อะไรไปวางค้ำประกัน ถ้าเขาคนนั้นไม่มีอำนาจและอิทธิพลมากพอที่จะยึดทรัพย์สินของเราหากเราผิดสัญญา ผลลัพธ์ของการผิดสัญญากับนายทุนคนนี้คือชีวิตที่ต้องจ่าย หรือทรัพย์สินทุกอย่างรวมถุงธุรกิจทุกชนิดที่พี่มีก็จะถูกคนเหล่านั้นยึดไปจนหมดได้"
"นายทุนคนนั้นคงจะยิ่งใหญ่มาก"
รุจรีเริ่มรู้ถึงความจำเป็นของพี่สาวเธอ แต่ทางออกนั้นมันดูจะไม่ง่ายเลย แม้เธอจะเป็นถึงเจ้าของธุรกิจหลายพันล้าน แต่มันก็เป็นแค่มูลค่าทางธุรกิจเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าสภาพคล่องทางการเงินของเธอจะมีเป็นหลักร้อยล้านพันล้าน ยกเว้นแต่ว่าเธอจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของนพดลเป็นกรรมสิทธิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเหมือนว่าพรประพาจะคิดได้ดังนั้น จึงทำให้เธอเผลอพูดอะไรออกมา
"ถ้าพ่อตายขึ้นมาเธอก็คงจะมีเงินมาให้พี่ยืม"
พรประพารำพึงรำพันออกมาเบาๆ แต่ดังพอให้รุจรีได้ยินโดยที่เจ้าของเสียงไม่ทันรู้สึกตัว เมื่อการพูดคุยมาถึงจุดๆหนึ่งที่พรประพายังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากน้องสาว เธอจึงออกจากห้องทำงานของรุจรีไป
...
ในเย็นวันนั้นเอง รุจรีกลับบ้านมาเร็วกว่าปกติเพื่อมาให้ทันนั่งกินข้าวกับนพดล เธอดูใจร้อนรนเป็นพิเศษในวันนี้ด้วยความเป็นห่วงพี่สาวของเธอ รุจรีตัดสินใจแล้วว่าจะเอาเรื่องของพรประพามาเล่าให้นพดลฟัง เพื่อหวังว่านพดลนั้นจะสามารถให้ความช่วยเหลือแก่พรประพาได้
"อ้าวว่าไงลูกคนเก่งของพ่อ วันนี้อยากจะกลับมากินอาหารเย็นกับพ่อเหรอ"
นพดลทีกำลังนั่งบนโต๊ะอาหารเมื่อเห็นรุจรีก็ทำสีหน้าดีใจ
"ใช่แล้วค่ะคุณพ่อ คือว่าวันนี้หนูมีเรื่องอยากจะคุยด้วยน่ะค่ะ"
หลังพูดเสร็จ รุจรีขอให้แม่บ้านยกจานข้าวมาให้เธอ พอทั้งคู่เริ่มกินอาหารจนเกือบจะเสร็จแล้ว รุจรีถึงเรื่องที่พรประพามาขอยืมเงินเธอ และยังบอกถึงเรื่องเงินกูนอกระบบและความร้ายกาจของนายทุน แต่สิ่งที่ทำให้รุจรีต้องยิ่งประหลาดใจไปเพราะคำพูดของนพดลที่ตอบกลับมา
"พ่อรู้ทุกเรื่องทีลูกพูดมาแล้ว"
รุจรีถึงกลับทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย
"จริงหรือคะ พ่อรู้เรื่องนี้มานานหรือยัง"
"พ่อรู้ตั้งแต่พรประพาไปเจอพ่อค้าขายเพชรผิดกฎหมาย และรู้เรื่องตอนนี้พี่สาวเธอไปกู้เงินมาเกือบ 2 ร้อยล้าน"
"แล้วพ่อปล่อยให้พี่พรทำแบบนั้นได้อย่างไร"
รุจรียังสับสนในเรื่องราวที่ซับซ้อนนี้
"พ่อจะไปห้ามพี่สาวเธอได้อย่างไรกัน การทำธุรกิจมันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของธุรกิจเองว่าจะดำเนินไปในทิศทางไหน เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็คือการผิดพลาดทางธุรกิจ บางทีก็อ่จเกิจจากความโลกของพรประพาเอง"
"แล้วพ่อจะปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้หรือคะ น่าสงสารพี่พร"
