ผมติดตามอ่านกระทู้แบ็คแพคเที่ยว ในพันธุ์ทิพย์มานานมาก จนผมคิดได้แล้วว่า คงต้องถึงทีของผมบ้าง
เงินมหาศาลก็ไม่สามารถซื้อความสุขได้ ผมเชื่อแบบนี้เสมอ เพราะบางสิ่งบางอย่างถูกและดี ก็มีอยู่จริง..
ไม่รู้จะมีใครเป็นเหมือนผมไหม ผมเป็นคนหนึ่งที่มีหยุดวันไม่ได้ หยุดทีไรเป็นต้องเที่ยว แล้วนี่ก็เป็นหนึ่งในทริปประทับใจของผม กับการเดินทางง่ายๆ งบสบายๆ แต่ทว่าความสุขมหาศาล
จุดมุ่งหมายปลายทาง คือ ฉะเชิงเทรา เมืองเล็กๆ เมืองใกล้ๆ ที่หลายคนมองข้าม
ผมออกเดินทางจากบ้านตีห้า เพื่อโบกรถ มาขึ้นรถโดยสารฟรี ที่หัวลำโพง... ใช่ แล้วแหละครับ ตีห้า มุ่งหน้ามาขึ้นรถไฟไทย
คงมีหลายคนตั้งคำถามว่า จะรีบไปไหน ใกล้แค่นี้ออกเช้าไปหรือเปล่า แล้วทำไมต้องไปรถไฟ ช้าจะตาย นั่งรถอื่นๆก็ได้เร็วกว่า
ผมขอบอกว่า อย่าเพิ่งด่วนสรุปครับ รอดูคำตอบของผมต่อจากนี้
05.55 น. เวลารถออก แต่กว่าเครื่องจะร้อน และล้อเคลื่อน ก็เลทไปประมาณ5 นาที แต่ก็โอเคครับ ผมรับได้
ปู๊น..ปู๊น.. ล้อของรถรางเหล็กเริ่มหมุน และก็ถือเป็นการเริ่มต้นเดินทาง
รถไฟเคลื่อนขบวนผ่านบ้านเรือน ในเมืองกรุงเทพฯมาตามรางเรื่อยๆ ท่ามกลาง แสงสลัวๆของยามเช้ามืด
ผ่านสี่แยกแล้ว สี่แยกเล่า ผ่านเสาไฟ สูงใหญ่ในเมือง วิวสองข้างทาง ก็ตึกรามบ้านช่อง สะพาน โรงงานล้วนๆ
และนี่ถือเป็นกำไร เมื่อได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในเมือง ภาพแบบนี้หายากนะครับ เพราะน้อยคนนักที่จะมาใส่ใจกับวิวพระอาทิตย์ขึ้นในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงและสิ่งก่อสร้าง
พอฟ้าเริ่มสว่าง รถไฟก็เคลื่อนตัวมาถึงชานเมือง รถไฟเคลื่อนไปแบบช้า เนิบ สมชื่อ เพราะถ้าใครเคยนั่ง ก็มักจะได้ยินเสียงของเจ้ารถไฟมันบอกกับเราเสมอว่า ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง…
พ้นจากชานเมืองมาได้ บรรยากาศแสนตระการตา ชุ่มฉ่ำใจ มันอยู่ตรงนี้
ทุ่งนาเขียวขจี มีหมอกจางๆ มีนกโบยบิน และมีแสงพระอาทิตย์อ่อนๆ เหนือทุ่งนา อากาศเย็น บริสุทธิ์ยามเช้า แดดไม่จ้า… นี่แหละหนา...เสน่ห์ของรถไฟ
ชัดเจนไหมล่ะครับ คำตอบของผม คือถ้าเกิดออกสายกว่านี้ แน่นอนว่า ทิวทัศน์ดีๆแบบนี้ก็คงไม่เห็น แล้วแถมยังแดดร้อนอีกต่างหาก หรือถ้าเลือกเดินทางด้วยทางอื่นๆ ผมรู้สึกว่า เราเสียโอกาส และใช้เวลาหมดไปโดยที่ไม่เกิดคุณค่าอะไรจากการเดินทาง… แล้วอีกอย่างคือ รถไฟสายนี้ ถึงไวดีครับ ตามกำหนดคือ 7 โมง40 นี่ 7 โมงครึ่ง ก็มาถึงแล้ว
07.30น. Check-In At สถานีชุมทางฉะเชิงเทรา มาถึงแล้วแปดริ้ว ไวเกินคาด พอลงรถไฟมาทีนี้ จะไปทางไหนต่อดีล่ะ รู้แต่ว่าตอนนี้ หิว!!!
