"นิราศแม่น้ำแคม" (พาเที่ยวแม่น้ำแคม เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร) *กลอนประกอบรูปภาพ*

สวัสดีครับ
                           วันนี้ผมขออาสาพาเพื่อนๆ ชาวพันทิปเที่ยวแม่น้ำแคมคู่เมืองเคมบริดจ์
                                                   ผ่านกลอนและรูปภาพกันนะครับ

[จากลอนดอน (สถานีคิงส์ครอสส์ - King's Cross) นั่งรถไฟตรงมาที่เคมบริดจ์ใช้มาประมาณ ๕๐ นาที เองครับ เคมบริดจ์เมืองเล็ก น่ารัก ใช้เวลาหนึ่งวันก็สามารถเดิมชมได้เกือบทั้งเมือง จากคิงส์ครอสส์ มีรถไฟมาเคมบริดจ์ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง (ขากลับก็มีทุกๆ ครึ่งชั่วโมง) มาเช้าเย็นกลับจากลอนดอนสบายๆ ไม่เหนื่อยเกินไปครับ จากสถานีรถไฟเคมบริดจ์เดินเข้าตัวเมืองใช้เวลาประมาณ ๑๕ นาที หรือจะนั่งรถเมลล์/รถเท็กซี่ก็ได้ครับ]

                                                        **นิราศแม่น้ำแคม**
                                                                              ๏ แสงอาทิตย์สะท้อนน้ำยามคล้อยบ่าย
                      ประดับผิวริ้วระรอกเป็นประกาย               ปรากฏลายความทรงจำลำน้ำแคม
                      มาศึกษาหาความรู้อยู่เมืองนอก               หวังออกดอกออกผลจนหลักแหลม
                      ต้องจากรังทิ้งรักนิราศแรม                      ใบหน้าแย้มแต่ใจหม่นจนวิญญาณ์
                      ได้สายชลช่วยปลอบประโลมจิต              ดั่งญาติมิตรชิดใกล้ให้ปรึกษา
                      ลำน้ำเย็นเป็นเพื่อนคิดนิตยา                   ให้พึ่งพาคราโศกเศร้าเหงาชีวิน
                      คิดคร่ำครวญความหลังริมฝั่งน้ำ               เหมือนจะย้ำยอกใจให้ถวิล
                      มองน้ำไหลลับลาน้ำตาริน                      ในห้วงจินต์ความหลังหลั่งพรั่งพรู
                    
                            ๏ จะขอล่องท่องน้ำแคมอีกซักครั้ง     ชมสองฝั่งอาคารรามเรียงเคียงคู่
                      เมืองนักปราชญ์ศาสตร์ศิลป์ถิ่นเรียนรู้        ที่เราสู้ศึกษามาแรมปี
                      จึงลงพั้นท์พลันจับไม้ไว้ค้ำถ่อ                  ไม่รีรอทิ้งไม้ลงให้ตรงที่
                      ก่อนดันลงบรรจงจับบังคับดี                     สู่สายนทีที่คุ้นตาพาล่องไป
                                     
[รูปถ่ายโดย User: Evans1551: เป็นรูปของ (๑) เรือพั้นท์ หรือ "punt" (การล่องแม่น้ำแคมส่วนมากจะไม่ใช้ไม้พายครับ แต่จะใช้เป็นไม้ท่อนยาวค้ำยันพื้นกรวดด้านล่างเพื่อดันเรือไปข้างหน้าและใช้ไม้เดียวกันนี้ในการบังคับทิศทางของเรือด้วยการโยกไม้ซ้าย-ขวาใต้น้ำเป็นหางเรือ การเดินเรือเช่นนี้จะเรียกว่า "Punting" ครับ); (๒) ต้นวิลโลว์ (Willow) มุมขวาบนของภาพ จะพบได้ตลอดแนวฝั่งแม่น้ำครับ; (๓) คอลเลจดาร์วิ่น (Darwin College); และ (๔) เกาะกลางน้ำ (มุมซ้ายบน) ในภาพนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาลงเรือกัน เพราะเป็นส่วนต้นของลำน้ำที่ไหลผ่านเมืองครับ]

                            ๏ เห็นดาร์วิ่นถิ่นเด็กไทยใจมุ่งมั่น       ห้องสมุดนั้นเคยนั่งฟังน้ำไหล
                      เกาะกลางน้ำงามสง่าพนาไพร                  แหล่งพักใจใครเห็นเป็นปรีดี
                      อยากเป็นเกาะแกร่งกายกลางสายชล        แม้ต้องทนทานกระแสไม่แลหนี
                      จะยืนหยัดกัดฟันสู้แม้รู้ดี                          ชีวิตนี้มิอาจต้านทานสายกาล
                      มองน้ำไหลไปลับไม่กลับหวน                   จะรั้นสวนสายธาราอย่านึกหาญ
                      ดั่งเวลาลาล่วงแล้วแคล้วอันตรธาน            ทิ้งเพียงฝันของวันวานไว้จดจำ
                      โอ้ลำธารสานรักหวานเมื่อกาลก่อน            จะขอวอนเจ้าย้อนคืนวันชื่นฉ่ำ
                      เหตุไฉนไร้คำตอบเหมือนตอกย้ำ               ให้ชอกช้ำในน้ำเชี่ยวเปลี่ยวชีวา
                                     
