วันนี้ตามปฏิทินที่คำนวณโดยวิธีดาราศาสตร์โบราณ ได้คำนวณไว้ว่า พระราหู จะย้ายราศีจากราศีตุล ไปยังราศีกันย์ ซึ่งหลายคนก็มีพิธีกรรมต่างๆ บางคนก็เห็นด้วย บางคนก็เฉยๆ บางคนก็ต่อต้าน
ผมจึงเห็นว่าสิ่งที่เกิดนี้เราควรรู้ที่มาที่ไปซะก่อนว่าอะไรคืออะไร ดังนี้
พระราหู คืออะไร ?? ในท้องฟ้าจะไม่มีพระราหูให้เห็นบ่อยนัก นอกจากเกิดจันทรคราส หรือ สุริยคราส จะเห็นชัดเจน เพราะว่า พระราหูที่คำนวณกันนั้น ก็คือ จุดตัดของ วงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ กับวงโคจรของจันทร์รอบโลก เนื่องจากจันทร์ โคจรรอบโลกจากตะวันออกไปจะวันตก แต่ไม่ใช่เส้นตรงนัก มีเฉียงๆ ออกไปทางเหนือใต้ ทำให้เกิดจุดตัดของทางเดิน ๒ จุด คือจุดที่ทางเดินของจันทร์ที่ผ่านจุดตัดแล้วขึ้นไปทางเหนือ นี่คือพระราหู ตามที่เราได้ยินกัน (ส่วนจุดตัดแล้ววิ่งทางใต้เรียกพระเกตุ)
ดังนั้น พระราหู จึงเป็นสิ่งที่แทนความมืด แทนเงา แทนการเข้าไปจับกลุ่มไปรวมกัน ณ จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งการไปรวมกันนั้น ย่อมมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่มีสามารถเข้าไปขักจูงให้ผลที่ออกมาจากการรวมกลุ่มกันนั้นดีหรือร้ายก็ได้
บางกลุ่มจึงนิยมไหว้ เพราะขอพรเอาความดีเข้ามาสู่ แทนความร้ายนั่นเอง
หากดูในทางพุทธศาสนา ก็จะมี พระอสุรินทราหู ผู้เป็นอุปราชของท้าวเวปจิต ซึ่งเป็นอสูร มีร่างกายใหญ่โตมาก ขนาดเท่าโลก สามารถบังดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ได้ วันหนึ่งได้ยินว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกแล้ว มีความปราถนาไปชมบารมี แต่รู้มาว่าท่านเป็นมนุษย์ น่าจะกายเล็กมาก แต่พระพุทธเจ้าผู้ทรงสรรพพัญญูตญาณ ท่านทรงทราบ จึงนอนไสยยาตร รอพระอสุรินทราหู ซึ่งคนธรรมดาเห็นท่านตามปกติ แต่ พระอสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้ามองพระพุทธเจ้า พระอสุรินทราหู จึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าของเรามาก กล่าวคำสรรเสริญพระองค์ว่า ตัสสะ ซึ่งอยู่ในบทสวดมนต์นั่นเอง ( นะโม ฯ )
ดังนั้นการไหว้พระราหู คือการไหว้ธรรม ใครไม่มีของ ก็ไหว้ธรรมแทน คือการละมานะทิษฐิ ของตนลง ดุจดัง พระอสุรินทราหู ที่ลดมานะกิเลสของตน เมื่อพบพระพุทธเจ้า
และพระอสุรินทราหู นี้ พระพุทธเจ้าของเราท่านได้ พยากรณ์ว่า จะได้ตรัสรู้ เป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาล มีพระนามว่า นารทะ สมเด็จพระพุทธนารทะทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไหว้ราหู
ผมจึงเห็นว่าสิ่งที่เกิดนี้เราควรรู้ที่มาที่ไปซะก่อนว่าอะไรคืออะไร ดังนี้
พระราหู คืออะไร ?? ในท้องฟ้าจะไม่มีพระราหูให้เห็นบ่อยนัก นอกจากเกิดจันทรคราส หรือ สุริยคราส จะเห็นชัดเจน เพราะว่า พระราหูที่คำนวณกันนั้น ก็คือ จุดตัดของ วงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ กับวงโคจรของจันทร์รอบโลก เนื่องจากจันทร์ โคจรรอบโลกจากตะวันออกไปจะวันตก แต่ไม่ใช่เส้นตรงนัก มีเฉียงๆ ออกไปทางเหนือใต้ ทำให้เกิดจุดตัดของทางเดิน ๒ จุด คือจุดที่ทางเดินของจันทร์ที่ผ่านจุดตัดแล้วขึ้นไปทางเหนือ นี่คือพระราหู ตามที่เราได้ยินกัน (ส่วนจุดตัดแล้ววิ่งทางใต้เรียกพระเกตุ)
ดังนั้น พระราหู จึงเป็นสิ่งที่แทนความมืด แทนเงา แทนการเข้าไปจับกลุ่มไปรวมกัน ณ จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งการไปรวมกันนั้น ย่อมมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่มีสามารถเข้าไปขักจูงให้ผลที่ออกมาจากการรวมกลุ่มกันนั้นดีหรือร้ายก็ได้
บางกลุ่มจึงนิยมไหว้ เพราะขอพรเอาความดีเข้ามาสู่ แทนความร้ายนั่นเอง
หากดูในทางพุทธศาสนา ก็จะมี พระอสุรินทราหู ผู้เป็นอุปราชของท้าวเวปจิต ซึ่งเป็นอสูร มีร่างกายใหญ่โตมาก ขนาดเท่าโลก สามารถบังดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ได้ วันหนึ่งได้ยินว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกแล้ว มีความปราถนาไปชมบารมี แต่รู้มาว่าท่านเป็นมนุษย์ น่าจะกายเล็กมาก แต่พระพุทธเจ้าผู้ทรงสรรพพัญญูตญาณ ท่านทรงทราบ จึงนอนไสยยาตร รอพระอสุรินทราหู ซึ่งคนธรรมดาเห็นท่านตามปกติ แต่ พระอสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้ามองพระพุทธเจ้า พระอสุรินทราหู จึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าของเรามาก กล่าวคำสรรเสริญพระองค์ว่า ตัสสะ ซึ่งอยู่ในบทสวดมนต์นั่นเอง ( นะโม ฯ )
ดังนั้นการไหว้พระราหู คือการไหว้ธรรม ใครไม่มีของ ก็ไหว้ธรรมแทน คือการละมานะทิษฐิ ของตนลง ดุจดัง พระอสุรินทราหู ที่ลดมานะกิเลสของตน เมื่อพบพระพุทธเจ้า
และพระอสุรินทราหู นี้ พระพุทธเจ้าของเราท่านได้ พยากรณ์ว่า จะได้ตรัสรู้ เป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาล มีพระนามว่า นารทะ สมเด็จพระพุทธนารทะทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า