ถ้าเกิดใครที่ยังไม่เคยมา อาจจะอึ้งๆเล็กน้อย ว่าไปไหนต่อดี จะไปเที่ยวยังไง ซึ่งสำหรับแปดริ้วง่าย มากๆ เพราะคนที่นี่ใจดี เอ่ยปากถามที ก็ได้คำตอบมากมายเลยครับ
การเดินทางในแปดริ้ว ค่อนข้างสะดวกครับ เพราะมีทั้งรถสองแถว รถมอเตอร์ไซต์ และรถสามล้อรับจ้าง
ถ้าเอาสบาย ก็สามล้อ ถ้าเอาเร็วก็มอไซต์ แต่ถ้าเอางบประหยัดสบายกระเป๋า ก็สองแถวได้เลยครับ
สองแถวที่นี่มีหลายสายมาก และก็มีมารอรับผู้โดยสารอยู่ที่สถานีรถไฟแล้วหากว่าคุณจะเดินทางเข้าตัวเมือง แต่ผมเลือกไปบางคล้าก่อน ในตอนเช้า
การเดินทางไปอำเภอบางคล้า ผมต้องข้ามถนนแล้วเดินเลยไปเยื้องๆกับฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ เพื่อไปขึ้นรถสองแถวที่ สถานีขนส่ง รถสองแถวสีส้ม จอดรอให้บริการผมอยู่แล้ว แล้วผมก็จัดแจงขึ้นไปนั่งรถเวลารถออก
07.50 น. รถสองแถวออกจากขนส่ง มุ่งตรงไปยังอำเภอบางคล้า เพื่อนร่วมเดินทางเพียบครับ ไม่ต้องห่วง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นขาประจำ ขาจรอย่างผมมีน้อยครับ
08.30 น. รถสองแถวก็มาถึงอำเภอบางคล้า แต่ว่าไปไม่ถึงตลาดน้ำ เอาล่ะหว่าทำไงดี…
แต่อย่างที่บอกแล้วว่าคนแปดริ้วใจดี พี่คนขับก็ยอมมาส่งที่ตลาดน้ำให้ฟรีๆ น่ารักจริงเชียว
ตลาดน้ำบางคล้าอยู่ไม่ไกลเท่าไรจากจุดจอดสองแถวครับ ประมาณ500เมตรได้ ของกินที่นี่ ละลานตามากๆ แม้จะไม่ต่างจากตลาดน้ำอื่นๆทั่วไป แต่ว่า อร่อยๆ เพียบ
ฝากท้องมื้อเช้ากับตลาดน้ำบางคล้าเรียบร้อย ผมก็เดินดูของที่วางขายไปเรื่อยๆ ก่อนจะบ๊ายบายตลาดน้ำ เพื่อไปเยี่ยมบางคล้าต่อ
ในอำเภอบางคล้า รถโดยสารที่โดดเด่น ถูกใจมากครับ เป็นรถสกายแลป คลาสสิคน่านั่งจิงเชียว มีทั้งแบบเป็นรถเครื่องและรถถีบ เลือกใช้บริการกันได้ ส่วนผมขอแค่ถ่ายรูป แล้วเล่นเดินเที่ยวเป็นพอ
ผมเดินมาสุดที่วัดโพธิ์บางคล้า วัดดังของอำเภอนี้
ที่นี่มีค้างคาวเยอะมากครับ นับพันตัว นอนห้อยหัวเกาะกิ่งต้นโพธิ์ หลับตาพริ้มเชียว บรรยากาศในวัดร่มรื่นมากๆ ถือโอกาสไว้พระ และนั่งพักเอาแรงไปในตัว
อันที่จริงในอำเภอบางคล้ามีที่เที่ยวอีกมากพอสมควร พวกวัดวาอาราม อนุสาวรีย์ หมู่บ้านทำน้ำตาลสด หรือระหว่างทางที่มาอำเภอบางคล้า ก็มีวัดที่เป็นโบสถ์แสตนเลส สวยงามมากๆ แล้วก็มีวัดสมานรัตนาราม ที่มีพระพิฆเนศวรปางนอนองค์ใหญ่ เพียงแต่ผมไม่ได้แวะเท่านั้นเอง
11.00 น. ออกจากบางคล้า ด้วยสองแถวสายเดิม เพื่อมาต่อรถที่บขส. โดยจุดหมายต่อไปของผมคือ วัดศักดิ์สิทธิ์ แสนโด่งของแปดริ้ว “วัดโสธรวรารามวรวิหาร” หรือวัดหลวงพ่อโสธรนั่นเอง
