สวัสดีครับ
วันนี้ผมขออาสาพาเพื่อนๆ ชาวพันทิปเที่ยวแม่น้ำแคมคู่เมืองเคมบริดจ์
ผ่านกลอนและรูปภาพกันนะครับ
[จากลอนดอน (สถานีคิงส์ครอสส์ - King's Cross) นั่งรถไฟตรงมาที่เคมบริดจ์ใช้มาประมาณ ๕๐ นาที เองครับ เคมบริดจ์เมืองเล็ก น่ารัก ใช้เวลาหนึ่งวันก็สามารถเดิมชมได้เกือบทั้งเมือง จากคิงส์ครอสส์ มีรถไฟมาเคมบริดจ์ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง (ขากลับก็มีทุกๆ ครึ่งชั่วโมง) มาเช้าเย็นกลับจากลอนดอนสบายๆ ไม่เหนื่อยเกินไปครับ จากสถานีรถไฟเคมบริดจ์เดินเข้าตัวเมืองใช้เวลาประมาณ ๑๕ นาที หรือจะนั่งรถเมลล์/รถเท็กซี่ก็ได้ครับ]
**นิราศแม่น้ำแคม**
๏ แสงอาทิตย์สะท้อนน้ำยามคล้อยบ่าย
ประดับผิวริ้วระรอกเป็นประกาย ปรากฏลายความทรงจำลำน้ำแคม
มาศึกษาหาความรู้อยู่เมืองนอก หวังออกดอกออกผลจนหลักแหลม
ต้องจากรังทิ้งรักนิราศแรม ใบหน้าแย้มแต่ใจหม่นจนวิญญาณ์
ได้สายชลช่วยปลอบประโลมจิต ดั่งญาติมิตรชิดใกล้ให้ปรึกษา
ลำน้ำเย็นเป็นเพื่อนคิดนิตยา ให้พึ่งพาคราโศกเศร้าเหงาชีวิน
คิดคร่ำครวญความหลังริมฝั่งน้ำ เหมือนจะย้ำยอกใจให้ถวิล
มองน้ำไหลลับลาน้ำตาริน ในห้วงจินต์ความหลังหลั่งพรั่งพรู
๏ จะขอล่องท่องน้ำแคมอีกซักครั้ง ชมสองฝั่งอาคารรามเรียงเคียงคู่
เมืองนักปราชญ์ศาสตร์ศิลป์ถิ่นเรียนรู้ ที่เราสู้ศึกษามาแรมปี
จึงลงพั้นท์พลันจับไม้ไว้ค้ำถ่อ ไม่รีรอทิ้งไม้ลงให้ตรงที่
ก่อนดันลงบรรจงจับบังคับดี สู่สายนทีที่คุ้นตาพาล่องไป
[รูปถ่ายโดย User: Evans1551: เป็นรูปของ (๑) เรือพั้นท์ หรือ "punt" (การล่องแม่น้ำแคมส่วนมากจะไม่ใช้ไม้พายครับ แต่จะใช้เป็นไม้ท่อนยาวค้ำยันพื้นกรวดด้านล่างเพื่อดันเรือไปข้างหน้าและใช้ไม้เดียวกันนี้ในการบังคับทิศทางของเรือด้วยการโยกไม้ซ้าย-ขวาใต้น้ำเป็นหางเรือ การเดินเรือเช่นนี้จะเรียกว่า "Punting" ครับ); (๒) ต้นวิลโลว์ (Willow) มุมขวาบนของภาพ จะพบได้ตลอดแนวฝั่งแม่น้ำครับ; (๓) คอลเลจดาร์วิ่น (Darwin College); และ (๔) เกาะกลางน้ำ (มุมซ้ายบน) ในภาพนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาลงเรือกัน เพราะเป็นส่วนต้นของลำน้ำที่ไหลผ่านเมืองครับ]
๏ เห็น
ดาร์วิ่นถิ่นเด็กไทยใจมุ่งมั่น ห้องสมุดนั้นเคยนั่งฟังน้ำไหล
