รังนกแท้ แค่ 1%
หลังจากมีป้าย "ส่วนประกอบของรังนกสำเร็จรูปชื่อดัง ใส่รังนกแท้แค่ 1%"
ถูกนำมาติดไว้บริเวณก่อนจ่ายค่าผ่านทางด่วนประมาณ 80 จุด
สร้างความสนใจและข้องใจแก่ผู้สัญจรผ่านไปมา
จนมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ออกมาตรวจสอบและระบุว่าส่วนประกอบของรังนกนั้นมีราว 1% ตามป้าย
ที่จริงแล้วฉลากของผลิตภัณฑ์รังนกก็ได้ระบุด้วยตัวอักษรเล็กๆ ไว้แล้ว
ว่าใส่รังนก 1% แต่ประเด็นมันอยู่ที่ รังนกบางยี่ห้อใส่ข้อความสะดุดตากว่าไว้บนฉลาก
ว่า "รังนกแท้ 100%" จนทำให้ผู้บริโภคส่วนหนึ่งสับสนและเข้าใจผิด
“รังนกแท้ 100%” หมายถึง ผลิตภัณฑ์นี้ใส่รังนกของจริง เป็นรังนกที่นกสร้างจริงๆ
ไม่ได้ปลอมปนวุ้นเส้น หรือองค์ประกอบอื่นๆ ให้ดูเหมือนรังนก สรุปคือ ไม่ได้ใส่รังนกปลอมนั่นเอง แต่ใส่แค่ 1% นะ
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคสับสน อย. จะดำเนินการพิจารณาทบทวนข้อความการโฆษณาอีกครั้ง
นั่นก็เป็นเรื่องของการโฆษณาที่ต้องพิจารณาความเหมาะสมกันต่อไป
สิ่งสำคัญกว่าคือ คุณค่าของรังนกนั้นมีมากแค่ไหน ถึงแม้จะใส่เพียง 1%
แต่ถ้ามันมีคุณประโยชน์กับร่างกายดังคำร่ำลือ จะใส่น้อยหรือมาก ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมานับพันปีของจีน ถือว่า "รังนก"
เป็นสุดยอดอาหารบำรุงร่างกาย มีสรรพคุณสารพัด ทั้งป้องกันโรค
บำรุงปอดและทางเดินหายใจ บรรเทาอาการภูมิแพ้ ฯลฯ เป็นของหายากและมีราคาแพง
ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ลิ้มรส จนรังนกถูกขนานนามว่า ทองคำขาวแห่งท้องทะเล หรือ คาร์เวียแห่งตะวันออก
แต่ใช่ว่าภูมิปัญญาเก่าแก่จะถูกต้องเสมอไป ตำราเล่นแร่แปลธาตุของจีนในสมัยจิ๋นก็มีบันทึกว่า
ปรอทและสารหนูทำให้มีชีวิตอมตะ เป็นส่วนประกอบของน้ำอมฤต
ซึ่งปัจจุบันรู้กันดีว่าทั้งปรอทและสารหนูมีพิษร้ายแรงมาก
ดังนั้นเราจึงไม่ควรเชื่อเพราะคนเขาบอกต่อกันมา ทำต่อกันมา
หรืออ้างตำราเก่าแก่ แต่ต้องไตร่ตรองด้วยปัญญา พิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษก่อนจะเชื่อ
รังนกที่นำมารับประทานนั้นเป็นน้ำลายนกนางแอ่นที่คายออกมาสร้างรังเพื่อวางไข่
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยเคยวิเคราะห์ส่วนประกอบของตัวรังนกแล้ว
พบว่า
ประกอบด้วย โปรตีน 60.9% แคลเซียม 0.58% โปแตสเซียม 0.03% น้ำ 5.11%
ดังนั้น
สารอาหารหลักที่ได้จากการบริโภครังนกก็คือโปรตีน