11.55 น. เบื้องหน้าคือโบสถ์หินอ่อนที่สร้างใหม่ ของวัดหลวงพ่อโสธร
ผมไม่ได้มากราบสักการะองค์หลวงพ่อโสธรมานานมากแล้ว มาอีกทีก็ปรากฏโบสถ์หลังใหม่ สวยงามด้วยหินอ่อนทั้งหลัง สุดยอดมากเลยครับฝีมือช่างชาวไทย
คนที่มากราบไหว้ ยังแน่นขนัดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน บางคนมาสักการะเป็นสิริมงคล บางคนมาพร้อมของไหว้แก้บน แต่ทุกคนก็มาด้วยใจเดียวกัน คือความศรัทธา
หลังจากที่ผมสักการะ ขอพร และแหวกออกมาจากผู้คนที่เนืองแน่นได้สำเร็จ บอกตามตรง น้ำตาไหลพรากด้วยเหตุจากควันธูป
ข้ามมายังฝั่งตรงข้ามวัด ขนมของฝากเนืองแน่นเช่นเคยครับ มีประมาณ3-4ตรอก ทุกตรอกเต็มไปด้วยแผง ขนม อาหาร ของฝาก นานาชนิด ขนมจากเอย ข้าวหลามเอย ปลาหมึกแห้งเอย น้ำตาลสดเอย และก็อีกมากมายครับ
ระหว่างที่ผมเดินดู แม่ค้าทุกคนก็ต่าง หยิบยื่นของดีของร้านมาให้ชิม ซึ่งบอกตามตรงผมเกรงใจ เพราะไม่ได้กะจะซื้อ แต่คุณลุง คุณป้าทั้งหลาย ก็พยายามยื่น แล้วบอกผมว่า ชิมเถิดพ่อหนุ่ม ไม่ซื้อไม่เป็นไร
มีประโยคหนึ่งที่โดนใจผมมากครับ คือ ลุงคนหนึ่งที่ขายข้ามหลาม ก็บอกกับผมในขณะที่ยื่นข้าวหลามให้ผมชิม แกบอกว่า “ไม่ซื้อไม่ว่า แต่อยากให้ชิม จะได้รู้ว่าของแปดริ้ว ก็มีดีเช่นกัน”ผมเลยต้องชิมตามคำบอกของแกครับ
ผมยอมรับว่าตอนแรกผมสงสัย ข้าวหลามแปดริ้ว จะสู้หนองมนได้หรอ แต่พอชิมเท่านั้นล่ะ หูยยย อร่อยยยมากครับ ข้าวหลามเผาสดๆ หอมหวานมันกำลังดี แหม ติดใจ (แต่ไม่ได้ซื้อนะครับ)
ความสงสัยผมไม่ได้หมดแค่นี้นะครับ อย่างน้ำตาลสดก็เช่นกัน ผมจำมาตลอดเลยว่า น้ำตาลสดต้องเพชรบุรี แต่พอมาที่แปดริ้วนี่ ผมเปลี่ยนความคิดไปตลอดกาล
ทีแรกผมเห็นน้ำตาลสดสีออกเทาๆ หน่อย ผมก็เอะใจละ ว่าเอ๊ะ มันไม่ต้องเป็นสีออกน้ำตาลเหลืองๆหน่อย แบบที่เคยกินหรอ?
แล้วก็ถึงบางอ้อครับ ว่า น้ำตาลสดที่ผ่านการเผา และไม่ขัดสี จะมีสีเทาแบบน้ำตาลสดบางคล้าตามที่เห็นนี่แหละครับ แล้วคือ มันอร่อย และก็หอมมาก ความหวานกำลังดี ไม่มากเกินไม่แสบคอ จนทำให้ผมติดใจหิ้วกลับบ้านจนได้ครับ
หลุดจากตลาดของฝากตรงข้ามวัดโสธรได้ บอกเลยว่าอิ่มครับ อิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจ ขอบคุณทุกของฝากที่หยิบยื่นให้ผมชิม พร้อมกับสีหน้าที่แสนจะยิ้มแย้มของคุณลุงคุณป้าทุกคนนะครับ ผมประทับใจมากเลยจริงๆ
แล้วก็ถึงเวลาลุยต่อ...
ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเที่ยวต่างหวัด แบบคุ้มสุดๆ ด้วยงบ200บาทได้
เงินมหาศาลก็ไม่สามารถซื้อความสุขได้ ผมเชื่อแบบนี้เสมอ เพราะบางสิ่งบางอย่างถูกและดี ก็มีอยู่จริง..
ไม่รู้จะมีใครเป็นเหมือนผมไหม ผมเป็นคนหนึ่งที่มีหยุดวันไม่ได้ หยุดทีไรเป็นต้องเที่ยว แล้วนี่ก็เป็นหนึ่งในทริปประทับใจของผม กับการเดินทางง่ายๆ งบสบายๆ แต่ทว่าความสุขมหาศาล
จุดมุ่งหมายปลายทาง คือ ฉะเชิงเทรา เมืองเล็กๆ เมืองใกล้ๆ ที่หลายคนมองข้าม
ผมออกเดินทางจากบ้านตีห้า เพื่อโบกรถ มาขึ้นรถโดยสารฟรี ที่หัวลำโพง... ใช่ แล้วแหละครับ ตีห้า มุ่งหน้ามาขึ้นรถไฟไทย
คงมีหลายคนตั้งคำถามว่า จะรีบไปไหน ใกล้แค่นี้ออกเช้าไปหรือเปล่า แล้วทำไมต้องไปรถไฟ ช้าจะตาย นั่งรถอื่นๆก็ได้เร็วกว่า
ผมขอบอกว่า อย่าเพิ่งด่วนสรุปครับ รอดูคำตอบของผมต่อจากนี้
05.55 น. เวลารถออก แต่กว่าเครื่องจะร้อน และล้อเคลื่อน ก็เลทไปประมาณ5 นาที แต่ก็โอเคครับ ผมรับได้
ปู๊น..ปู๊น.. ล้อของรถรางเหล็กเริ่มหมุน และก็ถือเป็นการเริ่มต้นเดินทาง
รถไฟเคลื่อนขบวนผ่านบ้านเรือน ในเมืองกรุงเทพฯมาตามรางเรื่อยๆ ท่ามกลาง แสงสลัวๆของยามเช้ามืด
ผ่านสี่แยกแล้ว สี่แยกเล่า ผ่านเสาไฟ สูงใหญ่ในเมือง วิวสองข้างทาง ก็ตึกรามบ้านช่อง สะพาน โรงงานล้วนๆ
และนี่ถือเป็นกำไร เมื่อได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในเมือง ภาพแบบนี้หายากนะครับ เพราะน้อยคนนักที่จะมาใส่ใจกับวิวพระอาทิตย์ขึ้นในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงและสิ่งก่อสร้าง
พอฟ้าเริ่มสว่าง รถไฟก็เคลื่อนตัวมาถึงชานเมือง รถไฟเคลื่อนไปแบบช้า เนิบ สมชื่อ เพราะถ้าใครเคยนั่ง ก็มักจะได้ยินเสียงของเจ้ารถไฟมันบอกกับเราเสมอว่า ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง…
พ้นจากชานเมืองมาได้ บรรยากาศแสนตระการตา ชุ่มฉ่ำใจ มันอยู่ตรงนี้
ทุ่งนาเขียวขจี มีหมอกจางๆ มีนกโบยบิน และมีแสงพระอาทิตย์อ่อนๆ เหนือทุ่งนา อากาศเย็น บริสุทธิ์ยามเช้า แดดไม่จ้า… นี่แหละหนา...เสน่ห์ของรถไฟ
ชัดเจนไหมล่ะครับ คำตอบของผม คือถ้าเกิดออกสายกว่านี้ แน่นอนว่า ทิวทัศน์ดีๆแบบนี้ก็คงไม่เห็น แล้วแถมยังแดดร้อนอีกต่างหาก หรือถ้าเลือกเดินทางด้วยทางอื่นๆ ผมรู้สึกว่า เราเสียโอกาส และใช้เวลาหมดไปโดยที่ไม่เกิดคุณค่าอะไรจากการเดินทาง… แล้วอีกอย่างคือ รถไฟสายนี้ ถึงไวดีครับ ตามกำหนดคือ 7 โมง40 นี่ 7 โมงครึ่ง ก็มาถึงแล้ว
07.30น. Check-In At สถานีชุมทางฉะเชิงเทรา มาถึงแล้วแปดริ้ว ไวเกินคาด พอลงรถไฟมาทีนี้ จะไปทางไหนต่อดีล่ะ รู้แต่ว่าตอนนี้ หิว!!!