เกาะกลางน้ำงามสง่าพนาไพร แหล่งพักใจใครเห็นเป็นปรีดี
อยากเป็นเกาะแกร่งกายกลางสายชล แม้ต้องทนทานกระแสไม่แลหนี
จะยืนหยัดกัดฟันสู้แม้รู้ดี ชีวิตนี้มิอาจต้านทานสายกาล
มองน้ำไหลไปลับไม่กลับหวน จะรั้นสวนสายธาราอย่านึกหาญ
ดั่งเวลาลาล่วงแล้วแคล้วอันตรธาน ทิ้งเพียงฝันของวันวานไว้จดจำ
โอ้ลำธารสานรักหวานเมื่อกาลก่อน จะขอวอนเจ้าย้อนคืนวันชื่นฉ่ำ
เหตุไฉนไร้คำตอบเหมือนตอกย้ำ ให้ชอกช้ำในน้ำเชี่ยวเปลี่ยวชีวา
[สะพานไม้นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลจควีนส์ (Queens' College) มีชื่อเล่นว่า "Mathematical Bridge" เพราะมีการออกแบบที่สลับซับซ้อน เดิมสร้างด้วยไม้โอ๊คแต่ผุพังไปแล้ว นี่คือสะพานที่สร้างขึ้นใหม่ตามแบบเดิมด้วยไม้สักครับ]
๏ มาถึง
ควีนส์สะพานไม้ค่อมสายน้ำ สักทองค้ำประคองสานบนฐานหนา
สะพานโค้งแผ่นไม้ตรงดูแปลกตา วาดลีลาลวดลายงามคนตามชม
เห็นหมุดเหล็กสลักตอกตามซอกไม้ ดั่งดวงใจใส่สลักด้วยรักขม
ปลดไม่หลุดฉุดไว้ให้ตรอมตรม รัดเป็นปมปิดห้องจำจองใจ
อยากสะเดาะเลาะตรวนที่ตรึงจิต ปล่อยชีวิตทาสรักจักเริ่มใหม่
แต่ยิ่งไขยิ่งแน่นร้าวแก่นใน เดินบ่ไหวแม้วันผ่านมาเนิ่นนาน
[โบสถ์คอลเลจคิงส์ หรือ "King's College Chapel" เป็นสถาปัตยกรรมแนวโกธิคช่วงปลาย ใช้เวลาในการสร้างนานกว่าหนึ่งทศวรรษเพราะถูกชะลอด้วยสงครามกลางเมืองดอกกุหลาบ หรือ "Wars of the Roses" ซึ่งเป็นศึกแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างสองราชวงศ์หลักของอังกฤษ ที่เรียกว่าสงครามดอกกุหลาบก็เพราะตราประจำราชวงศ์ของทั้งสอง ตราหนึ่งเป็นกุหลาบขาว และอีกตราหนึ่งเป็นกุหลาบแดง คอลเลจคิงส์จะมีชื่อเสียงด้านวงนักร้องประสานเสียงครับ]
๏ ล่องผ่าน
คิงส์มิ่งขวัญคู่เคมบริดจ์ เห็นโบสถ์คริสต์สูงสง่าศาสน์สถาน
ลานหญ้าเขียวเย็นตาพาเบิกบาน แว่วเสียงประสานประเสริฐใสกล่อมใจคน
ริมฝั่งแคมแต้มสวยด้วยวิลโล่ว์ โปรยกิ่งโชว์ย้อยสยายราวสายฝน
ทอดหย่อมเงาเย้าผิวธารดั่งม่านมนต์ ต้องตาคนคราไหวพริ้วในริ้วลม
วิลโล่ว์ไสวพาใจฉันให้สั่นหนาว คิดถึงคราวเขาเอ่ยรักแรกสุขสม
ยังจำกลิ่นกายหอมใคร่ดอมดม รื่นภิรมย์สมหวังริมฝั่งแคม
แต่บัดนี้เขาร้างไกลไม่อยู่แล้ว เสียงที่แว่วหวามหวิวเหนือผิวแก้ม