ส่วนรังนกสำเร็จรูปที่ใส่รังนก 1% นั้น สถาบันวิจัยโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดลวิเคราะห์ได้องค์ประกอบดังตาราง
จะเห็นว่ารังนกสำเร็จรูป 1 ขวด มีสารอาหารน้อยกว่าไข่ไก่ 1 ฟอง มีโปรตีนเพียง 0.25 กรัม
หากต้องการโปรตีนให้ได้เท่ากับไข่ไก่ต้องกินรังนกสำเร็จรูปถึง 26 ขวด
หรือหากเทียบเป็นปริมาณ ถั่วลิสงเพียง 2 เมล็ด ก็มีโปรตีน 0.25 กรัม เท่ากับรังนกแล้ว
ทั้งที่เป็นโปรตีนเหมือนกัน คุณภาพของโปรตีนแทบไม่ต่างกัน
(คุณภาพโปรตีนพิจารณาจากสัดส่วนกรดอะมิโนที่จำเป็น) แต่ราคารังนกกลับสูงลิ่ว
ในแง่โภชนาการ สิ่งที่บำรุงร่างกายได้ดีที่สุดคือ อาหารที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่
ในรังนกมีโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ สารอาหารอื่นมีเพียงเล็กน้อย
ยังห่างไกลจากการเป็นอาหารที่มีประโยชน์ และสารอาหารแทบทั้งหมดสามารถหาได้จากอาหารอื่นที่ราคาถูกกว่าด้วย
สรรพคุณรังนก
หลายคนอาจคิดว่า การเปรียบเทียบรังนกกับไข่ไก่ไม่ถูกต้องนัก
เพราะการบริโภครังนกไม่ได้ต้องการสารอาหารแบบเดียวกับที่บริโภคไข่หรืออาหารอย่างอื่น
แต่บริโภครังนกในฐานะสมุนไพรชนิดหนึ่งแม้จะให้โปรตีนนิดหน่อย
ให้พลังงานไม่มาก ก็ไม่เห็นเป็นไร ที่กินเพราะหวังสรรพคุณทางยาต่างหาก
ที่จริงแล้วความเชื่อนับพันปีเกี่ยวกับรังนก ทำให้มีผู้วิจัยมากมายพยายามทดสอบสรรพคุณ
และสารออกฤทธิ์ที่คาดว่ามีอยู่ในรังนกเพื่อนำมาใช้ประโยชน์
แต่จนบัดนี้ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนออกมายืนยัน
หรือแสดงให้เห็นคุณประโยชน์อย่างประจักษ์ชัดว่าบำรุงร่างกายอย่างไร
หรือสารใดในรังนกที่มีสรรพคุณดังที่ร่ำลือมานับพันปี
งานวิจัยที่ใกล้เคียงที่สุดเห็นจะเป็น ผลการศึกษาที่พบว่า ใน
รังนกมีสารประเภทไกลโคโปรตีนชื่อ N-acetylmuraminic acid หรือ NANA ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza) และแบคทีเรียหลายชนิด
ผลการค้นพบเรื่องนี้ถูกนำไปใช้โฆษณาเสริมสรรพคุณของรังนกทำนองว่า
มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์มายืนยันถึงประโยชน์ของนังนกแล้วนะ
แต่สิ่งที่หยิบยกมาโฆษณานั้นเป็นเพียงความจริงส่วนเดียวของงานวิจัยเท่านั้น
งานวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของ NANA ในรังนกนั้น ใช้วิธีนำสกัดสาร (ที่ไม่ใช่โปรตีน) ออกมา
