ใครที่ไม่เคยฝึกสมาธิได้จิตรวมดีๆสักครั้ง หรือใครที่เคยได้แต่เสื่อมไปแล้วและอยากเอาคืน...มาลองวิธีนี้ ไม่ยากนัก

....หมายถึงจิตรวมลงเป็นสมาธิแบบแน่นหนา ในระดับอัปปนาสมาธิ หรือฌานระดับใดระดับหนึ่ง....

....บางคน เคยเจออาการที่จิตรวมงวูบลงเต็มที่มาแล้ว  คงเข้าใจ...บางคนไม่เคยเจอมาก่อน อยากได้ อยากเจอกับเขาบ้างสักครั้ง

....บางคนที่เคยเจอมาแล้ว  และเสื่อมไปแล้ว อยากทำได้อีก อยากเอาคืน...


มีวิธีการทำง่ายๆ อย่างหนึ่ง  เป็นวิธีการแบบเดียวกับที่หลวงตามหาบัวเคยเอามาใช้เพื่อทำจิตที่เสื่อมเพราะไปทำกลด ให้กลับคืนมาเป็นสมาธิแบบเดิม

...วิธีการ คือ..


....จัดสรรค์หาเวลาว่างให้ตนเองให้เต็มที่  ไม่มีภาระอะไรให้กังวล อย่างน้อยสักครึ่งเดือน  แล้วหลีกหลบตนเองไปหาที่ภาวนาเหมาะๆ  โดยเฉพาะตามสำนักภาวนาที่ถูกจริต  ...

....แล้วทำดังต่อไปนี้ ....


....ตั้งใจว่า ตลอดระยะเวลา ๗ วันต่อไป.. จะกำหนดจิตท่องคำบริกรรมที่ชอบ ที่ถนัด เช่นคำบริกรรมว่า  พุทโธๆๆๆ...เริ่มจากวินาทีแรกที่ตื่นนอนไปเรื่อยๆ ติดต่อไปตลอดทั้งวัน ตั้งใจว่าจะไม่ให้เผลอหลุดแม้สักคำเดียว  ถ้าหลุดก็รู้ทัน รีบท่องต่อทันที  แต่อย่าให้หลุดเกิน ๕ ครั้ง ในแต่ละวัน จนกระทั่งเริ่มกลับมานอนหลับ ก็ให้หลับไปกับคำบริกรรมที่ท่องอยู่นั้น ..เมื่อตื่นมาวันใหม่ก็ทำต่อทันทีที่รู้สึกตัวตื่น นั่นหมายถึง ชีวิตในแต่ละวันที่ผ่านไป ทุกๆวินาทีที่ตื่น จะมีคำบริกรรมเช่น พุทโธๆๆๆๆ..ผุดอยู่ในใจติดต่อไปตลอดไม่หยุดเลย  คล้ายๆจิตจะต้องท่องไปเรื่อยๆๆ แบบนั้นเป็นอัตโนมัติ

....ถ้าใครทำได้แบบนั้น  รับประกันว่า อย่างช้าที่สุด ไม่เกิน ๗ วัน จะเห็นจิตรวมลงเป็นอัปปนาสมาธิ เต็มที่  สักครั้ง แน่นอน  ...ซึ่งโดยปกติ ทั่วๆไป เขาจะได้จิตรวมกันเมื่อทำติดต่อไปแค่ ๒ หรือ ๓ วัน แค่นั้นเอง

....หลักสำคัญ หรือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ คือ  ต้องไม่ให้คำบริกรรมหลุดเด็ดขาดตลอดทั้งวันที่ตื่นอยู่ ถ้าจะหลุดบ้าง ก็อย่าให้เกิน ๕ คำต่อวัน  อย่างมาก และทุกๆครั้งที่หลุดต้องรู้ทัน ทันที แล้วรีบท่องต่อทันที .. (ถ้าหลุดเกิน ๕ คำ ก็ต้องไปเริ่มตั้งต้นทำใหม่..นับหนึ่งกันใหม่)

...อาการที่จิตรวมเป็นอัปปนาสมาธิ  จะวิเศษอัศจรรย์มากๆ  เมื่อได้แล้ว  เจอแล้ว จะเข้าใจเอง  รู้เอง  อธิบายคนอื่นๆยาก

   ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

   (ขอเอาข้อความสำคัญๆ  ที่ตอบข้างล่าง มารวมในที่นี่ที่เดียวเลย  จะได้อ่านติดต่อเป็นเนื้อความเดียวกันไปเลย)