นพดลขยับตัวให้นั่งหลังตรง เขายกข้อศอกขึ้นวางบนโต๊ะอาหารและใช้ปลายนิ้วโป้งสัมผัสที่ปลายคาง
"ไม่ต้องห่วง นายทุนจอมโหดที่พรประพากลัวนักกลัวหนานั้นความจริงแล้วเขาเป็นคนที่พ่อรู้จักดี พ่อเคยช่วยเหลือเขาหลายเรื่อง นายทุนคนนั้นไม่ทำอะไรพรประพาหรอก พ่อยังบอกว่าอย่าไปบอกเรื่องนี้กับพรประพาด้วย เพื่อให้เธอได้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง"
"เป็นเรื่องจริงหรือคะ โชคดีของพี่พรจริงๆ"
"ลูกอย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดให้พรประพาฟังนะ"
รุจรีโลงใจเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากพ่อของเธอ
"ได้ค่ะพ่อ"
"แล้วพรประพาเธอพูดอะไรอีกมั้ย"
รุจรีใช้เวลาคิดทบทวนชั่วครู่
"รู้สึกเหมือนจะพูดอะไรในตอนท้ายนะ"
"เธอพูดอะไรอีก"
รุจรีนิ่งไปอีกครั้งก่อนจะตอบคำถาม
"ไม่มีอะไรค่ะ มันไม่สำคัญ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวลูกขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ"
รุจรีออกจากบ้านที่นพดลอยู่ เธอกลับบ้านพักของเธอ
....
หลายวันนับตั้งแต่ที่พรประพาไปพบรุจรีที่บริษัท เช้าวันนี้เป็นวันที่อดีตประธานเข้ามาที่บริษัท และจะมีการประชุมผู้บริหารอยู่แล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีที่นพดลจะเข้าร่วมประชุมเพื่อทักทายกับผู้บริหาร การประชุมถูกจัดในห้องประชุมใหญ่บนชั้นสูงสุดของตึก บรรยากาศในห้องนี้เป็นห้องประชุมในอุดมคติ ผนังรอบด้านเป็นบานกระจกเผยให้เห็นเมืองใหญ่รายล้อมด้วยตึกที่สูงเสียดกันหลายแห่ง
"สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้เป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้วที่ผมปล่อยให้พวกท่านทำงานกันตามลำพัง โดยที่ผมได้วางมือไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้อีกแล้ว พวกคุณไม่ทำให้ผมผมดหวัง ระบบที่เคยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร ตอนนี้ก็ยังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง ที่ผมมาในวันนี้ไม่ใช่เพื่อมาตรวจสอบ แต่เพื่อมาเยี่ยมเยียนในฐานะคนในครอบครัวเดียวกัน"
นพดลพูดผ่านไมโครโฟนบนเวทีขนาดไม่ใหญ่ที่หันหน้าออกไปทางผนังกระจก ทำให้ผู้บริหารและผู้จัดการแผนกต่างๆร่วมเกือบครึ่งร้อยต่างปรบมือต้อนรับ เพราะนพดลเป็นที่รักใครของทุกคนที่อยู่ในบริษัทนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามปกติเหมือนทุกครั้งก่อนหน้านี้ที่นพดลกลับมาเข้าร่วมการประชุมในบริษัทหลังจากที่เขาวางมือทางธุรกิจ นพดลจะใช้เวลาประมาณสิบกว่านาทีขึ้นกล่าวบนเวลาที ก่อนที่จะลงมานั่งที่เก้าอี้ล่างเวที แต่ก่อนที่จะถึงเวลาปกติที่นพดลจะเดินลงจากเวที เกิดความผิดปกติขึ้นบางอย่าง!