กลายเป็นเสียงสะกิดใจเจ็บเหน็บแนม เยาะเย้ยแซมเสียงวิลโล่ว์ลู่สีกัน
[ภาพถ่ายโดย Peter Church: สะพานแคลร์ (Clare Bridge) เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของสะพานข้ามแม่น้ำแคมที่ยังใช้งานได้อยู่ และเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลจแคลร์ (Clare College) หากสังเกตให้ดีจะเห็นลูกหินประดับบนขอบสะพานมีอยู่ทั้งหมด ๑๔ ลูก โดยลูกหนึ่งมีส่วนที่แหว่งหายไป บ้างก็สันนิษฐานว่า คนสร้างสะพานได้รับเงินค่าตอบแทนไม่ครบจึงจงใจทำให้แหว่ง แต่เหตุผลที่ดีกว่าคือ ลูกหินเดิมมันกร่อน ช่างซ่อมจึงต้องตัดส่วนเดิมออกก่อนที่จะปะส่วนใหม่เข้าไป แต่พอเวลาผ่านไป ส่วนใหม่นั้นคงจะหลุดออกและตกหายไปในแม่น้ำครับ]
๏ แล้วล่องผ่านสะพาน
แคลร์แลลูกหิน ลูกนั้นบิ่นวิ่นเว้าหายคล้ายใจฉัน
แม้หินแกร่งยังแหว่งได้ตามกาลวัน ใจฉันนั้นฤๅจะต้านทานรักนี้...
พลัดตกน้ำดำขึ้นใหม่ไม่ยากนัก แต่ตกรักหลุมลึกอย่านึกหนี
ติดน้ำวนตนรอดได้หากกายดี แต่เสียทีติดรักวนหนทางตัน
ลำน้ำใสใจกลับขุ่นเพราะครุ่นคิด เหตุไฉนชีวิตพลันผกผัน
จากที่พร่ำคำรักเป็นร้อยพัน เปลี่ยนเป็นลืมหน้ากันบ่หันแล
โอ้ความรักสลักลงตรงกลางอก คิดไม่ตกยกไม่ออกยอกเป็นแผล
ถูกศรรักปักพิษพาดิ้นแด หวังเพียงแต่กาลเวลาเป็นยาใจ
[รูปนี้ผมถ่ายเองครับ ด้านขวาของภาพคือห้องสมุด Jerwood ของทรินิตี้ฮอลล์ (Trinity Hall) เป็นอาคารที่มีอายุน้อยที่สุดริมแม่น้ำแคม ออกแบบให้คล้ายกับเรือกำลังเดินหน้าสู่แม่น้ำ ทรินิตี้ฮอลล์จะมีชื่อเสียงในสาขาวิชากฎหมายครับ]
๏ ครั้นพั้นท์ผ่านบ้านนิติ
ทรินิตี้ฮอลล์ พลางคิดย้อนยามสังสรรค์วันสดใส
ห้องหนังสือทรงนาวามุ่งหน้าไป ยังจำได้บนชั้นสองนั่งมองมา
คิดถึงวันรับปริญญาเมื่อครานั้น พ่อแม่ฉันชื่นแช่มแย้มหรรษา
แม่เลือกห่มชมพูใสไหมแพรวา พ่อแต่งผ้าแดงเลือดนกปกเนคไท
แต่ตอนนี้มีแค่เราให้เหงาคว้าง จิตอ้างว้างกลางกลุ่มคนบนธารไหล
ดั่งลูกนกหกเหินบินสู่ถิ่นไกล ต้องสู้ไหวให้ท่านสรวลก่อนหวนรัง
รอหน่อยนะลูกจะรีบเร่งศึกษา ให้วิทยานิพนธ์เสร็จสมดังหวัง
แล้วจะกลับก้มกราบเท้าท่านอีกครั้ง นั่งแทบตั่งปรนนิบัตรแบบเช่นเคย