ถ้าเกิดใครที่ยังไม่เคยมา อาจจะอึ้งๆเล็กน้อย ว่าไปไหนต่อดี จะไปเที่ยวยังไง ซึ่งสำหรับแปดริ้วง่าย มากๆ เพราะคนที่นี่ใจดี เอ่ยปากถามที ก็ได้คำตอบมากมายเลยครับ
การเดินทางในแปดริ้ว ค่อนข้างสะดวกครับ เพราะมีทั้งรถสองแถว รถมอเตอร์ไซต์ และรถสามล้อรับจ้าง
ถ้าเอาสบาย ก็สามล้อ ถ้าเอาเร็วก็มอไซต์ แต่ถ้าเอางบประหยัดสบายกระเป๋า ก็สองแถวได้เลยครับ
สองแถวที่นี่มีหลายสายมาก และก็มีมารอรับผู้โดยสารอยู่ที่สถานีรถไฟแล้วหากว่าคุณจะเดินทางเข้าตัวเมือง แต่ผมเลือกไปบางคล้าก่อน ในตอนเช้า
การเดินทางไปอำเภอบางคล้า ผมต้องข้ามถนนแล้วเดินเลยไปเยื้องๆกับฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ เพื่อไปขึ้นรถสองแถวที่ สถานีขนส่ง รถสองแถวสีส้ม จอดรอให้บริการผมอยู่แล้ว แล้วผมก็จัดแจงขึ้นไปนั่งรถเวลารถออก
07.50 น. รถสองแถวออกจากขนส่ง มุ่งตรงไปยังอำเภอบางคล้า เพื่อนร่วมเดินทางเพียบครับ ไม่ต้องห่วง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นขาประจำ ขาจรอย่างผมมีน้อยครับ
08.30 น. รถสองแถวก็มาถึงอำเภอบางคล้า แต่ว่าไปไม่ถึงตลาดน้ำ เอาล่ะหว่าทำไงดี…
แต่อย่างที่บอกแล้วว่าคนแปดริ้วใจดี พี่คนขับก็ยอมมาส่งที่ตลาดน้ำให้ฟรีๆ น่ารักจริงเชียว
ตลาดน้ำบางคล้าอยู่ไม่ไกลเท่าไรจากจุดจอดสองแถวครับ ประมาณ500เมตรได้ ของกินที่นี่ ละลานตามากๆ แม้จะไม่ต่างจากตลาดน้ำอื่นๆทั่วไป แต่ว่า อร่อยๆ เพียบ
ฝากท้องมื้อเช้ากับตลาดน้ำบางคล้าเรียบร้อย ผมก็เดินดูของที่วางขายไปเรื่อยๆ ก่อนจะบ๊ายบายตลาดน้ำ เพื่อไปเยี่ยมบางคล้าต่อ
ในอำเภอบางคล้า รถโดยสารที่โดดเด่น ถูกใจมากครับ เป็นรถสกายแลป คลาสสิคน่านั่งจิงเชียว มีทั้งแบบเป็นรถเครื่องและรถถีบ เลือกใช้บริการกันได้ ส่วนผมขอแค่ถ่ายรูป แล้วเล่นเดินเที่ยวเป็นพอ
ผมเดินมาสุดที่วัดโพธิ์บางคล้า วัดดังของอำเภอนี้
ที่นี่มีค้างคาวเยอะมากครับ นับพันตัว นอนห้อยหัวเกาะกิ่งต้นโพธิ์ หลับตาพริ้มเชียว บรรยากาศในวัดร่มรื่นมากๆ ถือโอกาสไว้พระ และนั่งพักเอาแรงไปในตัว
อันที่จริงในอำเภอบางคล้ามีที่เที่ยวอีกมากพอสมควร พวกวัดวาอาราม อนุสาวรีย์ หมู่บ้านทำน้ำตาลสด หรือระหว่างทางที่มาอำเภอบางคล้า ก็มีวัดที่เป็นโบสถ์แสตนเลส สวยงามมากๆ แล้วก็มีวัดสมานรัตนาราม ที่มีพระพิฆเนศวรปางนอนองค์ใหญ่ เพียงแต่ผมไม่ได้แวะเท่านั้นเอง
11.00 น. ออกจากบางคล้า ด้วยสองแถวสายเดิม เพื่อมาต่อรถที่บขส. โดยจุดหมายต่อไปของผมคือ วัดศักดิ์สิทธิ์ แสนโด่งของแปดริ้ว “วัดโสธรวรารามวรวิหาร” หรือวัดหลวงพ่อโสธรนั่นเอง