ได้เป็นสารละลายที่เช้มข้นระดับหนึ่ง ซึ่งมี NANA เป็นส่วนประกอบ จากนั้นจึงนำไปทดสอบฤทธิ์ในการต้านเชื้อโรค
วิธีการทดสอบสรรพคุณของสารสกัดจากรังนกก็ไม่ใช่ให้คนลองกินหรือฉีดใส่หนูทดลอง
แต่เป็นการทดสอบกับเซลล์ที่เลี้ยงไว้ในขวดทดลอง (cell culture)
คือนำเซลล์มาเลี้ยงให้โตอยู่บนพื้นผิวด้วยอาหารเหลวสังเคราะห์
แล้วทำให้เซลล์ติดเชื้อไวรัส จากนั้นจึงเติมสารสกัดจากรังนกที่ความเข้มข้นต่างๆ ลงไป
ปรากฏว่าเชื้อไวรัสถูกยับยั้งการเจริญเติบโต
ผู้วิจัยสรุปว่า "สารสกัดจากรังนกสามามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ในหลอดทดลอง ส่วนผลในมนุษย์นั้นยังต้องศึกษาต่อไป"
หรือพูดง่ายๆ ก็คือการทดลองนี้เป็นงานขั้นพื้นฐานที่ทดสอบกับเซลล์เท่านั้น
ส่วนผลจากการกินรังนกในมนุษย์นั้นยังไม่มีข้อสรุป
งานวิจัยดังกล่าวเผยแพร่ในปี 2549 จนบัดนี้ผ่านมา 5 ปี
แล้วยังไม่มีผลยืนยันถึงผลของสารสกัดรังนกในมนุษย์ออกมาเลย
การที่มีผลยับยั้งไวรัสในหลอดทดลอง (in vitro)
ไม่ได้เเปลว่าจะใช้ได้ผลในมนุษย์หรือในสิ่งมีชีวิต (in vivo)
สมุนไพรหลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อโรค
หรือแม้แต่ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ในหลอดทดลอง
แต่กลับไม่มีผลเช่นเดียวกันในมนุษย์หรือสัตว์ทดลองเลย
ทั้งนี้เพราะสารที่เข้าไปในร่างกายจะต้องผ่านด่านภูมิคุ้มกัน ระบบย่อย
ทำให้ปริมาณลดลง และยังไม่แน่ว่าจะเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่มีเชื้อโรคอยู่หรือไม่
ในการทดลองใช้สารสกัดที่เข้มข้นใส่ไปที่เซลล์และไวรัสโดยตรงจึงเห็นผลชัดเจน
แต่ผลิตภัณฑ์รังนกนั้น นอกจากจะใช้ปริมาณเพียงเล็กน้อย แค่ 1 % ในขวด
ผ่านกระบวนการต้มและเติมสารอื่นๆ กว่าจะผ่านระบบย่อย ดูดซึม
จะเหลือไปถึงเชื้อโรค หรือเหลือไปบำรุงร่างกายมากแค่ไหน?
นอกจากนี้ ในการทดลองรังนกที่มาจากธรรมชาติเท่านั้นที่มีสรรพคุณยับยั้งเชื้อไวรัส
รังนกที่ได้มาจากการเลี้ยงมีสรรพคุณนี้ต่ำมาก
แล้วคิดว่ารังนกที่นำมาบรรจุขวดนั้นทำมาจากรังนกแบบไหน?
รังนกก็มีอันตราย
อีกประเด็นหนึ่งที่มีงานวิจัยออกมา แต่ไม่ค่อยมีใครนำมากล่าวถึงเพราะไม่เป็นผลดีกับการค้า
คือ
รังนกก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้
หลายคนคงคุ้นเคยกับอาการแพ้อาหารทะเล เช่น กุ้งหรือปู เพราะมีคนเป็นภูมิแพ้ลักษณะนี้ค่อนข้างมาก
แต่ทราบหรือไม่ว่า มีจำนวน
ผู้แพ้รังนกมากกว่าแพ้อาหารทะเลเสียอีก!