[สะพานไม้นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลจควีนส์ (Queens' College) มีชื่อเล่นว่า "Mathematical Bridge" เพราะมีการออกแบบที่สลับซับซ้อน เดิมสร้างด้วยไม้โอ๊คแต่ผุพังไปแล้ว นี่คือสะพานที่สร้างขึ้นใหม่ตามแบบเดิมด้วยไม้สักครับ]

                            ๏ มาถึงควีนส์สะพานไม้ค่อมสายน้ำ    สักทองค้ำประคองสานบนฐานหนา
                      สะพานโค้งแผ่นไม้ตรงดูแปลกตา              วาดลีลาลวดลายงามคนตามชม
                      เห็นหมุดเหล็กสลักตอกตามซอกไม้           ดั่งดวงใจใส่สลักด้วยรักขม
                      ปลดไม่หลุดฉุดไว้ให้ตรอมตรม                  รัดเป็นปมปิดห้องจำจองใจ
                      อยากสะเดาะเลาะตรวนที่ตรึงจิต               ปล่อยชีวิตทาสรักจักเริ่มใหม่
                      แต่ยิ่งไขยิ่งแน่นร้าวแก่นใน                      เดินบ่ไหวแม้วันผ่านมาเนิ่นนาน
                                     
[โบสถ์คอลเลจคิงส์ หรือ "King's College Chapel" เป็นสถาปัตยกรรมแนวโกธิคช่วงปลาย ใช้เวลาในการสร้างนานกว่าหนึ่งทศวรรษเพราะถูกชะลอด้วยสงครามกลางเมืองดอกกุหลาบ หรือ "Wars of the Roses" ซึ่งเป็นศึกแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างสองราชวงศ์หลักของอังกฤษ ที่เรียกว่าสงครามดอกกุหลาบก็เพราะตราประจำราชวงศ์ของทั้งสอง ตราหนึ่งเป็นกุหลาบขาว และอีกตราหนึ่งเป็นกุหลาบแดง คอลเลจคิงส์จะมีชื่อเสียงด้านวงนักร้องประสานเสียงครับ]

                            ๏ ล่องผ่านคิงส์มิ่งขวัญคู่เคมบริดจ์     เห็นโบสถ์คริสต์สูงสง่าศาสน์สถาน
                      ลานหญ้าเขียวเย็นตาพาเบิกบาน               แว่วเสียงประสานประเสริฐใสกล่อมใจคน
                      ริมฝั่งแคมแต้มสวยด้วยวิลโล่ว์                  โปรยกิ่งโชว์ย้อยสยายราวสายฝน
                      ทอดหย่อมเงาเย้าผิวธารดั่งม่านมนต์          ต้องตาคนคราไหวพริ้วในริ้วลม
                      วิลโล่ว์ไสวพาใจฉันให้สั่นหนาว                 คิดถึงคราวเขาเอ่ยรักแรกสุขสม
                      ยังจำกลิ่นกายหอมใคร่ดอมดม                  รื่นภิรมย์สมหวังริมฝั่งแคม
                      แต่บัดนี้เขาร้างไกลไม่อยู่แล้ว                   เสียงที่แว่วหวามหวิวเหนือผิวแก้ม
                      กลายเป็นเสียงสะกิดใจเจ็บเหน็บแนม         เยาะเย้ยแซมเสียงวิลโล่ว์ลู่สีกัน
                                     
[ภาพถ่ายโดย Peter Church: สะพานแคลร์ (Clare Bridge) เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของสะพานข้ามแม่น้ำแคมที่ยังใช้งานได้อยู่ และเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลจแคลร์ (Clare College) หากสังเกตให้ดีจะเห็นลูกหินประดับบนขอบสะพานมีอยู่ทั้งหมด ๑๔ ลูก โดยลูกหนึ่งมีส่วนที่แหว่งหายไป บ้างก็สันนิษฐานว่า คนสร้างสะพานได้รับเงินค่าตอบแทนไม่ครบจึงจงใจทำให้แหว่ง แต่เหตุผลที่ดีกว่าคือ ลูกหินเดิมมันกร่อน ช่างซ่อมจึงต้องตัดส่วนเดิมออกก่อนที่จะปะส่วนใหม่เข้าไป แต่พอเวลาผ่านไป ส่วนใหม่นั้นคงจะหลุดออกและตกหายไปในแม่น้ำครับ]