มีเสียงดังเหมือนมีอะไรมากระแทกที่บานกระจกใหญ่ที่ใช้ทำเป็นผนังรอบห้องประชุม ทุกคนในห้องล้วนหันไปมองที่ต้นทางของเสียงแต่ปรากฏว่าไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติชัดเจน ทุกคนจึงหันกลับมาประชุมดันเหมือนเดิม มีเพียงแต่นพดลเท่านั้นที่ยังคงจ้องมองไปที่กระจกใหญ่บานนั้น เขายืนจ้องมองทะลุบานกระจกออกไปถึงฝั่งตรงข้ามของตึกที่เป็นโรงแรมสูงร้อยกว่าชั้น แต่ไม่นานนพดลก็ละสายตาและเดินลงไปนั่งที่เก้าอี้
การประชุมในวันนั้นผ่านไปตามปกติ เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงการประชุมก็สิ้นสุด ทุกคนต่างเดินออกไปจากห้องเหลือแต่นพดลกับรุจรีเท่านั้น
"คุณพ่อคะเป็นอะไร ลูกเห็นพ่อหน้าซีดๆไปตั้งแต่ก่อนเริ่มประชุมแล้ว"
รุจรีทักอากาปกติของพ่อเธอ
"ไม่มีอะไรหรอก พ่อคงจะเหนื่อยไปหน่อย พ่อจอนั่งพักที่นี่ก่อนนะเดี๋ยวจะตามลงไป"
"พ่อลงไปพักที่ห้องทำงานของลูกก็ได้ค่ะ ไม่อยากให้พ่ออยู่ที่นี่คนเดียว"
นพดลนิ่งเงียบไปสักพักเหมือนเข้ากำลังคิดหาข้ออ้างอะไรอยู่
"ไม่เป็นไร พอดีพ่อนัดคนบางคนให้มาพบพ่อที่นี่"
"ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ถ้ามีอะไรก็โทรเรียกได้นะคะ"
รุจรีเดินออกจากห้องประชุมไป เมื่อนพดลแน่ใจว่าเขาอยู่คนเดียวในห้องประชุม จึงกดเบอร์โทรศัพท์หาผู้กำกับคนที่เขาไว้ใจอีกคนหนึ่ง
ระหว่างที่กำลังรอสายจากผู้กำกับ นพดลเดินตรงไปที่บานกระจกใหญ่ตำแหน่งที่มีเสียงดังเหมือนมีอะไรมากระแทกก่อนหน้านี้ เมื่อเดินมาถึงจุดที่คิดว่าน่าจะใช่ตำแหน่งที่โดนกระแทก เขาเห็นรอยจุดเหมือนโดนอะไรกระแทกให้แตกเป็นรอยเล็กๆจากด้านนอก แต่นพดลยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร พอดีกับที่ปลายสายโทรศัพท์ตอบรับเข้ามาพอดี
"สวัสดีครับคุณนพดล"
"สวัสดีครับท่านผู้กำกับ หวังว่าผมโทรมจะไม่รบกวนเวลาท่านนะ"
"ไม่หรอกครับ ว่าแต่โทรมามีอะไรเหรอครับ"
นพดลเล่าเหตุการณ์ในตอนเช้าให้ผู้กำกับฟัง รวมถึงลางสังหรณ์ที่เริ่มไม่ดีตั่งแต่เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่ผ่านมา ผู้กำกับที่รับฟังอยู่ปลายสายคิดว่านพดลคงจะวิตกกังวลอะไรไปเองจึงบอกให้ถ่ายรูปรอยปริศนาที่อยู่บนบานกระจกนั้นส่งให้เขาดู นพดลจึงทำตามด้วยการใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปและส่งไปให้ผู้กำกับทันที
เมื่อผู้กำกับได้รับข้อความภาพจากนพดล เขารู้สึกตกใจจนอุทานออกมา สิ่งที่ผู้กำกับกังวลใจนั้นเขาอาจจะคิดไปเองจึงบอกกับนพดลไปเพียงว่า จะนำรูปถ่ายที่ได้มานั้นไปตรวจสอบก่อน หากมีอะไรที่ผิดปกติจะแจ้งให้นพดลทราบอีกครั้ง
...