[รูปแรกคือ คอลเลจทรินิตี้ (Trinity College) ครับ รูปกลางคือ บริดจ์ออฟไซห์ส์ (Bridge of Sighs) ของคอลเลจเซนต์จอห์นส์ (St John's College) ครับ ภาพทั้งสองได้รับความอนุเคราะห์จาก Wikimedia Commons ส่วนภาพขวาสุดถ่ายโดย Ian Rob เป็นภาพสะพานมอดลิน (Magdalene Bridge) ซึ่งอยู่ติดกับคอลเลจมอดลิน (Magdalene College) ครับ]
๏ ล่องมาเทียบ
ทรินิตี้ตึกสีสวย แหล่งร่ำรวยสินราชาดูผ่าเผย
นั่นผู้คุมในเครื่องแบบเคร่งจังเลย ต้องเตือนเอ่ยหากอาจย่ำเหยียบหญ้างาม
ข้างทรินิตี้มี
เซนต์จอห์นส์บรรเจิดคู่ บริดจ์ออฟไซห์ส์สะพานหรูดูเกรงขาม
หอนาฬิกาไร้หน้าปัดบอกโมงยาม บนลานสนามมีห่านเป็ดเตร็ดเตร่ไป
ครั้นเห็นสะพาน
มอดลินลอยตรงหน้า ก็นึกได้หมดเวลาเถลไถล
ต้องพั้นท์หวนทวนวารีวกกลับไว ก่อนหัวใจจะจมต่ำใต้ลำคลอง
ตะวันคล้อยขอบฟ้านภาหม่น ทั่วแห่งหนเลือนรางทางเรือล่อง
แว่วสำเนียงเสียงน้ำแคมค่อยขับร้อง ราวกับต้องการกล่าวคำอำลา
๏ ตะวันแดงแสงสุดท้ายจับปลายฟ้า เอ่ยวาจาเว้าวอนอ้อนปักษา
ในวันพรุ่งรุ่งอรุณเราจะมา เยือนนภาหาเจ้าใหม่ให้แสงทอง
แต่ตอนนี้มีอันจำต้องจาก อยากจะฝากฝังรักเป็นแสงส่อง
คิดถึงเราคราใดให้เจ้ามอง ขึ้นบนท้องนภาพลางพิศแสงจันทร์...
***
"คริมศันต์"
เคมบริดจ์ ๓๐ มิ.ย. ๒๕๕๗ ๒๑.๔๐ น.
*แก้ไขคำผิดครับ
"นิราศแม่น้ำแคม" (พาเที่ยวแม่น้ำแคม เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร) *กลอนประกอบรูปภาพ*
วันนี้ผมขออาสาพาเพื่อนๆ ชาวพันทิปเที่ยวแม่น้ำแคมคู่เมืองเคมบริดจ์
ผ่านกลอนและรูปภาพกันนะครับ
[จากลอนดอน (สถานีคิงส์ครอสส์ - King's Cross) นั่งรถไฟตรงมาที่เคมบริดจ์ใช้มาประมาณ ๕๐ นาที เองครับ เคมบริดจ์เมืองเล็ก น่ารัก ใช้เวลาหนึ่งวันก็สามารถเดิมชมได้เกือบทั้งเมือง จากคิงส์ครอสส์ มีรถไฟมาเคมบริดจ์ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง (ขากลับก็มีทุกๆ ครึ่งชั่วโมง) มาเช้าเย็นกลับจากลอนดอนสบายๆ ไม่เหนื่อยเกินไปครับ จากสถานีรถไฟเคมบริดจ์เดินเข้าตัวเมืองใช้เวลาประมาณ ๑๕ นาที หรือจะนั่งรถเมลล์/รถเท็กซี่ก็ได้ครับ]
**นิราศแม่น้ำแคม**
๏ แสงอาทิตย์สะท้อนน้ำยามคล้อยบ่าย
ประดับผิวริ้วระรอกเป็นประกาย ปรากฏลายความทรงจำลำน้ำแคม
มาศึกษาหาความรู้อยู่เมืองนอก หวังออกดอกออกผลจนหลักแหลม
ต้องจากรังทิ้งรักนิราศแรม ใบหน้าแย้มแต่ใจหม่นจนวิญญาณ์
