อยู่กับทุกขเวทนาได้โดยไม่ทุกข์ ◕‿◕

อยู่กับทุกขเวทนาได้โดยไม่ทุกข์ ◕‿◕

ทุกเช้าหลังจากการออกกำลังกาย อาจารย์จะชวนผู้ปฏิบัติธรรมออกไปเดินจงกรมรอบที่พัก โดยให้มีสติอยู่กับการเดิน คือรู้กายเมื่อเคลื่อนไหว และรู้ใจหากเผลอคิดฟุ้งซ่าน อาจารย์จะให้สัญญาณหยุดเดินเป็นระยะ ๆ ระหว่างที่ยืนนิ่งก็ให้ผู้ปฏิบัติหันมารับรู้ลมหายใจเข้าและออก และรู้ทุกอาการที่เกิดกับใจ ส่วนอะไรที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็สักแต่ว่ารู้เฉย ๆ

วันที่สองของการเดิน อาจารย์ชวนทุกคนถอดรองเท้า หลายคนรู้รสชาติของความเจ็บปวดเมื่อหินและกรวดน้อยใหญ่ทิ่มฝ่าเท้าเกือบตลอดทาง ยังไม่นับยุงที่รุมกัดทุกครั้งที่เดินผ่านสวน ตลอด ๔๕ นาทีของการเดินจงกรมจึงกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ของผู้ปฏิบัติ

แต่นั่นยังเทียบไม่ได้กับประสบการณ์ในวันต่อ ๆ มาที่มีฝนตกพรำ ๆ ตั้งแต่เช้ามืด ตามทางจะมีมดนับพัน ๆ เดินขวักไขว่เป็นแถวขวางทางเดินของผู้ปฏิบัติ ไม่ว่าตั้งใจเดินเพียงใด ก็จะมีมดไต่ตอมขึ้นมาตามขาและกัดตามอำเภอใจ บางคนหนักกว่านั้นเพราะมีสัญญาณให้หยุดเดินขณะที่เดินเฉียดรังมดพอดี ดังนั้นเดิน ๆ ไปก็จะได้ยินเสียงคนกระทืบเท้าหลายครั้งติด ๆ กันเพื่อสะบัดมดให้หลุดจากขา หรือมีเสียงปัดมดตามขากางเกงดังถนัดถนี่ ยากที่จะรักษาความสงบสำรวมไปได้ตลอดทาง

ไม่น่าแปลกใจที่หลายคนขยาดการเดินจงกรมตอนเช้า อาจารย์จึงแนะนำให้ผู้ปฏิบัติสังเกตดูกายของตนว่ามีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อมดไต่ยุงตอม และให้ดูใจของตัวเองด้วย ว่ารู้สึกอย่างไร มีความกลัว ตื่นตระหนก โวยวาย ตีโพยตีพายอยู่ข้างในหรือไม่ โดยเฉพาะตอนที่ถูกกัด ใจมีอาการอย่างไร ดูเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรกับอาการเหล่านั้น อาจารย์ย้ำกับผู้ปฏิบัติว่า จริง ๆ แล้วกายของเราทนมดกัดได้ แต่ที่ทนไม่ได้คือใจต่างหาก และที่เจ็บปวดจนอยู่เฉยไม่ได้นั้น เป็นเพราะใจไม่มีสติ จึงเผลอไปทุกข์กับกาย หรือเอาความทุกข์ของกายมาเป็นความทุกข์ของใจไปด้วย

ทุกข์กายนั้นแค่ ๑ ส่วน แต่อีก ๒-๓ ส่วนนั้นเป็นเพราะทุกข์ใจต่างหาก แต่ถ้ามีสติ เห็นอารมณ์ที่ปรุงแต่งใจ อารมณ์นั้นก็จะหลุดไปจากใจ ใจก็จะกลับมาเป็นปกติ ความทุกข์จะเบาบางลง คงมีแต่ความเจ็บปวดที่กายเท่านั้น พูดอีกอย่างคือมีแต่ทุกขเวทนา(ทางกาย) แต่ไม่มีความทุกข์ทรมาน(ทางใจ) อาจารย์ยังแนะอีกว่าหากจะมีสติดูความเจ็บปวดเลยก็ได้ แต่ถ้าสติไม่ฉับไวพอก็จะเผลอพลัดเข้าไปจมอยู่กับความเจ็บปวดได้ง่าย กลายเป็นปวดมากขึ้น