ในเย็นวันนั้นนพดลนั่งบนโต๊ะอาหารเพียงลำพัง เขาค่อยๆใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากพร้อมกับเปิดหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับธุรกิจฉบับภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่ทันจะได้อ่านพาดหัวข่าวสักตัวอักษรเดียว โทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นมาขัดจังหวะการอ่านและการกิน
"สวัสดีครับท่านผู้กำกับ"
"ครับคุณนพดล ผมมีเรื่องที่หน้าตกใจจะมาแจ้งให้ทราบ คือว่ารูปถ่ายที่คุณนพดลส่งมาให้ ผมได้เอาไปตรวจสอบแล้วปรากฏว่ามีความเป็นไปได้ว่ารอยนั่นจะเป็นรอยของลูกกระสุนสไนเปอร์ นั่นหมายความว่าเวลานั้นอาจจะมีมือปืนต้องการลอบสังหารใครบางคนในห้องประชุมนั้น และจากการสันนิษฐานของผม คุณนพดลเองซึ่งยืนหันหน้าออกไปที่ทางบานกระจกนั้นคนเดียว ผมคิดว่ามือปืนต้องการลอบสังหารคุณนพดล"
เสียงจากทางฝั่งนพดลหยุดนิ่งไปชั่วครู่
"เรื่องนี้มันยังไม่จบอีกหรือ ใครกันนะที่ทำเรื่องแบบนี้"
"เราคงต้องสืบกันอีกครั้งครับคุณนพดล"
"อ้อผู้กำกับ หากนั่นเป็นกระสุนจากปืนสไนเปอร์ แล้วทำไมมันถึงยิงไม่ทะลุกระจกเข้ามาทะลุหัวผมให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ"
นพดลพูดออกมาอย่างหัวเสีย คล้ายกับเค้าเบื่อหน่ายกับเรื่องแบบนี้เต็มที่ พูดเหมือนกับใจหนึ่งอยากให้ตัวเองตายไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
พอสะโหน นักสืบอิสระ : พินัยกรรมฉบับสีเลือด บทที่ 6
"เอ่อ... คุณรุจรีคะ พอดีคุณพรประพามารออยู่ในห้องค่ะ คือว่าต้องขอโทษนะคะที่..."
มยุรีเลขาหน้าห้องพูดพร้อมทำท่าขอโทษขอโพยรุจรีที่ปล่อยให้มีคนเข้าไปในห้องของเธอโดยพลการ
"ไม่เป็นไรจ้ะ เรื่องนั้นไม่เป็นไร"
รุจรีเธอชิงตอบก่อนเพื่อไม่ให้เลขาของเธอต้องลำบากใจ รุจรีเปิดประตูเข้าไปในห้องก็เห็นพรประพานั่งอยู่บนชุดรับแขกแล้ว
"พี่พร!"
รุจรีอุทานออกมาเป็นชื่อพี่สาวของเธอ
"ว่ายังไงยัยรุจ พี่จะมาขอคำปรึกษาเรื่องที่เราคุยกันเมื่อหลายวันก่อนน่ะ"
"เอ่อ... ถ้าเป็นเรื่องนั้นน้องขอพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมล่ะนะ สำหรับเงิน 150ล้านบาทน่ะน้องหาให้พี่พรไม่ได้จริงๆ มันเป็นจำนวนเงินที่เยอะอยู่เหมือนกัน"
"ทำไมล่ะรุจ ไม่มีเงินสดติดตัวบ้างเลยเหรอ"
"น้องเริ่มต้นจากเป็นแค่ลูกจ้างของพ่อมาก่อน เงินทองที่จะมีสะสมเป็นหลักร้อยๆล้านมันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะพี่พร "
รุจรีพยายามพูดตัดบทพรประพา แต่ไม่สำเร็จ
พรประพรดูท่าทีของรุจรีคิดว่าเธอคงไม่ได้เงินแน่ เธอจึงพูดคำพูดที่เธอเตรียมมาไว้แล้วใส่รุจรี
"เอาล่ะ ในเมื่อเธอไม่มีเงินสดให้พี่จริงๆถ้าอย่างนั้นพี่อีกทางหนึ่งที่จะให้น้องช่วย"
"ทางไหนคะ"
"พี่อยากให้น้องไปกู้เงินจากแหล่งเงินกู้"
"อ้าว! ไหนบอกว่าพี่ไม่อยากไปกู้เงินจากสถาบันการเงิน"
พรประพานิ่งเงียบไปชั่วครู่