มากกว่าผู้แพ้ไข่และนมถึง 3 เท่า แถมยังเป็นอาการแพ้แบบรุนแรง (Angioedema)
ซึ่งจะทำให้ร่างกายบวม หลอดและปอดบวมจนหายใจไม่ออก เป็นอันตรายถึงชีวิต
เพราะฉะนั้นที่บอกว่ารังนกมีสรรพคุณรักษาโรคภูมิแพ้ได้ก็ไม่น่าจะเป็นความจริง
ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อต่อต้านการบริโภครังนกแต่อย่างใด
ไม่ได้เป้าหมายที่จะโจมตีผลิตภัณฑ์รังนกเหมือนกลุ่มที่คัดค้านธุรกิจนี้
ซึ่งได้นำเสนอข้อมูลในทำนองว่า การกินรังนกเป็นการกระทำที่โหดร้าย
เป็นการพรากบ้านของนกไปจากแม่นก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสะเทือนใจเป็นหลัก
เช่น บอกว่ารังนกสีแดงมาจากนกกระอักเลือดออกมาเพราะสร้างรังหลายครั้ง
(ซึ่งไม่เป็นความจริง สีแดงของรังนกเป็นแร่ธาตุที่มาจากผนังถ้ำ)
เพราะที่จริงแล้วการที่เราบริโภคสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ
ก็เป็นการเบียดเบียนชีวิตอื่นๆ ไม่ต่างกัน
บทความนี้เพียงแต่นำเสนอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับรังนก
ทั้งส่วนที่มีผู้กล่าวอ้าง (บางส่วน) บ่อยๆ และส่วนที่จงใจไม่กล่าวถึง
เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงคุณประโยชน์ก่อนตัดสินใจ
หากทราบข้อมูลในหลากหลายแง่มุมแล้ว
ยังเห็นว่ารังนกคุ้มค่าที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อบริโภคก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล
ในฐานะผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อเพียงพอ
รังนกมีราคาแพงเพราะกว่าจะได้มานั้นยากลำบาก
ซึ่งอาจขายในฐานะอาหารหรูหราเช่นเดียวกับอาหารราคาแพงอื่นๆ
เช่น คาร์เวีย (ไข่ปลา) ฟัวกรา (ตับห่าน) หรือ ลอบสเตอร์ (กุ้ง)
ซึ่งผู้บริโภคก็ยินดีจ่ายด้วยราคาสูงลิ่วโดยไม่จำเป็นต้องอ้างสรรพคุณใดๆ เลย
หากชื่นชอบในรสชาติ ผู้คนย่อมยินดีจะซื้อหาบริโภค
แต่การอ้างสรรพคุณที่ยังไม่มีการยืนยัน สร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นยาบำรุง
เป็นการสร้างความหวังและความเข้าใจผิดให้ผู้บริโภค
ซึ่งก็คือการโกหกแบบสวยหรูนั่นเอง
ที่มา :
http://www.vcharkarn.com/varticle/43171
รังนกแท้ แต่คุณค่าแค่ไหน มาดูกัน
หลังจากมีป้าย "ส่วนประกอบของรังนกสำเร็จรูปชื่อดัง ใส่รังนกแท้แค่ 1%"
ถูกนำมาติดไว้บริเวณก่อนจ่ายค่าผ่านทางด่วนประมาณ 80 จุด
สร้างความสนใจและข้องใจแก่ผู้สัญจรผ่านไปมา
จนมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ออกมาตรวจสอบและระบุว่าส่วนประกอบของรังนกนั้นมีราว 1% ตามป้าย
ที่จริงแล้วฉลากของผลิตภัณฑ์รังนกก็ได้ระบุด้วยตัวอักษรเล็กๆ ไว้แล้ว
ว่าใส่รังนก 1% แต่ประเด็นมันอยู่ที่ รังนกบางยี่ห้อใส่ข้อความสะดุดตากว่าไว้บนฉลาก
ว่า "รังนกแท้ 100%" จนทำให้ผู้บริโภคส่วนหนึ่งสับสนและเข้าใจผิด
“รังนกแท้ 100%” หมายถึง ผลิตภัณฑ์นี้ใส่รังนกของจริง เป็นรังนกที่นกสร้างจริงๆ