หลังจากเดินจงกรม(วิบาก)ไปได้ ๕ วัน ผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งได้ทดลองทำตามที่อาจารย์แนะนำ และได้เขียนเล่าประสบการณ์การปฏิบัติของตนไว้อย่างน่าสนใจ ว่า “เดินจงกรมตอนเช้า วางใจว่าจะดูความเจ็บ ได้หยุดบนรังมดสมใจ สภาวะเกิดดังนี้-มองเห็นว่ามดทั้งรังไต่ขึ้นมา-จิตกลัว-รู้ว่ากลัว-ความกลัวดับไป-จิตบอกว่าให้วางใจสบาย ๆ เป็นไงเป็นกัน”

จากนั้นเธอก็มาดูความรู้สึกและอาการของกาย “รู้สึกถึงลักษณะความเจ็บ,แสบ,ร้อน,จี๊ด ๆ เหมือนโดนธูปจี้เป็นจุด ๆ บางจุดก็ตื้นลึกไม่เท่ากัน กว้างแคบ,เป็นระลอก รู้สึกกล้ามเนื้อเกร็ง,หัวใจเต้นแรงเร็วขึ้น-กัดฟันเม้มปาก,กะพริบตา,ยืนนิ่ง” ระหว่างนั้นเธอกลับมาดูจิต และพบว่า “เห็นใจกระสับกระส่าย-รู้-ดับ-นิ่ง สติเกิดความรู้สึกเมตตาสงสารมด เขาคงโกรธ เขาจึงกัดเอาตอนนี้ใจสบายตั้งมั่น เรียกเขาว่าอาจารย์มด จะกัดก็กัดไป จะดูให้ชัด”

แล้วเธอก็สรุปตอนท้ายว่า “การเห็นความเจ็บ,ลมหายใจ,จิตที่สงบนิ่ง แยกกันเป็นคนละส่วน ๆ เป็นเรื่อง ๆ แปลกดี”

ผู้ปฏิบัติท่านนี้ได้ประจักษ์ด้วยตนเองว่า แม้กายปวด แต่ใจสบายและสงบนิ่งได้ เมื่อกายทุกข์ ไม่ได้หมายความว่าใจจะต้องทุกข์ตามไปด้วย คนส่วนใหญ่นั้นทันทีที่กายทุกข์ใจก็ทุกข์ไปด้วย อันที่จริงทั้ง ๆ ที่กายยังไม่ทุกข์เลย แต่ใจก็ทุกข์ไปก่อนแล้ว เช่น พอรู้ว่ามดไต่ขา ยังไม่ทันจะถูกกัด ใจก็กระสับกระส่าย ทุรนทุรายไปเสียแล้ว ความทุกข์ใจนี้เองที่ทำให้ความเจ็บปวดเวลาถูกมดกัดเพิ่มเป็นทวีตรีคูณ

หลายคนเมื่อรู้ว่าความทุกข์ใจเป็นตัวปัญหา วิธีการที่นิยมทำคือพยายามกดข่มหรือขจัดมันให้หมดไป แต่ยิ่งทำเช่นนั้นมันก็ยิ่งผุดโผล่ ไม่ยอมหายไปง่าย ๆ ตรงข้ามกับผู้ปฏิบัติท่านนี้ ซึ่งไม่ได้ทำอะไรกับอารมณ์ดังกล่าว นอกจากรู้หรือดูมันเฉย ๆ แล้วเธอก็พบว่า “จิตกลัว-รู้ว่ากลัว-ความกลัวดับไป.....เห็นใจกระสับกระส่าย-รู้-ดับ-นิ่ง” รู้หรือดูในที่นี้หมายถึงมีสติ เมื่อมีสติ การปรุงแต่งก็ดับใจ ใจก็สงบ นิ่ง สบาย แม้ความปวดหรือทุกขเวทนายังอยู่ แต่ก็เป็นส่วนกาย ไม่กระเทือนไปถึงใจได้ เรียกว่าอยู่กับทุกขเวทนาได้โดยไม่ทุกข์

พระไพศาล วิสาโล
http://www.visalo.org/article/matichon255301.htm



https://th-th.facebook.com/visalo
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่