11.55 น. เบื้องหน้าคือโบสถ์หินอ่อนที่สร้างใหม่ ของวัดหลวงพ่อโสธร
ผมไม่ได้มากราบสักการะองค์หลวงพ่อโสธรมานานมากแล้ว มาอีกทีก็ปรากฏโบสถ์หลังใหม่ สวยงามด้วยหินอ่อนทั้งหลัง สุดยอดมากเลยครับฝีมือช่างชาวไทย
คนที่มากราบไหว้ ยังแน่นขนัดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน บางคนมาสักการะเป็นสิริมงคล บางคนมาพร้อมของไหว้แก้บน แต่ทุกคนก็มาด้วยใจเดียวกัน คือความศรัทธา
หลังจากที่ผมสักการะ ขอพร และแหวกออกมาจากผู้คนที่เนืองแน่นได้สำเร็จ บอกตามตรง น้ำตาไหลพรากด้วยเหตุจากควันธูป
ข้ามมายังฝั่งตรงข้ามวัด ขนมของฝากเนืองแน่นเช่นเคยครับ มีประมาณ3-4ตรอก ทุกตรอกเต็มไปด้วยแผง ขนม อาหาร ของฝาก นานาชนิด ขนมจากเอย ข้าวหลามเอย ปลาหมึกแห้งเอย น้ำตาลสดเอย และก็อีกมากมายครับ
ระหว่างที่ผมเดินดู แม่ค้าทุกคนก็ต่าง หยิบยื่นของดีของร้านมาให้ชิม ซึ่งบอกตามตรงผมเกรงใจ เพราะไม่ได้กะจะซื้อ แต่คุณลุง คุณป้าทั้งหลาย ก็พยายามยื่น แล้วบอกผมว่า ชิมเถิดพ่อหนุ่ม ไม่ซื้อไม่เป็นไร
มีประโยคหนึ่งที่โดนใจผมมากครับ คือ ลุงคนหนึ่งที่ขายข้ามหลาม ก็บอกกับผมในขณะที่ยื่นข้าวหลามให้ผมชิม แกบอกว่า “ไม่ซื้อไม่ว่า แต่อยากให้ชิม จะได้รู้ว่าของแปดริ้ว ก็มีดีเช่นกัน”ผมเลยต้องชิมตามคำบอกของแกครับ
ผมยอมรับว่าตอนแรกผมสงสัย ข้าวหลามแปดริ้ว จะสู้หนองมนได้หรอ แต่พอชิมเท่านั้นล่ะ หูยยย อร่อยยยมากครับ ข้าวหลามเผาสดๆ หอมหวานมันกำลังดี แหม ติดใจ (แต่ไม่ได้ซื้อนะครับ)
ความสงสัยผมไม่ได้หมดแค่นี้นะครับ อย่างน้ำตาลสดก็เช่นกัน ผมจำมาตลอดเลยว่า น้ำตาลสดต้องเพชรบุรี แต่พอมาที่แปดริ้วนี่ ผมเปลี่ยนความคิดไปตลอดกาล
ทีแรกผมเห็นน้ำตาลสดสีออกเทาๆ หน่อย ผมก็เอะใจละ ว่าเอ๊ะ มันไม่ต้องเป็นสีออกน้ำตาลเหลืองๆหน่อย แบบที่เคยกินหรอ?
แล้วก็ถึงบางอ้อครับ ว่า น้ำตาลสดที่ผ่านการเผา และไม่ขัดสี จะมีสีเทาแบบน้ำตาลสดบางคล้าตามที่เห็นนี่แหละครับ แล้วคือ มันอร่อย และก็หอมมาก ความหวานกำลังดี ไม่มากเกินไม่แสบคอ จนทำให้ผมติดใจหิ้วกลับบ้านจนได้ครับ
หลุดจากตลาดของฝากตรงข้ามวัดโสธรได้ บอกเลยว่าอิ่มครับ อิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจ ขอบคุณทุกของฝากที่หยิบยื่นให้ผมชิม พร้อมกับสีหน้าที่แสนจะยิ้มแย้มของคุณลุงคุณป้าทุกคนนะครับ ผมประทับใจมากเลยจริงๆ
แล้วก็ถึงเวลาลุยต่อ...