   -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
   ..(ต่อ)...
.ควรหาสถานที่ฝึก ที่เป็นวัดป่าสายธุดงค์กรรมฐาน  ที่ดีๆ  อยู่ในป่าเขาเงียบๆ  มีครูบาอาจารย์ดีๆ  ... โดยเฉลี่ยทั่วไปทางภาคอีสานจะดีที่สุดกว่าภาคอื่นๆ  มีบรรยากาศ สัปปายะเหมาะสมกว่าภาคอื่นๆ

.ก่อนฝึกแบบนั้นเราควรไปอยู่ในสำนักก่อนสัก ๗ วันล่วงหน้าทำกิจวัตรไปตามระบบสำนักของเขาก่อนตามปกติ  แล้วต่อจากนั้น เราก็กราบเรียนบอกพระอาจารย์เจ้าสำนักว่า ตั้งใจจะมาฝึกแบบนั้น ... เมื่อพร้อม  ก็ขออนุญาต แยกตัวไปหลบคนเดียวเลย ไม่ยุ่ง ไม่คุย  ไม่ติดต่อกับใคร  เตรียมของกินของใช้ที่จำเป็นไปให้พร้อม  และอย่างน้อยควรถือศีล ๘  จะลองฝึก อดนอน อดอาหาร  ร่วมไปด้วยจะยิ่งเสริมกันดีมากๆ

เวลาฝึกคุณก็ต้องหยุดกิจกรรมอื่นๆทุกๆอย่าง   เช่น ต้องหยุดสวดมนต์ชั่วคราวไปก่อน   อย่าไปห่วงเรื่องสวดมต์ประจำวัน ... และหยุดกิจกรรมอื่นๆให้หมดแทบทุกๆอย่าง   มีแต่ ท่องบริกรรมอย่างเดียว เท่านั้น .. ในโลกนี้มีแต่ใจคุณท่องคำบริกรรมไปเรื่อยๆๆๆๆ  เท่านั้น  อย่าให้มีอะไรอื่นๆ  หรือไปสนใจไปรู้เรื่องอะไรอื่นๆอีก  ....ตัดออกให้หมดทุกๆเรื่อง

....โดยส่วนตัว  ผมเคยใช้วิธีที่บอกนั้น  และได้ผลมาแล้ว....

....ผมเคยได้จิตรวมอย่างดีครั้งแรกตอนอายุ ๑๔  ตอนที่ยังเรียนชั้น ม.ศ. ๒  ในยุคนั้น .. แต่เพราะยังอ่อนหัด  ก็เสื่อมไปในเวลาไม่นาน  ....เสื่อมไปนาน ๗ ปี  จนถึงอายุ ๒๑  เมื่อปิดเทอมใหญ่ฤดูร้อน ปี ๑ กำลังจะขึ้นต่อปี ๒  มีเวลาว่างกว่า ๒ เดือน ผมก็ไปฝึกที่ถ้ำขามกับหลวงปู่ฝั้น  อาจาโร
    ผมก็ลองใช้วิธีที่บอกนั้น  เริ่มอดอาหารไปเรื่อยๆพร้อมด้วย  เมื่ออดอาหารไปได้ประมาณ เกือบ ๑๐ วัน ผมก็เริ่มใช้วิธีกำหนดจิตตามที่แนะนั้น  ทำไปได้ติดต่อ ประมาณ ๒ วันกว่าๆ  ก็มีหลุดบ้างประมาณ ๓-๔  คำ  ถึงคืนที่ ๓ จิตก็รวมลงเต็มที่อีกครั้ง  เหมือนสมัยที่เคยทำได้ตอนอายุ ๑๔   แต่ครั้งนี้รวมได้ลึกกว่า  ละเอียดกว่า  ..ที่โหยหามานานกว่า ๗ ปี ก็ได้กลับคืนมาอีกตอนนั้น ...
    หลังจากนั้น ก็ประคองไปได้อีกระยะหนึ่ง นานพอควร  แต่ก็เสื่อมลงอีก  คราวนี้เสื่อมนานกว่า ๙ ปี  เพราะโดนตัวแทรกโผล่มาเล่นงานด้วย(ตัวคิดลบหลู่ครูบาอาจารย์  ที่เกิดเองจากภายในลึกๆ)
    ก็ใช้วิธีเดิม เอากลับคืนมาอีก   คราวนี้ต้องลงมือฝึกหนักกว่าเดิมมาก  แทบตาย  ทั้งอดนอน  อดอาหาร  เพราะกิเลสมันรู้ทันเราซะแล้วว่าจะใช้วิธีเดิม  มันก็ไม่ยอมเราง่ายๆ   ครั้งนี้ต้องอดอาหารเป็นเดือนๆ  หรือบางครั้งอดนอนหลายๆวันหลายๆคืนติดต่อกัน  หรือบางครั้ง  เดินจงกรมตลอดวัน หรือตลอดคืน  หรือนั่งสมาธิแบบนิ่งไม่ขยับเป็นหัวหลักหัวตอ ครั้งละนานๆหลายๆชั่วโมง  เช่น นั่งจากหัวค่ำจนสว่าง  เป็นต้น  ซึ่งถ้าจิตไม่สงบก็จะเกิดเวทนาปวดแสบปวดร้อนมากๆ  เหมือนโดนไฟนรกเผา แต่ก็ต้องอดทนสู้ไป  ไม่อาจจะขยับได้  เพราะตั้งสัจจะไว้ก่อนนั่งแล้วว่า  จะไม่ยอมขยับเด็ดขาด ตายเป็ยตาย