ได้สายชลช่วยปลอบประโลมจิต ดั่งญาติมิตรชิดใกล้ให้ปรึกษา
ลำน้ำเย็นเป็นเพื่อนคิดนิตยา ให้พึ่งพาคราโศกเศร้าเหงาชีวิน
คิดคร่ำครวญความหลังริมฝั่งน้ำ เหมือนจะย้ำยอกใจให้ถวิล
มองน้ำไหลลับลาน้ำตาริน ในห้วงจินต์ความหลังหลั่งพรั่งพรู
๏ จะขอล่องท่องน้ำแคมอีกซักครั้ง ชมสองฝั่งอาคารรามเรียงเคียงคู่
เมืองนักปราชญ์ศาสตร์ศิลป์ถิ่นเรียนรู้ ที่เราสู้ศึกษามาแรมปี
จึงลงพั้นท์พลันจับไม้ไว้ค้ำถ่อ ไม่รีรอทิ้งไม้ลงให้ตรงที่
ก่อนดันลงบรรจงจับบังคับดี สู่สายนทีที่คุ้นตาพาล่องไป
[รูปถ่ายโดย User: Evans1551: เป็นรูปของ (๑) เรือพั้นท์ หรือ "punt" (การล่องแม่น้ำแคมส่วนมากจะไม่ใช้ไม้พายครับ แต่จะใช้เป็นไม้ท่อนยาวค้ำยันพื้นกรวดด้านล่างเพื่อดันเรือไปข้างหน้าและใช้ไม้เดียวกันนี้ในการบังคับทิศทางของเรือด้วยการโยกไม้ซ้าย-ขวาใต้น้ำเป็นหางเรือ การเดินเรือเช่นนี้จะเรียกว่า "Punting" ครับ); (๒) ต้นวิลโลว์ (Willow) มุมขวาบนของภาพ จะพบได้ตลอดแนวฝั่งแม่น้ำครับ; (๓) คอลเลจดาร์วิ่น (Darwin College); และ (๔) เกาะกลางน้ำ (มุมซ้ายบน) ในภาพนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาลงเรือกัน เพราะเป็นส่วนต้นของลำน้ำที่ไหลผ่านเมืองครับ]
๏ เห็นดาร์วิ่นถิ่นเด็กไทยใจมุ่งมั่น ห้องสมุดนั้นเคยนั่งฟังน้ำไหล
เกาะกลางน้ำงามสง่าพนาไพร แหล่งพักใจใครเห็นเป็นปรีดี
อยากเป็นเกาะแกร่งกายกลางสายชล แม้ต้องทนทานกระแสไม่แลหนี
จะยืนหยัดกัดฟันสู้แม้รู้ดี ชีวิตนี้มิอาจต้านทานสายกาล
มองน้ำไหลไปลับไม่กลับหวน จะรั้นสวนสายธาราอย่านึกหาญ
ดั่งเวลาลาล่วงแล้วแคล้วอันตรธาน ทิ้งเพียงฝันของวันวานไว้จดจำ
โอ้ลำธารสานรักหวานเมื่อกาลก่อน จะขอวอนเจ้าย้อนคืนวันชื่นฉ่ำ
เหตุไฉนไร้คำตอบเหมือนตอกย้ำ ให้ชอกช้ำในน้ำเชี่ยวเปลี่ยวชีวา
[สะพานไม้นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลจควีนส์ (Queens' College) มีชื่อเล่นว่า "Mathematical Bridge" เพราะมีการออกแบบที่สลับซับซ้อน เดิมสร้างด้วยไม้โอ๊คแต่ผุพังไปแล้ว นี่คือสะพานที่สร้างขึ้นใหม่ตามแบบเดิมด้วยไม้สักครับ]
๏ มาถึงควีนส์สะพานไม้ค่อมสายน้ำ สักทองค้ำประคองสานบนฐานหนา
สะพานโค้งแผ่นไม้ตรงดูแปลกตา วาดลีลาลวดลายงามคนตามชม
