คอสตาริกาโมเดล
คอสตาริกา เป็นหนึ่งในบรรดาประเทศทะเลแคริบเบียนซึ่งเป็นที่โปรดปรานของนักท่องเที่ยวอเมริกัน นอกเหนือจากประเทศที่เป็นหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียนแล้ว นักท่องเที่ยวอเมริกันเลือก คอสตาริกา ที่จะไป สมกับฉายาของประเทศนี้ สวิตเซอร์แลนด์แห่งอเมริกากลาง
ความสะดวกสบายใจที่มีต่อคอสตาริกาของคนอเมริกันถูกบรรจุไว้ในเหตุส่วนหนึ่ง ได้แก่ การเดินทางใช้เวลาไม่นาน จากลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนียไปเมืองหลวง ซานโฮเซ่ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ขณะที่จากไมอามี ฟลอริดา ไปซานโฮเซ่ ใช้เวลาแค่ราว 3 ชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเทียบกับการเดินทางไปเที่ยวในภูมิภาคอื่นที่ไกลกว่า คอสตาริกา มีความได้เปรียบในเรื่องระยะทางที่ใกล้กว่า พร้อมกับวัฒนธรรมอเมริกันที่เป็นที่คุ้นชินกันดีอยู่แล้วในประเทศลาตินแห่งนี้ อเมริกันที่เดินทางไปไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมาย
อเมริกันจำนวนหนึ่งตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นั่น ซึ่งหากยังอยู่ในวัยทำงาน ส่วนใหญ่ก็จะสัมพันธ์กับเครือข่ายธุรกิจอเมริกัน เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจออกแบบตกแต่งอาคารสถานที่ท่องเที่ยว หรือธุรกิจภาคบริการอื่นๆ ที่กลุ่มธุรกิจอเมริกันเข้าไปลงทุน
ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่เกิดจากความมั่นคงทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของนักลงทุนอเมริกัน และดูเหมือนคอสตาริกาจะเป็นประเทศเดียวที่มีลักษณะด้านการเมืองการปกครองแตกต่างจากประเทศลาตินอเมริกาโดยทั่วไป ซึ่งมีเค้าโครงอันเนื่องมาจากประวัติศาสตร์ทางการเมืองอันลือชื่อในเรื่องรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหารในประเทศด้วยคนชาติเดียวกันเองหรือการสนับสนุนการรัฐประหารโดยชาติมหาอำนาจ
ตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา คอสตาริกาได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะไม่เคยมีการทำรัฐประหาร จึงเป็นประเทศแบบอย่างประชาธิปไตยที่รัฐบาลอเมริกันมักหยิบยกเป็นแบบอย่าง (model) ในการพยายามสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยลงในภูมิภาคต่างๆทั่วโลก เป็นนัยว่าประชาธิปไตยสามารถดำรงอยู่ได้แม้แต่ในดินแดนที่มีวัฒนธรรมการรัฐประหารซ้ำซากอย่างประเทศในอเมริกากลาง
คอสตาริกาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองมากที่สุดของโลกประเทศหนึ่ง จุดสำคัญของประเทศนี้ คือ เป็นประเทศที่ไร้ซึ่งทหารหรือกองทัพ (nations without a standing army) ซึ่งเป็นผลมาจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของคอสตาริกาเองตั้งแต่ปี 1949
คอสตาริกายังเป็นประเทศที่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index HDI ) อยู่ในในเกณฑ์ดี โดยในปี 2012 อยู่ในลำดับที่ 62 จากทุกประเทศทั่วโลก ขณะที่ก่อนหน้านั้นในปี 2010 คอสตาริกา เป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องจากหน่วยงานด้านแผนงานพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Development Programme UNDP) ว่ามีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สูงกว่าอีกหลายประเทศที่มีประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ในเกณฑ์เดียวกัน