"คือพี่อยากให้น้องไปกู้เงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบมาให้พี่น่ะ คือตัวพี่เองไม่สามารถไปกู้เงินจากพวกนั้นได้แล้ว"
"หมายความว่ายังไงคะ พี่พรไปกู้เงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบมาทำธุรกิจเหรอ พี่ทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน"
"รุจฟังพี่ก่อนพี่จะเล่าให้ฟัง มีอยู่ครั้งหนึ่งมีพ่อค้าเพชรพลอยนำเพชรที่ผิดกฎหมายมาขายให้พี่ ราคาในตอนนั้นถือว่าถูกมากๆ พี่คิดว่ามันจะทำกำไรให้บริษัทของพี่อย่างมหาศาล แต่ตอนนั้นพี่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อของทั้งหมดไว้ ถ้าเอาของมาไม่หมดก็กลัวของตกไปอยู่ในมือค่แข่ง พี่จึงตัดสินใจว่าจะไปกู้เงินจากธนาคารเพื่อมาซื้อเพชรเหล่านี้ แต่ปรากฏว่าพี่ไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารออกมาซื้อเพชรที่ผิดกฎหมายนี้ได้ หนทางสุดท้ายก็มีกลุ่มทุนนอกระบบที่ยอมปล่อยเงินกู้ให้พี่"
พรประพาหยุดพูดเพื่อพักหายใจ รุจรีจึงรีบแทรก
"พี่ก็เลยตัดสินใจกู้เงินจากนายทุนนอกระบบนั้น"
"ใช่ ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยเงินกู้นั้นจะมหาโหด แต่พี่ลองคำนวนเงินกับราคาของเพชรที่จะซื้อมานั้น มันก็ยังทำกำไรให้พีอยู่ดี และในตอนนั้นการจะขอกู้เงินกับพวกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้หลักประกันอะไรค้ำสักอย่าง ขอแค่เพียงมีเครดิตอยู่ก็ได้เงินก้อนโตออกมาได้ง่าย แต่ความผิดพลาดเกิดที่พี่ไม่สามารถขายเพชรเหล่านั้นได้ทัน"
"น้องเข้าใจแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพี่ไม่จ่ายเงินที่กู้มาให้นายทุนคนนั้น พี่ไม่ได้เอาหลักทรัพย์อะไรไปค้ำนี่คะ"
"ลองคิดดูสิว่านายทุนคนไหนที่จะกล้าปล่อยกู้โดยไม่มีหลักทรัพย์อะไรไปวางค้ำประกัน ถ้าเขาคนนั้นไม่มีอำนาจและอิทธิพลมากพอที่จะยึดทรัพย์สินของเราหากเราผิดสัญญา ผลลัพธ์ของการผิดสัญญากับนายทุนคนนี้คือชีวิตที่ต้องจ่าย หรือทรัพย์สินทุกอย่างรวมถุงธุรกิจทุกชนิดที่พี่มีก็จะถูกคนเหล่านั้นยึดไปจนหมดได้"
"นายทุนคนนั้นคงจะยิ่งใหญ่มาก"
รุจรีเริ่มรู้ถึงความจำเป็นของพี่สาวเธอ แต่ทางออกนั้นมันดูจะไม่ง่ายเลย แม้เธอจะเป็นถึงเจ้าของธุรกิจหลายพันล้าน แต่มันก็เป็นแค่มูลค่าทางธุรกิจเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าสภาพคล่องทางการเงินของเธอจะมีเป็นหลักร้อยล้านพันล้าน ยกเว้นแต่ว่าเธอจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของนพดลเป็นกรรมสิทธิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเหมือนว่าพรประพาจะคิดได้ดังนั้น จึงทำให้เธอเผลอพูดอะไรออกมา
"ถ้าพ่อตายขึ้นมาเธอก็คงจะมีเงินมาให้พี่ยืม"
พรประพารำพึงรำพันออกมาเบาๆ แต่ดังพอให้รุจรีได้ยินโดยที่เจ้าของเสียงไม่ทันรู้สึกตัว เมื่อการพูดคุยมาถึงจุดๆหนึ่งที่พรประพายังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากน้องสาว เธอจึงออกจากห้องทำงานของรุจรีไป
...