เห็นหมุดเหล็กสลักตอกตามซอกไม้ ดั่งดวงใจใส่สลักด้วยรักขม
ปลดไม่หลุดฉุดไว้ให้ตรอมตรม รัดเป็นปมปิดห้องจำจองใจ
อยากสะเดาะเลาะตรวนที่ตรึงจิต ปล่อยชีวิตทาสรักจักเริ่มใหม่
แต่ยิ่งไขยิ่งแน่นร้าวแก่นใน เดินบ่ไหวแม้วันผ่านมาเนิ่นนาน
[โบสถ์คอลเลจคิงส์ หรือ "King's College Chapel" เป็นสถาปัตยกรรมแนวโกธิคช่วงปลาย ใช้เวลาในการสร้างนานกว่าหนึ่งทศวรรษเพราะถูกชะลอด้วยสงครามกลางเมืองดอกกุหลาบ หรือ "Wars of the Roses" ซึ่งเป็นศึกแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างสองราชวงศ์หลักของอังกฤษ ที่เรียกว่าสงครามดอกกุหลาบก็เพราะตราประจำราชวงศ์ของทั้งสอง ตราหนึ่งเป็นกุหลาบขาว และอีกตราหนึ่งเป็นกุหลาบแดง คอลเลจคิงส์จะมีชื่อเสียงด้านวงนักร้องประสานเสียงครับ]
๏ ล่องผ่านคิงส์มิ่งขวัญคู่เคมบริดจ์ เห็นโบสถ์คริสต์สูงสง่าศาสน์สถาน
ลานหญ้าเขียวเย็นตาพาเบิกบาน แว่วเสียงประสานประเสริฐใสกล่อมใจคน
ริมฝั่งแคมแต้มสวยด้วยวิลโล่ว์ โปรยกิ่งโชว์ย้อยสยายราวสายฝน
ทอดหย่อมเงาเย้าผิวธารดั่งม่านมนต์ ต้องตาคนคราไหวพริ้วในริ้วลม
วิลโล่ว์ไสวพาใจฉันให้สั่นหนาว คิดถึงคราวเขาเอ่ยรักแรกสุขสม
ยังจำกลิ่นกายหอมใคร่ดอมดม รื่นภิรมย์สมหวังริมฝั่งแคม
แต่บัดนี้เขาร้างไกลไม่อยู่แล้ว เสียงที่แว่วหวามหวิวเหนือผิวแก้ม
กลายเป็นเสียงสะกิดใจเจ็บเหน็บแนม เยาะเย้ยแซมเสียงวิลโล่ว์ลู่สีกัน
[ภาพถ่ายโดย Peter Church: สะพานแคลร์ (Clare Bridge) เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของสะพานข้ามแม่น้ำแคมที่ยังใช้งานได้อยู่ และเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลจแคลร์ (Clare College) หากสังเกตให้ดีจะเห็นลูกหินประดับบนขอบสะพานมีอยู่ทั้งหมด ๑๔ ลูก โดยลูกหนึ่งมีส่วนที่แหว่งหายไป บ้างก็สันนิษฐานว่า คนสร้างสะพานได้รับเงินค่าตอบแทนไม่ครบจึงจงใจทำให้แหว่ง แต่เหตุผลที่ดีกว่าคือ ลูกหินเดิมมันกร่อน ช่างซ่อมจึงต้องตัดส่วนเดิมออกก่อนที่จะปะส่วนใหม่เข้าไป แต่พอเวลาผ่านไป ส่วนใหม่นั้นคงจะหลุดออกและตกหายไปในแม่น้ำครับ]
๏ แล้วล่องผ่านสะพานแคลร์แลลูกหิน ลูกนั้นบิ่นวิ่นเว้าหายคล้ายใจฉัน
แม้หินแกร่งยังแหว่งได้ตามกาลวัน ใจฉันนั้นฤๅจะต้านทานรักนี้...