ส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศได้ไวกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่น เพราะคนคอสตาริกาอยู่ในครรลองของประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องมากว่าครึ่งศตวรรษ รัฐบาลอเมริกันให้ความสำคัญกับการเป็นพันธมิตรร่วมกับคอสตาริกามายาวนาน ไม่มีการแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศนี้ ส่วนหนึ่งเพราะประชาธิปไตยเข้มแข็ง อีกส่วนหนึ่งเพราะคอสตาริกา เป็นพันมิตรของอเมริกันในด้านความมั่นคง แม้จะไม่มีกองกำลังทหารในประเทศนี้อยู่ก็ตาม ซึ่งการไม่มีกองกำลังทหารดังกล่าว กลายเป็นจุดถ่วงดุลความมั่นคงในภูมิภาคลาตินอเมริกาในเวลาต่อมา
นอกเหนือไปจากนี้ คอสตาริกา ยังเป็นสมาชิกองค์การรัฐอเมริกัน (Organization of American States) องค์กรสิทธิมนุษยชน Inter-American Court of Human Rights ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งการเป็นสมาชิก ICC ทำให้คอสตาริกาได้รับการคุ้มครองจากประชาคมโลกโดยปริยาย แม้ว่าจะไม่มีข้อตกลงแบบทวิภาคีด้านการทหารระหว่างรัฐบาลคอสตาริกากับรัฐบาลอเมริกันก็ตาม การออกมายืนเดี่ยวในภูมิภาคหรือในโลกเป็นรัฐไร้ทหาร จึงเท่ากับเป็นความกล้าหาญของประชาชนคอสตาริกาอย่างหนึ่ง และด้วยสาเหตุดังกล่าว ทำให้การรัฐประหารไม่เกิดขึ้นในประเทศนี้
การไม่มีกองทัพ ทำให้รัฐบาลคอสตาริกาใช้เงินงบประมาณในแต่ละปีเพื่อการพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ ปัญหาความยากจนของคนได้มากขึ้น จนได้รับวางอันดับให้เป็นประเทศที่มีพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่มั่นคง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค และหลายประเทศทั่วโลกที่เคยมีพื้นฐานด้านเศรษฐกิจแบบเดียวกันมาก่อน
มารู้จัก Costa Rica "แชมป์กลุ่มดี" จากประเทศที่มีรัฐประหารซ้ำซาก สู่ ประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองสูงสุดในอเมริกากลาง
คอสตาริกา เป็นหนึ่งในบรรดาประเทศทะเลแคริบเบียนซึ่งเป็นที่โปรดปรานของนักท่องเที่ยวอเมริกัน นอกเหนือจากประเทศที่เป็นหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียนแล้ว นักท่องเที่ยวอเมริกันเลือก คอสตาริกา ที่จะไป สมกับฉายาของประเทศนี้ สวิตเซอร์แลนด์แห่งอเมริกากลาง
ความสะดวกสบายใจที่มีต่อคอสตาริกาของคนอเมริกันถูกบรรจุไว้ในเหตุส่วนหนึ่ง ได้แก่ การเดินทางใช้เวลาไม่นาน จากลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนียไปเมืองหลวง ซานโฮเซ่ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ขณะที่จากไมอามี ฟลอริดา ไปซานโฮเซ่ ใช้เวลาแค่ราว 3 ชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเทียบกับการเดินทางไปเที่ยวในภูมิภาคอื่นที่ไกลกว่า คอสตาริกา มีความได้เปรียบในเรื่องระยะทางที่ใกล้กว่า พร้อมกับวัฒนธรรมอเมริกันที่เป็นที่คุ้นชินกันดีอยู่แล้วในประเทศลาตินแห่งนี้ อเมริกันที่เดินทางไปไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมาย
อเมริกันจำนวนหนึ่งตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นั่น ซึ่งหากยังอยู่ในวัยทำงาน ส่วนใหญ่ก็จะสัมพันธ์กับเครือข่ายธุรกิจอเมริกัน เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจออกแบบตกแต่งอาคารสถานที่ท่องเที่ยว หรือธุรกิจภาคบริการอื่นๆ ที่กลุ่มธุรกิจอเมริกันเข้าไปลงทุน
ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่เกิดจากความมั่นคงทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของนักลงทุนอเมริกัน และดูเหมือนคอสตาริกาจะเป็นประเทศเดียวที่มีลักษณะด้านการเมืองการปกครองแตกต่างจากประเทศลาตินอเมริกาโดยทั่วไป ซึ่งมีเค้าโครงอันเนื่องมาจากประวัติศาสตร์ทางการเมืองอันลือชื่อในเรื่องรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหารในประเทศด้วยคนชาติเดียวกันเองหรือการสนับสนุนการรัฐประหารโดยชาติมหาอำนาจ
ตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา คอสตาริกาได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะไม่เคยมีการทำรัฐประหาร จึงเป็นประเทศแบบอย่างประชาธิปไตยที่รัฐบาลอเมริกันมักหยิบยกเป็นแบบอย่าง (model) ในการพยายามสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยลงในภูมิภาคต่างๆทั่วโลก เป็นนัยว่าประชาธิปไตยสามารถดำรงอยู่ได้แม้แต่ในดินแดนที่มีวัฒนธรรมการรัฐประหารซ้ำซากอย่างประเทศในอเมริกากลาง
คอสตาริกาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองมากที่สุดของโลกประเทศหนึ่ง จุดสำคัญของประเทศนี้ คือ เป็นประเทศที่ไร้ซึ่งทหารหรือกองทัพ (nations without a standing army) ซึ่งเป็นผลมาจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของคอสตาริกาเองตั้งแต่ปี 1949
คอสตาริกายังเป็นประเทศที่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index HDI ) อยู่ในในเกณฑ์ดี โดยในปี 2012 อยู่ในลำดับที่ 62 จากทุกประเทศทั่วโลก ขณะที่ก่อนหน้านั้นในปี 2010 คอสตาริกา เป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องจากหน่วยงานด้านแผนงานพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Development Programme UNDP) ว่ามีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สูงกว่าอีกหลายประเทศที่มีประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ในเกณฑ์เดียวกัน
ส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศได้ไวกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่น เพราะคนคอสตาริกาอยู่ในครรลองของประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องมากว่าครึ่งศตวรรษ รัฐบาลอเมริกันให้ความสำคัญกับการเป็นพันธมิตรร่วมกับคอสตาริกามายาวนาน ไม่มีการแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศนี้ ส่วนหนึ่งเพราะประชาธิปไตยเข้มแข็ง อีกส่วนหนึ่งเพราะคอสตาริกา เป็นพันมิตรของอเมริกันในด้านความมั่นคง แม้จะไม่มีกองกำลังทหารในประเทศนี้อยู่ก็ตาม ซึ่งการไม่มีกองกำลังทหารดังกล่าว กลายเป็นจุดถ่วงดุลความมั่นคงในภูมิภาคลาตินอเมริกาในเวลาต่อมา
นอกเหนือไปจากนี้ คอสตาริกา ยังเป็นสมาชิกองค์การรัฐอเมริกัน (Organization of American States) องค์กรสิทธิมนุษยชน Inter-American Court of Human Rights ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งการเป็นสมาชิก ICC ทำให้คอสตาริกาได้รับการคุ้มครองจากประชาคมโลกโดยปริยาย แม้ว่าจะไม่มีข้อตกลงแบบทวิภาคีด้านการทหารระหว่างรัฐบาลคอสตาริกากับรัฐบาลอเมริกันก็ตาม การออกมายืนเดี่ยวในภูมิภาคหรือในโลกเป็นรัฐไร้ทหาร จึงเท่ากับเป็นความกล้าหาญของประชาชนคอสตาริกาอย่างหนึ่ง และด้วยสาเหตุดังกล่าว ทำให้การรัฐประหารไม่เกิดขึ้นในประเทศนี้
การไม่มีกองทัพ ทำให้รัฐบาลคอสตาริกาใช้เงินงบประมาณในแต่ละปีเพื่อการพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ ปัญหาความยากจนของคนได้มากขึ้น จนได้รับวางอันดับให้เป็นประเทศที่มีพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่มั่นคง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค และหลายประเทศทั่วโลกที่เคยมีพื้นฐานด้านเศรษฐกิจแบบเดียวกันมาก่อน