ในเย็นวันนั้นเอง รุจรีกลับบ้านมาเร็วกว่าปกติเพื่อมาให้ทันนั่งกินข้าวกับนพดล เธอดูใจร้อนรนเป็นพิเศษในวันนี้ด้วยความเป็นห่วงพี่สาวของเธอ รุจรีตัดสินใจแล้วว่าจะเอาเรื่องของพรประพามาเล่าให้นพดลฟัง เพื่อหวังว่านพดลนั้นจะสามารถให้ความช่วยเหลือแก่พรประพาได้
"อ้าวว่าไงลูกคนเก่งของพ่อ วันนี้อยากจะกลับมากินอาหารเย็นกับพ่อเหรอ"
นพดลทีกำลังนั่งบนโต๊ะอาหารเมื่อเห็นรุจรีก็ทำสีหน้าดีใจ
"ใช่แล้วค่ะคุณพ่อ คือว่าวันนี้หนูมีเรื่องอยากจะคุยด้วยน่ะค่ะ"
หลังพูดเสร็จ รุจรีขอให้แม่บ้านยกจานข้าวมาให้เธอ พอทั้งคู่เริ่มกินอาหารจนเกือบจะเสร็จแล้ว รุจรีถึงเรื่องที่พรประพามาขอยืมเงินเธอ และยังบอกถึงเรื่องเงินกูนอกระบบและความร้ายกาจของนายทุน แต่สิ่งที่ทำให้รุจรีต้องยิ่งประหลาดใจไปเพราะคำพูดของนพดลที่ตอบกลับมา
"พ่อรู้ทุกเรื่องทีลูกพูดมาแล้ว"
รุจรีถึงกลับทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย
"จริงหรือคะ พ่อรู้เรื่องนี้มานานหรือยัง"
"พ่อรู้ตั้งแต่พรประพาไปเจอพ่อค้าขายเพชรผิดกฎหมาย และรู้เรื่องตอนนี้พี่สาวเธอไปกู้เงินมาเกือบ 2 ร้อยล้าน"
"แล้วพ่อปล่อยให้พี่พรทำแบบนั้นได้อย่างไร"
รุจรียังสับสนในเรื่องราวที่ซับซ้อนนี้
"พ่อจะไปห้ามพี่สาวเธอได้อย่างไรกัน การทำธุรกิจมันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของธุรกิจเองว่าจะดำเนินไปในทิศทางไหน เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็คือการผิดพลาดทางธุรกิจ บางทีก็อ่จเกิจจากความโลกของพรประพาเอง"
"แล้วพ่อจะปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้หรือคะ น่าสงสารพี่พร"
นพดลขยับตัวให้นั่งหลังตรง เขายกข้อศอกขึ้นวางบนโต๊ะอาหารและใช้ปลายนิ้วโป้งสัมผัสที่ปลายคาง
"ไม่ต้องห่วง นายทุนจอมโหดที่พรประพากลัวนักกลัวหนานั้นความจริงแล้วเขาเป็นคนที่พ่อรู้จักดี พ่อเคยช่วยเหลือเขาหลายเรื่อง นายทุนคนนั้นไม่ทำอะไรพรประพาหรอก พ่อยังบอกว่าอย่าไปบอกเรื่องนี้กับพรประพาด้วย เพื่อให้เธอได้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง"
"เป็นเรื่องจริงหรือคะ โชคดีของพี่พรจริงๆ"
"ลูกอย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดให้พรประพาฟังนะ"
รุจรีโลงใจเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากพ่อของเธอ
"ได้ค่ะพ่อ"
"แล้วพรประพาเธอพูดอะไรอีกมั้ย"
รุจรีใช้เวลาคิดทบทวนชั่วครู่
"รู้สึกเหมือนจะพูดอะไรในตอนท้ายนะ"
"เธอพูดอะไรอีก"
รุจรีนิ่งไปอีกครั้งก่อนจะตอบคำถาม
"ไม่มีอะไรค่ะ มันไม่สำคัญ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวลูกขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ"
รุจรีออกจากบ้านที่นพดลอยู่ เธอกลับบ้านพักของเธอ
....