ไม่ได้ปลอมปนวุ้นเส้น หรือองค์ประกอบอื่นๆ ให้ดูเหมือนรังนก สรุปคือ ไม่ได้ใส่รังนกปลอมนั่นเอง แต่ใส่แค่ 1% นะ
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคสับสน อย. จะดำเนินการพิจารณาทบทวนข้อความการโฆษณาอีกครั้ง
นั่นก็เป็นเรื่องของการโฆษณาที่ต้องพิจารณาความเหมาะสมกันต่อไป
สิ่งสำคัญกว่าคือ คุณค่าของรังนกนั้นมีมากแค่ไหน ถึงแม้จะใส่เพียง 1%
แต่ถ้ามันมีคุณประโยชน์กับร่างกายดังคำร่ำลือ จะใส่น้อยหรือมาก ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมานับพันปีของจีน ถือว่า "รังนก"
เป็นสุดยอดอาหารบำรุงร่างกาย มีสรรพคุณสารพัด ทั้งป้องกันโรค
บำรุงปอดและทางเดินหายใจ บรรเทาอาการภูมิแพ้ ฯลฯ เป็นของหายากและมีราคาแพง
ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ลิ้มรส จนรังนกถูกขนานนามว่า ทองคำขาวแห่งท้องทะเล หรือ คาร์เวียแห่งตะวันออก
แต่ใช่ว่าภูมิปัญญาเก่าแก่จะถูกต้องเสมอไป ตำราเล่นแร่แปลธาตุของจีนในสมัยจิ๋นก็มีบันทึกว่า
ปรอทและสารหนูทำให้มีชีวิตอมตะ เป็นส่วนประกอบของน้ำอมฤต
ซึ่งปัจจุบันรู้กันดีว่าทั้งปรอทและสารหนูมีพิษร้ายแรงมาก
ดังนั้นเราจึงไม่ควรเชื่อเพราะคนเขาบอกต่อกันมา ทำต่อกันมา
หรืออ้างตำราเก่าแก่ แต่ต้องไตร่ตรองด้วยปัญญา พิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษก่อนจะเชื่อ
รังนกที่นำมารับประทานนั้นเป็นน้ำลายนกนางแอ่นที่คายออกมาสร้างรังเพื่อวางไข่
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยเคยวิเคราะห์ส่วนประกอบของตัวรังนกแล้ว
พบว่าประกอบด้วย โปรตีน 60.9% แคลเซียม 0.58% โปแตสเซียม 0.03% น้ำ 5.11%
ดังนั้นสารอาหารหลักที่ได้จากการบริโภครังนกก็คือโปรตีน
ส่วนรังนกสำเร็จรูปที่ใส่รังนก 1% นั้น สถาบันวิจัยโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดลวิเคราะห์ได้องค์ประกอบดังตาราง
จะเห็นว่ารังนกสำเร็จรูป 1 ขวด มีสารอาหารน้อยกว่าไข่ไก่ 1 ฟอง มีโปรตีนเพียง 0.25 กรัม
หากต้องการโปรตีนให้ได้เท่ากับไข่ไก่ต้องกินรังนกสำเร็จรูปถึง 26 ขวด
หรือหากเทียบเป็นปริมาณ ถั่วลิสงเพียง 2 เมล็ด ก็มีโปรตีน 0.25 กรัม เท่ากับรังนกแล้ว
ทั้งที่เป็นโปรตีนเหมือนกัน คุณภาพของโปรตีนแทบไม่ต่างกัน
(คุณภาพโปรตีนพิจารณาจากสัดส่วนกรดอะมิโนที่จำเป็น) แต่ราคารังนกกลับสูงลิ่ว
ในแง่โภชนาการ สิ่งที่บำรุงร่างกายได้ดีที่สุดคือ อาหารที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่
ในรังนกมีโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ สารอาหารอื่นมีเพียงเล็กน้อย
ยังห่างไกลจากการเป็นอาหารที่มีประโยชน์ และสารอาหารแทบทั้งหมดสามารถหาได้จากอาหารอื่นที่ราคาถูกกว่าด้วย
สรรพคุณรังนก
หลายคนอาจคิดว่า การเปรียบเทียบรังนกกับไข่ไก่ไม่ถูกต้องนัก
เพราะการบริโภครังนกไม่ได้ต้องการสารอาหารแบบเดียวกับที่บริโภคไข่หรืออาหารอย่างอื่น
แต่บริโภครังนกในฐานะสมุนไพรชนิดหนึ่งแม้จะให้โปรตีนนิดหน่อย
ให้พลังงานไม่มาก ก็ไม่เห็นเป็นไร ที่กินเพราะหวังสรรพคุณทางยาต่างหาก