เงื่อนไขการฝึกคือ   ไม่ใช่ห้ามการฟุ้งซ่าน หรือนึกคิดเรื่องอื่นๆ  ... ขณะที่กำลังท่องไปๆๆ นั้น  จิตของคุณอาจจะคิดเรื่องอื่นๆ หรือฟุ้งไป ก็ช่างมัน  ไม่ผิดอะไร  แต่ว่า  แม้มันจะคิดเรื่องอื่นๆหรือฟุ้งซ่าน  คุณก็ยังคงท่องคำบริกรรมต่อไปเรื่อยๆๆ ไม่ให้คำบริกรรมหลุดหรือหยุดชงัก แค่นั้นเอง  ให้จิตบริกรรมติดต่อไปเรื่อยๆๆ ไม่ขาดระยะ  แค่นั้น  

   แต่ถ้าขณะกำลังท่อง  พยายามไม่ให้จิตฟุ้งหรือคิดเรื่องอื่นๆ  นั่นก็ดีที่สุด

อ๋อ...ขอโทษที  ลืมบอกจุดสำคัญไปอย่างหนึ่ง   ขอโทษอย่างยิ่ง...

  ....จุดสำคัญนั้นคือ..

  ...ในขณะที่ท่องคำบริกรรมไปเรื่อยๆ  ตลอดวันตลอดคืนนั้น   อย่าเพิ่งมานั่งสมาธิเพื่อให้จิตรวม  ถ้าผ่านไปสักวันสองวัน ดูเหมือนจิตมันจะเริ่มหาทางรวมตัวลงจุดศูนย์กลาง  ก็ประคองคำบริกรรมไว้  อย่าเพิ่งให้มันรวม  ใจเย็นๆไว้ก่อน  อดเปรี้ยวไว้กินหวาน  ท่องประคองไปเรื่อยๆๆ ก่อน  สะสมกำลังไว้มากๆๆก่อน ...

  ...เมื่อผ่านไปสัก ๓-๔ วัน   รู้สึกว่าเต็มที่จริงๆ จิตมันจะรวมเต็มที่  ต้านไม่ไหวแล้ว  ก็เริ่มหาที่นั่งสมาธิเลย  พอนั่งได้แป๊ปเดียว แค่ไม่กี่วินาที  จิตมันจะรวมมันเอง  วูบลงไปเต็มที่เต็มฐานเลย  และอย่าลืมตัวรู้เด็ดขาด  ต้องจับตัวรู้ให้แน่วแน่

  ..ต่อจากนั้นก็จับตัวรู้ให้แน่วนิ่งต่อไป   สบายไปเลย    หรือถ้ารวมลงเห็นแสงสว่างไสวเจิดจ้า  ก็จับที่แสงนั่นไปก่อนก็ได้  ให้นานที่สุด  ก็จะสบายเต็มที่เหมือนกัน  หรืออาจจะเจอความว่าง  ก็จับความว่างนั้นให้แน่วแน่ต่อไป  ใครเจอแบบไหนก็จับอันนั้นให้แน่วนิ่งต่อไป  แล้วเอาอันนั้นมาเล่น ให้ชำนาญ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่