หลายวันนับตั้งแต่ที่พรประพาไปพบรุจรีที่บริษัท เช้าวันนี้เป็นวันที่อดีตประธานเข้ามาที่บริษัท และจะมีการประชุมผู้บริหารอยู่แล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีที่นพดลจะเข้าร่วมประชุมเพื่อทักทายกับผู้บริหาร การประชุมถูกจัดในห้องประชุมใหญ่บนชั้นสูงสุดของตึก บรรยากาศในห้องนี้เป็นห้องประชุมในอุดมคติ ผนังรอบด้านเป็นบานกระจกเผยให้เห็นเมืองใหญ่รายล้อมด้วยตึกที่สูงเสียดกันหลายแห่ง
"สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้เป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้วที่ผมปล่อยให้พวกท่านทำงานกันตามลำพัง โดยที่ผมได้วางมือไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้อีกแล้ว พวกคุณไม่ทำให้ผมผมดหวัง ระบบที่เคยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร ตอนนี้ก็ยังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง ที่ผมมาในวันนี้ไม่ใช่เพื่อมาตรวจสอบ แต่เพื่อมาเยี่ยมเยียนในฐานะคนในครอบครัวเดียวกัน"
นพดลพูดผ่านไมโครโฟนบนเวทีขนาดไม่ใหญ่ที่หันหน้าออกไปทางผนังกระจก ทำให้ผู้บริหารและผู้จัดการแผนกต่างๆร่วมเกือบครึ่งร้อยต่างปรบมือต้อนรับ เพราะนพดลเป็นที่รักใครของทุกคนที่อยู่ในบริษัทนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามปกติเหมือนทุกครั้งก่อนหน้านี้ที่นพดลกลับมาเข้าร่วมการประชุมในบริษัทหลังจากที่เขาวางมือทางธุรกิจ นพดลจะใช้เวลาประมาณสิบกว่านาทีขึ้นกล่าวบนเวลาที ก่อนที่จะลงมานั่งที่เก้าอี้ล่างเวที แต่ก่อนที่จะถึงเวลาปกติที่นพดลจะเดินลงจากเวที เกิดความผิดปกติขึ้นบางอย่าง!
มีเสียงดังเหมือนมีอะไรมากระแทกที่บานกระจกใหญ่ที่ใช้ทำเป็นผนังรอบห้องประชุม ทุกคนในห้องล้วนหันไปมองที่ต้นทางของเสียงแต่ปรากฏว่าไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติชัดเจน ทุกคนจึงหันกลับมาประชุมดันเหมือนเดิม มีเพียงแต่นพดลเท่านั้นที่ยังคงจ้องมองไปที่กระจกใหญ่บานนั้น เขายืนจ้องมองทะลุบานกระจกออกไปถึงฝั่งตรงข้ามของตึกที่เป็นโรงแรมสูงร้อยกว่าชั้น แต่ไม่นานนพดลก็ละสายตาและเดินลงไปนั่งที่เก้าอี้
การประชุมในวันนั้นผ่านไปตามปกติ เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงการประชุมก็สิ้นสุด ทุกคนต่างเดินออกไปจากห้องเหลือแต่นพดลกับรุจรีเท่านั้น
"คุณพ่อคะเป็นอะไร ลูกเห็นพ่อหน้าซีดๆไปตั้งแต่ก่อนเริ่มประชุมแล้ว"
รุจรีทักอากาปกติของพ่อเธอ
"ไม่มีอะไรหรอก พ่อคงจะเหนื่อยไปหน่อย พ่อจอนั่งพักที่นี่ก่อนนะเดี๋ยวจะตามลงไป"
"พ่อลงไปพักที่ห้องทำงานของลูกก็ได้ค่ะ ไม่อยากให้พ่ออยู่ที่นี่คนเดียว"
นพดลนิ่งเงียบไปสักพักเหมือนเข้ากำลังคิดหาข้ออ้างอะไรอยู่
"ไม่เป็นไร พอดีพ่อนัดคนบางคนให้มาพบพ่อที่นี่"
"ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ถ้ามีอะไรก็โทรเรียกได้นะคะ"