                            ๏ แล้วล่องผ่านสะพานแคลร์แลลูกหิน ลูกนั้นบิ่นวิ่นเว้าหายคล้ายใจฉัน
                      แม้หินแกร่งยังแหว่งได้ตามกาลวัน            ใจฉันนั้นฤๅจะต้านทานรักนี้...
                      พลัดตกน้ำดำขึ้นใหม่ไม่ยากนัก                 แต่ตกรักหลุมลึกอย่านึกหนี
                      ติดน้ำวนตนรอดได้หากกายดี                   แต่เสียทีติดรักวนหนทางตัน
                      ลำน้ำใสใจกลับขุ่นเพราะครุ่นคิด               เหตุไฉนชีวิตพลันผกผัน
                      จากที่พร่ำคำรักเป็นร้อยพัน                     เปลี่ยนเป็นลืมหน้ากันบ่หันแล
                      โอ้ความรักสลักลงตรงกลางอก                คิดไม่ตกยกไม่ออกยอกเป็นแผล
                      ถูกศรรักปักพิษพาดิ้นแด                         หวังเพียงแต่กาลเวลาเป็นยาใจ
                                     
[รูปนี้ผมถ่ายเองครับ ด้านขวาของภาพคือห้องสมุด Jerwood ของทรินิตี้ฮอลล์ (Trinity Hall) เป็นอาคารที่มีอายุน้อยที่สุดริมแม่น้ำแคม ออกแบบให้คล้ายกับเรือกำลังเดินหน้าสู่แม่น้ำ ทรินิตี้ฮอลล์จะมีชื่อเสียงในสาขาวิชากฎหมายครับ]

                            ๏ ครั้นพั้นท์ผ่านบ้านนิติทรินิตี้ฮอลล์   พลางคิดย้อนยามสังสรรค์วันสดใส
                      ห้องหนังสือทรงนาวามุ่งหน้าไป               ยังจำได้บนชั้นสองนั่งมองมา
                      คิดถึงวันรับปริญญาเมื่อครานั้น                พ่อแม่ฉันชื่นแช่มแย้มหรรษา
                      แม่เลือกห่มชมพูใสไหมแพรวา                พ่อแต่งผ้าแดงเลือดนกปกเนคไท
                      แต่ตอนนี้มีแค่เราให้เหงาคว้าง                จิตอ้างว้างกลางกลุ่มคนบนธารไหล
                      ดั่งลูกนกหกเหินบินสู่ถิ่นไกล                   ต้องสู้ไหวให้ท่านสรวลก่อนหวนรัง
                      รอหน่อยนะลูกจะรีบเร่งศึกษา                 ให้วิทยานิพนธ์เสร็จสมดังหวัง
                      แล้วจะกลับก้มกราบเท้าท่านอีกครั้ง         นั่งแทบตั่งปรนนิบัตรแบบเช่นเคย
  
[รูปแรกคือ คอลเลจทรินิตี้ (Trinity College) ครับ รูปกลางคือ บริดจ์ออฟไซห์ส์ (Bridge of Sighs) ของคอลเลจเซนต์จอห์นส์ (St John's College) ครับ ภาพทั้งสองได้รับความอนุเคราะห์จาก Wikimedia Commons ส่วนภาพขวาสุดถ่ายโดย Ian Rob เป็นภาพสะพานมอดลิน (Magdalene Bridge) ซึ่งอยู่ติดกับคอลเลจมอดลิน (Magdalene College) ครับ]

                            ๏ ล่องมาเทียบทรินิตี้ตึกสีสวย         แหล่งร่ำรวยสินราชาดูผ่าเผย
                      นั่นผู้คุมในเครื่องแบบเคร่งจังเลย            ต้องเตือนเอ่ยหากอาจย่ำเหยียบหญ้างาม
                      ข้างทรินิตี้มีเซนต์จอห์นส์บรรเจิดคู่          บริดจ์ออฟไซห์ส์สะพานหรูดูเกรงขาม
                      หอนาฬิกาไร้หน้าปัดบอกโมงยาม            บนลานสนามมีห่านเป็ดเตร็ดเตร่ไป
                      ครั้นเห็นสะพานมอดลินลอยตรงหน้า       ก็นึกได้หมดเวลาเถลไถล
                      ต้องพั้นท์หวนทวนวารีวกกลับไว             ก่อนหัวใจจะจมต่ำใต้ลำคลอง
                      ตะวันคล้อยขอบฟ้านภาหม่น                  ทั่วแห่งหนเลือนรางทางเรือล่อง
                      แว่วสำเนียงเสียงน้ำแคมค่อยขับร้อง        ราวกับต้องการกล่าวคำอำลา
                                         
                            ๏ ตะวันแดงแสงสุดท้ายจับปลายฟ้า  เอ่ยวาจาเว้าวอนอ้อนปักษา
                      ในวันพรุ่งรุ่งอรุณเราจะมา                      เยือนนภาหาเจ้าใหม่ให้แสงทอง
                      แต่ตอนนี้มีอันจำต้องจาก                       อยากจะฝากฝังรักเป็นแสงส่อง
                      คิดถึงเราคราใดให้เจ้ามอง                     ขึ้นบนท้องนภาพลางพิศแสงจันทร์...

                                                                   ***
                                                               "คริมศันต์"
                                            เคมบริดจ์ ๓๐ มิ.ย. ๒๕๕๗ ๒๑.๔๐ น.

*แก้ไขคำผิดครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่