จุดอ่อน ของเจ้าของข้อความนี้คือ .................. ไม่รู้จัก "จิต" จริง !

ความนำ

ขออนุญาต กล่าวตามตรงว่า ผมเขียนกระทู้นี้ด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง !

ที่กล่าวว่า ไม่สบอารมณ์ ก็เพราะไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยในชีวิตว่า
ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นชาวพุทธนักปฏิบัติ จะโง่งม และพูดจามักง่าย ได้มากมาย ถึงเพียงนี้

ดังนั้น ในกระทู้นี้ จะไม่เสียเวลาในการอธิบายความมากนัก
แต่จะเป็นการ แสดงหลักฐานต่างๆ เพื่อชี้ให้เห็น ความบกพร่อง ทั้งในทาง ปริยัติ และ ปฏิบัติ ของบุรุษเปล่าผู้นั้น
จึงเป็นภาระของผู้อ่าน ในการ โยนิโสมนสิการ พิจารณาหลักฐานต่างๆ ตามที่นำเสนอมานี้ เอาเอง

จบความนำ

**************************************************

เนื่องจาก มีบุรุษเปล่าผู้หนึ่ง ได้เขียนข้อความ ซึ่งเป็นสัทธรรมปฏิรูป ด้วยความยโสโอหัง
อ้างความเป็นนักปฏิบัติ(กำมะลอ) กดข่ม ผู้อื่น ซึ่งมีภูมิรู้ภูมิธรรม สูงกว่าตน ด้วยความ "หลงผิด" ความว่า ......



ความผิดพลาดประการที่ ๑

ชาวพุทธ ผู้มีความรู้ดี ทั่วทั้ง ๓ โลก เขาย่อมรับทราบ "ข้อเท็จจริง" กันมานมนานแล้วว่า
อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท กับ อริยสัจ ๔ เป็นธรรม อย่างเดียวกัน
แต่น่าแปลกอย่างยิ่ง ที่นักปฏิบัติ(กำมะลอ) ผู้นี้กลับไม่ทราบ

มิหนำซ้ำ ทั้งยังออกมา "กล่าวแย้ง" ธรรม ของพระพุทธเจ้า เสียด้วย

รวมไปถึงการกล่าวเพ้อเจ้อ ในทำนองว่า ปฏิจจสมุปบาท มิใช่หลักปฏิบัติ
โดยที่มันไม่ทราบว่า อริยมรรค มีองค์ ๘ ย่อมเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วใน ปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร(สายดับ) !



******************************************************************

ความผิดพลาดประการที่ ๒

การกล่าวในทำนองว่า เราไม่สามารถควบคุม ปฏิจจสมุปบาทได้เลยนั้น
ย่อมส่อแสดงให้เห็นถึง ความโง่เขลาเบาปัญญาในปริยัติ
และความบ้องตื้น เลอะเทอะ ในภาคปฏิบัติ ของตัวผู้พูดเอง

ทั้งนี้ก็เพราะ ถ้าหากเราไม่สามารถควบคุมปฏิจจสมุปบาทได้เลยจริงๆ
เช่นนี้แล้ว ปฏิจจสมุปบาทสายดับ มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

ที่น่าสมเพชไปกว่านั้น ก็คือ เพราะความโง่เขลาของมันเองแท้ๆ จึงไม่ทราบว่า
พระพุทธเจ้าตรัสสอนนักหนาในเรื่อง การเจริญสติ ที่ผัสสะ (ใช่ ปฏิจจสมุปบาท ไหม?)

ตัวอย่างเช่น ที่ตรัสกับ ท่านพาหิยะว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟัง จักเป็นสักว่าฟัง ฯลฯ



หากยังโง่ ไม่เข้าใจอยู่อีก ก็ให้พิจารณาตามที่ตรัสสอนว่า .....

ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖ อันภิกษุเหล่านั้นควรทำ ฯลฯ



มีใครยังพิจารณาไม่ได้ อีกไหมครับว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ เจริญสติ ที่ ผัสสะ
ซึ่งเป็นปราการด่านแรก ก่อนที่จะเกิด สรรพทุกข์ ทั้งหลาย

ก็ถ้า เราไม่สามารถควบคุมปฏิจจสมุปบาทได้เลยจริงๆ
การปฏิบัติธรรม ก็ย่อมกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย
พระพุทธศาสนา จะไม่กลายเป็น อกิริยาทิฐิ ไปหรอกละหรือ ?

******************************************************************

ความผิดพลาดประการที่ ๓

การที่ บุรุษเปล่าผู้นั้น กล่าวว่า พระพุทธเจ้าบรรลุธรรมก่อน แล้วจึงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท(ทีหลัง)
นี้จัดเป็นความ โง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง แต่ที่น่าสมเพชไปกว่านั้น ก็คือ .......

คนที่อ้างตัวอ้างตน ในทำนองว่าเป็น ชาวพุทธนักปฏิบัติ
แต่กลับไม่รู้พุทธประวัติ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับหลักธรรมสำคัญ
แถมยัง เสนอหน้า มาบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกดข่มผู้อื่น เสียอีกด้วย !