พลัดตกน้ำดำขึ้นใหม่ไม่ยากนัก แต่ตกรักหลุมลึกอย่านึกหนี
ติดน้ำวนตนรอดได้หากกายดี แต่เสียทีติดรักวนหนทางตัน
ลำน้ำใสใจกลับขุ่นเพราะครุ่นคิด เหตุไฉนชีวิตพลันผกผัน
จากที่พร่ำคำรักเป็นร้อยพัน เปลี่ยนเป็นลืมหน้ากันบ่หันแล
โอ้ความรักสลักลงตรงกลางอก คิดไม่ตกยกไม่ออกยอกเป็นแผล
ถูกศรรักปักพิษพาดิ้นแด หวังเพียงแต่กาลเวลาเป็นยาใจ
[รูปนี้ผมถ่ายเองครับ ด้านขวาของภาพคือห้องสมุด Jerwood ของทรินิตี้ฮอลล์ (Trinity Hall) เป็นอาคารที่มีอายุน้อยที่สุดริมแม่น้ำแคม ออกแบบให้คล้ายกับเรือกำลังเดินหน้าสู่แม่น้ำ ทรินิตี้ฮอลล์จะมีชื่อเสียงในสาขาวิชากฎหมายครับ]
๏ ครั้นพั้นท์ผ่านบ้านนิติทรินิตี้ฮอลล์ พลางคิดย้อนยามสังสรรค์วันสดใส
ห้องหนังสือทรงนาวามุ่งหน้าไป ยังจำได้บนชั้นสองนั่งมองมา
คิดถึงวันรับปริญญาเมื่อครานั้น พ่อแม่ฉันชื่นแช่มแย้มหรรษา
แม่เลือกห่มชมพูใสไหมแพรวา พ่อแต่งผ้าแดงเลือดนกปกเนคไท
แต่ตอนนี้มีแค่เราให้เหงาคว้าง จิตอ้างว้างกลางกลุ่มคนบนธารไหล
ดั่งลูกนกหกเหินบินสู่ถิ่นไกล ต้องสู้ไหวให้ท่านสรวลก่อนหวนรัง
รอหน่อยนะลูกจะรีบเร่งศึกษา ให้วิทยานิพนธ์เสร็จสมดังหวัง
แล้วจะกลับก้มกราบเท้าท่านอีกครั้ง นั่งแทบตั่งปรนนิบัตรแบบเช่นเคย
[รูปแรกคือ คอลเลจทรินิตี้ (Trinity College) ครับ รูปกลางคือ บริดจ์ออฟไซห์ส์ (Bridge of Sighs) ของคอลเลจเซนต์จอห์นส์ (St John's College) ครับ ภาพทั้งสองได้รับความอนุเคราะห์จาก Wikimedia Commons ส่วนภาพขวาสุดถ่ายโดย Ian Rob เป็นภาพสะพานมอดลิน (Magdalene Bridge) ซึ่งอยู่ติดกับคอลเลจมอดลิน (Magdalene College) ครับ]
๏ ล่องมาเทียบทรินิตี้ตึกสีสวย แหล่งร่ำรวยสินราชาดูผ่าเผย
นั่นผู้คุมในเครื่องแบบเคร่งจังเลย ต้องเตือนเอ่ยหากอาจย่ำเหยียบหญ้างาม
ข้างทรินิตี้มีเซนต์จอห์นส์บรรเจิดคู่ บริดจ์ออฟไซห์ส์สะพานหรูดูเกรงขาม
หอนาฬิกาไร้หน้าปัดบอกโมงยาม บนลานสนามมีห่านเป็ดเตร็ดเตร่ไป
ครั้นเห็นสะพานมอดลินลอยตรงหน้า ก็นึกได้หมดเวลาเถลไถล
ต้องพั้นท์หวนทวนวารีวกกลับไว ก่อนหัวใจจะจมต่ำใต้ลำคลอง
ตะวันคล้อยขอบฟ้านภาหม่น ทั่วแห่งหนเลือนรางทางเรือล่อง
แว่วสำเนียงเสียงน้ำแคมค่อยขับร้อง ราวกับต้องการกล่าวคำอำลา
๏ ตะวันแดงแสงสุดท้ายจับปลายฟ้า เอ่ยวาจาเว้าวอนอ้อนปักษา
ในวันพรุ่งรุ่งอรุณเราจะมา เยือนนภาหาเจ้าใหม่ให้แสงทอง
แต่ตอนนี้มีอันจำต้องจาก อยากจะฝากฝังรักเป็นแสงส่อง
คิดถึงเราคราใดให้เจ้ามอง ขึ้นบนท้องนภาพลางพิศแสงจันทร์...
***
"คริมศันต์"
เคมบริดจ์ ๓๐ มิ.ย. ๒๕๕๗ ๒๑.๔๐ น.
*แก้ไขคำผิดครับ