ที่จริงแล้วความเชื่อนับพันปีเกี่ยวกับรังนก ทำให้มีผู้วิจัยมากมายพยายามทดสอบสรรพคุณ
และสารออกฤทธิ์ที่คาดว่ามีอยู่ในรังนกเพื่อนำมาใช้ประโยชน์
แต่จนบัดนี้ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนออกมายืนยัน
หรือแสดงให้เห็นคุณประโยชน์อย่างประจักษ์ชัดว่าบำรุงร่างกายอย่างไร
หรือสารใดในรังนกที่มีสรรพคุณดังที่ร่ำลือมานับพันปี
งานวิจัยที่ใกล้เคียงที่สุดเห็นจะเป็น ผลการศึกษาที่พบว่า ในรังนกมีสารประเภทไกลโคโปรตีนชื่อ N-acetylmuraminic acid หรือ NANA ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza) และแบคทีเรียหลายชนิด
ผลการค้นพบเรื่องนี้ถูกนำไปใช้โฆษณาเสริมสรรพคุณของรังนกทำนองว่า
มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์มายืนยันถึงประโยชน์ของนังนกแล้วนะ
แต่สิ่งที่หยิบยกมาโฆษณานั้นเป็นเพียงความจริงส่วนเดียวของงานวิจัยเท่านั้น
งานวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของ NANA ในรังนกนั้น ใช้วิธีนำสกัดสาร (ที่ไม่ใช่โปรตีน) ออกมา
ได้เป็นสารละลายที่เช้มข้นระดับหนึ่ง ซึ่งมี NANA เป็นส่วนประกอบ จากนั้นจึงนำไปทดสอบฤทธิ์ในการต้านเชื้อโรค
วิธีการทดสอบสรรพคุณของสารสกัดจากรังนกก็ไม่ใช่ให้คนลองกินหรือฉีดใส่หนูทดลอง
แต่เป็นการทดสอบกับเซลล์ที่เลี้ยงไว้ในขวดทดลอง (cell culture)
คือนำเซลล์มาเลี้ยงให้โตอยู่บนพื้นผิวด้วยอาหารเหลวสังเคราะห์
แล้วทำให้เซลล์ติดเชื้อไวรัส จากนั้นจึงเติมสารสกัดจากรังนกที่ความเข้มข้นต่างๆ ลงไป
ปรากฏว่าเชื้อไวรัสถูกยับยั้งการเจริญเติบโต
ผู้วิจัยสรุปว่า "สารสกัดจากรังนกสามามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ในหลอดทดลอง ส่วนผลในมนุษย์นั้นยังต้องศึกษาต่อไป"
หรือพูดง่ายๆ ก็คือการทดลองนี้เป็นงานขั้นพื้นฐานที่ทดสอบกับเซลล์เท่านั้น
ส่วนผลจากการกินรังนกในมนุษย์นั้นยังไม่มีข้อสรุป
งานวิจัยดังกล่าวเผยแพร่ในปี 2549 จนบัดนี้ผ่านมา 5 ปี
แล้วยังไม่มีผลยืนยันถึงผลของสารสกัดรังนกในมนุษย์ออกมาเลย
การที่มีผลยับยั้งไวรัสในหลอดทดลอง (in vitro)
ไม่ได้เเปลว่าจะใช้ได้ผลในมนุษย์หรือในสิ่งมีชีวิต (in vivo)
สมุนไพรหลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อโรค
หรือแม้แต่ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ในหลอดทดลอง
แต่กลับไม่มีผลเช่นเดียวกันในมนุษย์หรือสัตว์ทดลองเลย
ทั้งนี้เพราะสารที่เข้าไปในร่างกายจะต้องผ่านด่านภูมิคุ้มกัน ระบบย่อย
ทำให้ปริมาณลดลง และยังไม่แน่ว่าจะเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่มีเชื้อโรคอยู่หรือไม่
ในการทดลองใช้สารสกัดที่เข้มข้นใส่ไปที่เซลล์และไวรัสโดยตรงจึงเห็นผลชัดเจน
แต่ผลิตภัณฑ์รังนกนั้น นอกจากจะใช้ปริมาณเพียงเล็กน้อย แค่ 1 % ในขวด
ผ่านกระบวนการต้มและเติมสารอื่นๆ กว่าจะผ่านระบบย่อย ดูดซึม
จะเหลือไปถึงเชื้อโรค หรือเหลือไปบำรุงร่างกายมากแค่ไหน?
นอกจากนี้ ในการทดลองรังนกที่มาจากธรรมชาติเท่านั้นที่มีสรรพคุณยับยั้งเชื้อไวรัส
รังนกที่ได้มาจากการเลี้ยงมีสรรพคุณนี้ต่ำมาก
แล้วคิดว่ารังนกที่นำมาบรรจุขวดนั้นทำมาจากรังนกแบบไหน?
รังนกก็มีอันตราย
อีกประเด็นหนึ่งที่มีงานวิจัยออกมา แต่ไม่ค่อยมีใครนำมากล่าวถึงเพราะไม่เป็นผลดีกับการค้า
คือ รังนกก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้
หลายคนคงคุ้นเคยกับอาการแพ้อาหารทะเล เช่น กุ้งหรือปู เพราะมีคนเป็นภูมิแพ้ลักษณะนี้ค่อนข้างมาก
แต่ทราบหรือไม่ว่า มีจำนวนผู้แพ้รังนกมากกว่าแพ้อาหารทะเลเสียอีก!
มากกว่าผู้แพ้ไข่และนมถึง 3 เท่า แถมยังเป็นอาการแพ้แบบรุนแรง (Angioedema)
ซึ่งจะทำให้ร่างกายบวม หลอดและปอดบวมจนหายใจไม่ออก เป็นอันตรายถึงชีวิต
เพราะฉะนั้นที่บอกว่ารังนกมีสรรพคุณรักษาโรคภูมิแพ้ได้ก็ไม่น่าจะเป็นความจริง
ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อต่อต้านการบริโภครังนกแต่อย่างใด
ไม่ได้เป้าหมายที่จะโจมตีผลิตภัณฑ์รังนกเหมือนกลุ่มที่คัดค้านธุรกิจนี้
ซึ่งได้นำเสนอข้อมูลในทำนองว่า การกินรังนกเป็นการกระทำที่โหดร้าย
เป็นการพรากบ้านของนกไปจากแม่นก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสะเทือนใจเป็นหลัก
เช่น บอกว่ารังนกสีแดงมาจากนกกระอักเลือดออกมาเพราะสร้างรังหลายครั้ง
(ซึ่งไม่เป็นความจริง สีแดงของรังนกเป็นแร่ธาตุที่มาจากผนังถ้ำ)
เพราะที่จริงแล้วการที่เราบริโภคสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ
ก็เป็นการเบียดเบียนชีวิตอื่นๆ ไม่ต่างกัน
บทความนี้เพียงแต่นำเสนอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับรังนก
ทั้งส่วนที่มีผู้กล่าวอ้าง (บางส่วน) บ่อยๆ และส่วนที่จงใจไม่กล่าวถึง
เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงคุณประโยชน์ก่อนตัดสินใจ
หากทราบข้อมูลในหลากหลายแง่มุมแล้ว
ยังเห็นว่ารังนกคุ้มค่าที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อบริโภคก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล
ในฐานะผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อเพียงพอ
รังนกมีราคาแพงเพราะกว่าจะได้มานั้นยากลำบาก
ซึ่งอาจขายในฐานะอาหารหรูหราเช่นเดียวกับอาหารราคาแพงอื่นๆ
เช่น คาร์เวีย (ไข่ปลา) ฟัวกรา (ตับห่าน) หรือ ลอบสเตอร์ (กุ้ง)
ซึ่งผู้บริโภคก็ยินดีจ่ายด้วยราคาสูงลิ่วโดยไม่จำเป็นต้องอ้างสรรพคุณใดๆ เลย
หากชื่นชอบในรสชาติ ผู้คนย่อมยินดีจะซื้อหาบริโภค
แต่การอ้างสรรพคุณที่ยังไม่มีการยืนยัน สร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นยาบำรุง
เป็นการสร้างความหวังและความเข้าใจผิดให้ผู้บริโภค
ซึ่งก็คือการโกหกแบบสวยหรูนั่นเอง
ที่มา : http://www.vcharkarn.com/varticle/43171