ทั้งนี้ ผมก็ยังคง "หวัง" อยู่ว่า ชาวพุทธโดยส่วนใหญ่ คงจะทราบนะครับว่า
เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท มาก่อนแล้ว ตั้งแต่เมื่อยังมิได้ตรัสรู้



******************************************************************

ความผิดพลาดประการที่ ๔

บรรดาคำอวดอ้างโง่ๆ ทั้งหมด ของบุรุษเปล่าผู้นั้น ได้นำมาสู่ ข้อสรุปที่แสนพิสดารว่า ........

(๑) จุดอ่อนของเจ้าของข้อความนี้ คือไม่รู้จักจิตจริง
(๒) จึงคิดเอาว่า สังขารที่เกิดจากจิตปรุงแต่ง กับ สังขารในขันธ์ ๕ เป็นอันเดียวกัน

ถามจริงๆ เถิด ไม่มีใครอบรมสั่งสอนมันบ้างเลยหรือว่า สรรพทุกข์ทั้งหลาย ที่ปรากฏอยู่ในปฏิจจสมุปบาท
สามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า สรรพสังขาร เพราะ ทุกข์ทั้งหลาย ล้วนเกิดมาจากการปรุงแต่งของจิตทั้งสิ้น



ถามว่า จิตปรุงแต่งมาจากอะไร ?
ตอบว่า ปรุงแต่งมาจาก ปปัญจสัญญา

ถามว่า ปปัญจสัญญา มาจากไหน ?
ตอบว่า ก็เกิดมาจาก ผัสสะ น่ะสิ

ถามว่า เราจัดการกับ ผัสสะ ได้ไหม ?
ตอบว่า กลับไปอ่าน ความผิดพลาดประการที่ ๒ ซ้ำอีกครั้งสิ

ฯลฯ

หากถามว่า ความน่าสมเพช ของเรื่องนี้ อยู่ตรงไหน ?

มันก็อยู่ตรงที่ โมฆบุรุษผู้นี้ พูดได้หน้าตาเฉยว่า มี สังขาร อะไรสักอย่าง ที่อื่นไปจาก สังขารขันธ์(ในขันธ์ ๕)
มันคงจะไม่ทราบว่า การพูดอย่างนี้ มิได้ต่างจากการกล่าว สัทธรรมปฏิรูป เลยสักนิด !

ประเด็นสุดท้าย ที่จำต้อง "ชี้ชวน" ให้ชาวพุทธทั้งหลาย พิจารณาอย่างรอบคอบ ก็คือ

(๑) การปฏิบัติธรรม ตามหลักธรรมชาติ โดยอาศัยการเจริญสติในทุกๆ ขณะ ที่เกิดผัสสะนี้ ย่อมมิใช่เรื่องใหม่
ดังจะเห็นได้ว่า ปรากฏหลักฐานคำสอนแบบนี้อยู่มากมายในพระไตรปิฎก



(๒) เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านอาจารย์พุธ ฐานิโย ได้กล่าวเอาไว้ว่าอย่างไร ?

กรุณาฟัง ......... ศีล ๕ กับสังคม
https://archive.org/details/DesanasOfVenLuangporBhud

นาทีที่ ๒๘.๕๕

ปฏิบัติสมาธิ ............ ตามหลักธรรมชาติ

ฯลฯ

นาทีที่ ๓๖.๔๐

หน้าที่ของเรา มีสติกำหนดดูอย่างเดียว ธรรมชาติของจิต
ถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึกจะต้องเกิดความสงบขึ้นมาแน่นอน

นาทีที่ ๓๖.๕๔

ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยสอนว่า จงทำจิตให้ว่าง จงทำจิตให้ว่าง
ทีนี้บางท่านรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ไปเขียนหนังสือโจมตีท่าน

นาทีที่ ๓๗.๐๗

ว่าท่านเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นลูกศิษย์เดียรถีย์ เขียนหนังสือเล่มเบ้อเร่อ
แต่แท้ที่จริง ผู้ที่เขียนหนังสือโจมตีท่านนั้น ยังไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติสมาธิเพียงพอ

นาทีที่ ๓๗.๒๗

อันนี้จะว่า หลวงพ่อช่วย ท่านพุทธทาสแก้ก็ได้
เพราะอาจารย์พุทธทาส ท่านเป็นผู้รู้จริงเห็นจริง
รู้จริงว่าธรรมชาติของจิตนี้ เขาจะว่างอยู่ตลอดกาลไม่ได้

ฯลฯ

******************************************************************

สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ?

ใครพูดจริง ใครกล่าวเท็จ ?

ใครหลอกลวง ใครกำมะลอ ?

ใครรู้จริง หรือ รู้ไม่จริง ?

ท่านทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ(เถรวาท ?) ก็พึง โยนิโสมนสิการ กันเอาเองเถิด



สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่