รุจรีเดินออกจากห้องประชุมไป เมื่อนพดลแน่ใจว่าเขาอยู่คนเดียวในห้องประชุม จึงกดเบอร์โทรศัพท์หาผู้กำกับคนที่เขาไว้ใจอีกคนหนึ่ง
ระหว่างที่กำลังรอสายจากผู้กำกับ นพดลเดินตรงไปที่บานกระจกใหญ่ตำแหน่งที่มีเสียงดังเหมือนมีอะไรมากระแทกก่อนหน้านี้ เมื่อเดินมาถึงจุดที่คิดว่าน่าจะใช่ตำแหน่งที่โดนกระแทก เขาเห็นรอยจุดเหมือนโดนอะไรกระแทกให้แตกเป็นรอยเล็กๆจากด้านนอก แต่นพดลยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร พอดีกับที่ปลายสายโทรศัพท์ตอบรับเข้ามาพอดี
"สวัสดีครับคุณนพดล"
"สวัสดีครับท่านผู้กำกับ หวังว่าผมโทรมจะไม่รบกวนเวลาท่านนะ"
"ไม่หรอกครับ ว่าแต่โทรมามีอะไรเหรอครับ"
นพดลเล่าเหตุการณ์ในตอนเช้าให้ผู้กำกับฟัง รวมถึงลางสังหรณ์ที่เริ่มไม่ดีตั่งแต่เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่ผ่านมา ผู้กำกับที่รับฟังอยู่ปลายสายคิดว่านพดลคงจะวิตกกังวลอะไรไปเองจึงบอกให้ถ่ายรูปรอยปริศนาที่อยู่บนบานกระจกนั้นส่งให้เขาดู นพดลจึงทำตามด้วยการใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปและส่งไปให้ผู้กำกับทันที
เมื่อผู้กำกับได้รับข้อความภาพจากนพดล เขารู้สึกตกใจจนอุทานออกมา สิ่งที่ผู้กำกับกังวลใจนั้นเขาอาจจะคิดไปเองจึงบอกกับนพดลไปเพียงว่า จะนำรูปถ่ายที่ได้มานั้นไปตรวจสอบก่อน หากมีอะไรที่ผิดปกติจะแจ้งให้นพดลทราบอีกครั้ง
...
ในเย็นวันนั้นนพดลนั่งบนโต๊ะอาหารเพียงลำพัง เขาค่อยๆใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากพร้อมกับเปิดหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับธุรกิจฉบับภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่ทันจะได้อ่านพาดหัวข่าวสักตัวอักษรเดียว โทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นมาขัดจังหวะการอ่านและการกิน
"สวัสดีครับท่านผู้กำกับ"
"ครับคุณนพดล ผมมีเรื่องที่หน้าตกใจจะมาแจ้งให้ทราบ คือว่ารูปถ่ายที่คุณนพดลส่งมาให้ ผมได้เอาไปตรวจสอบแล้วปรากฏว่ามีความเป็นไปได้ว่ารอยนั่นจะเป็นรอยของลูกกระสุนสไนเปอร์ นั่นหมายความว่าเวลานั้นอาจจะมีมือปืนต้องการลอบสังหารใครบางคนในห้องประชุมนั้น และจากการสันนิษฐานของผม คุณนพดลเองซึ่งยืนหันหน้าออกไปที่ทางบานกระจกนั้นคนเดียว ผมคิดว่ามือปืนต้องการลอบสังหารคุณนพดล"
เสียงจากทางฝั่งนพดลหยุดนิ่งไปชั่วครู่
"เรื่องนี้มันยังไม่จบอีกหรือ ใครกันนะที่ทำเรื่องแบบนี้"
"เราคงต้องสืบกันอีกครั้งครับคุณนพดล"
"อ้อผู้กำกับ หากนั่นเป็นกระสุนจากปืนสไนเปอร์ แล้วทำไมมันถึงยิงไม่ทะลุกระจกเข้ามาทะลุหัวผมให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ"
นพดลพูดออกมาอย่างหัวเสีย คล้ายกับเค้าเบื่อหน่ายกับเรื่องแบบนี้เต็มที่ พูดเหมือนกับใจหนึ่งอยากให้ตัวเองตายไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย