* ดุจรักเหนือฝัน * ๓

กระทู้สนทนา
เพราะเธอคือ 'ฝันร้าย'

เขาจึงใช้กลอุบาย...เพื่อให้เธอกลายเป็น 'ฝันรัก'





    เสียงนั้นดังมาจากสรรค์

    เขากรีดร้องสุดเสียงก่อนถลาเข้าซบอาจารย์หนุ่มที่ยืนข้างตัวด้วยท่าทีที่เกินคำว่าชายแท้ไปมาก ภาคภูมิยืนแข็งทื่อเพราะคาดไม่ถึงกับการจู่โจมในครั้งนี้ ก่อนจะค่อยๆจับบ่าของสาวน้อยที่ยืนตัวสั่นงันงกเพราะความกลัวในอ้อมแขนของเขา ขณะที่นางเอกสาวผู้ควรรับบทตกใจดังกล่าวกลับกรี๊ดไม่ออก ในเมื่อมีสาวอื่นแย่งซีนไปเป็นที่เรียบร้อย

    “ตัดตรงนี้นะ อย่าออกอากาศ”

    เสียงตะโกนขึ้นของมณิกาทำให้ช่างกล้องรีบหยุดการถ่ายทำไว้ชั่วคราว ก่อนเธอจะเดินเข้าไปในบริเวณถ่ายทำ เหลือบมองมือปลอมโชกเลือดที่เป็นตัวต้นเหตุให้หนึ่งในผู้เข้าร่วมรายการสาวแตก แล้วลูบหน้าลูบตาตัวเองด้วยท่าทีละเหี่ยใจ

    “น้องสรรค์คะ...”

    “โธ่ พี่หมิงครับ” คนที่เผลอหวีดร้องเสียงแหลมไม่อาจรักษาเสียงทุ้มต่อไปได้ “ก็เล่นปล่อยมาแบบนี้ ผมก็ตกใจหมดสิ น่าจะเตี๊ยมก่อน”

    “ก็พี่คาดไม่ถึงว่า...” มณิกาละไว้ในฐานที่เข้าใจ ก่อนเหลือบมองภาคภูมิที่ยังยืนตัวแข็งเพราะสรรค์ไม่ปล่อยตัวเขาเสียที “เอาเป็นว่าปล่อยอาจารย์ไพรด์ก่อนเถอะน้อง แล้วถ่ายกันใหม่ ทีนี้เจ้ขอให้เราแต๊บเนียนๆนะ”

    ดุจฝันพยายามกลั้นหัวเราะแทบแย่ เมื่อเห็นว่าสรรค์อิดออดเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยภาคภูมิพร้อมเสียงพึมพำเบาๆที่มีแต่เธอเท่านั้นที่ได้ยิน

    “กล้ามแน่นซ่อนรูปขนาดนี้ ใครได้กินรับรองฟินตลอดชีวิต”

    หญิงสาวส่งยิ้มให้สรรค์อย่างเป็นมิตรเมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา แม้ตอนแรกจะสงสัยไม่น้อยว่าเขาจะเข้ามาสมัครรายการนี้ไปเพื่ออะไร แต่ก็เริ่มเดาได้ลางๆเมื่อคิดออกว่าพ่อของสรรค์เป็นนักการเมืองชื่อดัง อีกทั้งสรรค์เองก็เพิ่งเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง ดังนั้น การสร้างภาพลักษณ์เพื่อซ่อนเร้นตัวตนจึงนับได้ว่าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเขา...ซึ่งอาจใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ไม่พร้อมรับการเบี่ยงเบนทางเพศเท่าใดนัก

    “คราวนี้พี่ขอกรี๊ดคนเดียวนะน้องสรรค์ เก็บแม่ประนีและแม่ประนอมไว้ขายหอมขายน้ำพริกที่บ้านนะคะ”

    ดารารับเชิญว่าด้วยรอยยิ้มแล้วตบบ่าน้องสาวคนใหม่อย่างให้กำลังใจ สรรค์ยิ้มรับเธอ “ได้ค่ะเจ๊ฝัน ขอโทษจริงๆที่ทำให้ต้องเทกใหม่”

    “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็กน้อย หมิง! ถ่ายใหม่เร็ว”

    หญิงสาวโบกไม้โบกมือแล้วเรียกเพื่อนรักให้รีบดำเนินรายการต่อโดยเร็ว มือปลอมโชกเลือกถูกเก็บกลับขึ้นไปบนเพดานเพื่อปล่อยลงมาใหม่ และในคราวนี้ แม่ประนีก็ไม่ได้ออกมาขายหอม แม่ประนอมก็ไม่ได้ออกมาขายน้ำพริกเหมือนเมื่อหลายนาทีก่อน

    บรรยากาศในเกมกลับมาเครียดอีกครั้ง สรรค์ปั้นหน้าขรึมได้ไม่มีหลุดขณะเคร่งเครียดกับการไขรหัส เวชาและภาคภูมิเองก็เช่นกัน หญิงสาวพอจะสังเกตเห็นว่าภาคภูมิคว้าหนังสือมาสองเล่ม คือ ‘เที่ยวโตเกียวด้วยตัวเอง’ และ ‘ภาษาญี่ปุ่นระดับเบื้องต้น’ เขาพลิกไปมาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหยุดนิ่งไปอีกหลายสิบวินาที แล้วเขียนเลขสี่ตัวลงบนกระดาษ ยื่นมันให้ตุลย์ในที่สุด

    “เป็นคำตอบที่...ถูกต้องครับ ยินดีด้วยนะครับคุณภาคภูมิ คุณได้ไปต่อครับ”

    พิธีกรหนุ่มว่าพร้อมผายมือไปทางเก้าอี้ที่ภัทรณญฎร์นั่งด้วยสีหน้าเรียบๆรออยู่แล้ว ภาคภูมิยิ้มน้อยๆก่อนจะกว้างขึ้นเมื่อยามสบตาดุจฝัน หญิงสาวจึงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยเป็นเชิงแสดงความยินดี และเขาเองก็พยักหน้ากลับมาด้วยรอยยิ้มจนตาหยี ส่งผลให้ดวงหน้าคมซึ่งมีแว่นประดับอยู่ดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้นไปอีก

    ผ่านไปประมาณสองนาทีก็หมดเวลา ทั้งเวชาและสรรค์จึงรีบส่งคำตอบให้ตุลย์ คราวนี้ ตุลย์ไม่แค่ดูคำตอบแล้วบอกให้ผู้ผ่านเข้ารอบได้ไปนั่งรอ แต่กลับประกาศผลทันที

    “อย่างที่รู้กันนะครับว่า...ถ้าผู้เข้าแข่งขันทั้งสองท่านนี้ตอบถูกทั้งคู่ เราก็จะมีรอบพิเศษอีกครั้ง แต่ในตอนนี้...มีหนึ่งท่านที่ตอบถูกครับ!”

    เวชาเบิกตากว้างเล็กน้อยราวกับหวังว่า ‘หนึ่งท่าน’ ที่ว่าจะเป็นเขาเอง ในขณะที่สรรค์ฟังแล้วก็แค่ยิ้มน้อยๆราวกับไม่ได้ลุ้นอะไรมากนัก ในเมื่อจริงๆแล้วเขาไม่ได้ชอบดารารับเชิญของรายการนี้ในเชิงชู้สาวเลยแม้แต่น้อย

    “คำเฉลยของเกมนี้ก็คือ แปด – ห้า – ห้า – สาม ครับ! คุณเวชาคือผู้ที่ได้เข้ารอบถัดไปอีกคนครับ ขอบคุณคุณสรรค์ที่เข้าร่วมรายการกับเรามากๆนะครับ”

    สรรค์ยกมือไหว้มาทางกล้อง ก่อนจะหันมาส่งรอยยิ้มให้ดุจฝัน...รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มมิตรภาพที่ดุจฝันเห็นแล้วไม่นึกหมั่นไส้เหมือนเวลาผู้ชายหลายๆคนพยายามยิ้มยามโปรยเสน่ห์ให้เธอ

    “และสำหรับการถอดรหัส ‘หมาชิบุย่าขำใบตอง’ หมาชิบุย่า หมายถึงรูปปั้นสุนัขชื่อว่าเจ้า ‘ฮาจิโกะ’ ที่สถานีรถไฟชิบุย่าแห่งกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งชื่อฮาจิโกะนี่เอง ไปพ้องเสียงกับตัวเลขในภาษญี่ปุ่นอยู่สองเลขด้วยกัน ‘ฮาจิ’  แปลว่า ‘๘’ ‘โกะ’ แปลว่า ‘๕’ และสำหรับคำว่าขำ ก็คือเสียงเวลาเราหัวเราะ ‘๕’ นั่นเอง ในขณะที่ใบตอง ก็สามารถถอดรหัสได้ว่า ‘ตอง’ ซึ่งแปลว่า ‘๓’ ดังนั้น ‘หมาชิบุย่าขำใบตอง’ จึงแปลเป็นรหัสได้ว่า ‘๘๕๕๓’ นั่นเองครับ”

    กว่าดุจฝันจะได้รู้คำตอบที่แท้จริงก็เล่นเอาปวดหัวตาม ในเมื่อสมองเธอไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ถนัดการถอดรหัสอะไรแบบนี้ ก่อนที่จะเดินตามตุลย์ไปยังประตูเพื่อเข้าสู่ห้องถัดไป เธอก็โบกมือลาสรรค์ที่ยิ้มหวานอยู่เบื้องหลังอย่างจริงใจ

    ห้องที่สามคือห้องครัวซึ่งสภาพดีกว่าห้องก่อนหน้านี้ หลอดไฟนีออนหลุมบนเพดานส่องสว่างไสว บริเวณเคาน์เตอร์และซิงก์เป็นระเบียบเรียบร้อยแม้จะติดเก่าๆไปบ้างก็ตาม ใกล้ๆกับชั้นสำหรับวางจานมีเขียงวางไว้พร้อมกับมีดปังตอบิ่นๆที่เงาวับราวพร้อมใช้งาน ดุจฝันละสายตากลับมามองโต๊ะรับประทานอาหารตรงกลางห้อง ก็พบคูหาใสๆสามช่อง ระหว่างคูหากั้นด้วยแผ่นพลาสติกขุ่นเพื่อไม่ให้ผู้เข้าแข่งขันเห็นกันเอง แต่ทีมงานและผู้ชมสามารถมองเห็นได้

    แต่ละคูหามีชามใสใส่น้ำอยู่ค่อนชามสามใบ แต่ละใบก็มีลูกปิงปองลอยอยู่ตรงริมขอบ ข้างๆมีอุปกรณ์เต็มไปหมดทั้งเหยือกขนาดใหญ่ใส่น้ำเปล่า สบู่ก้อน ตะเกียบ เข็ม และอื่นๆอีกมากมาย

    “สำหรับเกมที่สามเป็นเกม ‘ทดลองวิทย์มิชชั่น’ โดยต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เข้ามาแก้ไขปัญหา อย่างที่ทุกท่านเห็นว่าลูกปิงปองในถ้วยนี้ลอยอยู่ริมขอบชาม กติกาก็คือผู้เข้าแข่งขันสามารถใช้อุปกรณ์อะไรก็ได้ที่ทางเราเตรียมไว้ ทำให้ลูกปิงปองลอยอยู่ตรงกลางชามพอดี ผู้เข้าแข่งขันที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ก่อนสองคนแรก...จะผ่านเข้ารอบสุดท้ายครับ”

    ก่อนหน้าจะเข้าเกมไม่กี่ชั่วโมง มณิกาเล่าให้เธอฟังถึงเกมวิทยาศาสตร์นี้ว่าเกี่ยวกับเรื่องของแรงตึงผิว แต่ดุจฝันก็ไม่ได้ใส่ใจฟังมากนัก ในเมื่อกรด ด่าง ตะกอนแขวน หลอดทดลอง บีกเกอร์ ซิมเปิ้ลฮาร์โมนิคและศัพท์วิทยาศาสตร์อื่นๆไม่เคยอยู่ในสารระบบของเธอ ตั้งแต่เธอได้เกรดสองวิชาวิทยาศาสตร์เมื่อตอนอยู่มัธยมฯ ต้น เป็นวิชาไม้เบื่อไม้เมากับเธออย่างยิ่งกว่าคณิตศาสตร์เสียอีก

    ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เธอคนเดียวที่คิดเช่นนั้น เพราะในระหว่างที่นายแพทย์และอาจารย์ยืนครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจังว่าจะทำเช่นไรให้ลูกปิงปองลอยไปอยู่ตรงกลางชาม ภัทรณญฎร์กลับยืนกอดอกแล้วมองชามตรงหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า ประหนึ่งว่าไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น เวลาผ่านไปนานทีเดียวกว่าเขาจะลองหย่อนสบู่ลงไปบ้าง แล้วใช้ตะเกียนกวนให้ด่างในสบู่ออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไร้ผล

    ดุจฝันเลื่อนสายตาไปยังอาจารย์หนุ่มคนริมสุดผู้มีรอยยิ้มจางๆอยู่บนดวงหน้า เขาค่อยๆหยิบเหยือกน้ำด้วยท่าทีสุขุมก่อนจะรินลงชามน้ำไปจนปริ่ม แล้วหยุดรินแต่เพียงเท่านั้นเพื่อดูผลลัพธ์ที่จะตามมา

    ลูกปิงปองซึ่งอยู่ริมขอบชามในตอนแรกกลับค่อยๆหมุนวนจนมาลอยนิ่งอยู่ตรงกลางชามอย่างน่าอัศจรรย์ ภาคภูมิลองใช้นิ้วเขี่ยๆลูกปิงปองให้ไปอยู่ตำแหน่งอื่น แล้วลองดันกลับมาไว้ตรงกลางอีกครั้งก็พบว่าลูกปิงปองหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป

    เมื่อตุลย์เห็นเช่นนั้นจึงปรี่เข้าไปหาภาคภูมิพร้อมกับประกาศลั่น เช่นเดียวกับช่างกล้องที่เบือนหน้ากล้องไปยังอาจารย์หนุ่มทันที

    “คุณภาคภูมิทำสำเร็จแล้วครับ! ดังนั้น ผู้ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเป็นท่านแรกคือคุณภาคภูมิครับ!”

    ดุจฝันไม่พูดอะไรทั้งสิ้นตามที่โปรดิวเซอร์กำชับไว้ ทว่ากลับปรบมือให้เขาในยามนี้ เหมือนชายหนุ่มจะได้ยินเสียงปรบมือเบาๆนั้น จึงหันมาส่งยิ้มจริงใจให้เธออีกครั้ง

    ห้านาทีให้หลัง เวชาก็สามารถทำให้ลูกปิงปองมาลอยอยู่ตรงกลางชามได้ เขาจึงเป็นผู้เข้ารอบสุดท้ายอีกคน ในขณะที่ภัทรณญฎร์ไม่อาจคิดคำตอบได้ จึงตกรอบไปตามระเบียบ หลังจากประกาศชื่อผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้งสองคนแล้ว ตุลย์จึงอธิบายสาเหตุที่ทำให้ลูกปิงปองมาอยู่ตรงกลางชามได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งดุจฝันฟังแล้วก็เข้าใจบ้าง...ไม่เข้าใจบ้างตามประสาคนเกลียดวิชานี้

    “วิธีที่จะทำให้ลูกปิงปองลอยมาอยู่ตรงกลางนั้นไม่ยากเลยครับ แค่เติมน้ำให้เต็มชามเท่านั้น เนื่องจากโดยปกติแล้ว ลูกปิงปองจะลอยอยู่ที่ระดับน้ำสูงสุดในชาม เมื่อระดับน้ำทั้งหมดอยู่ต่ำกว่าขอบชาม ระดับผิวน้ำจะโค้งขึ้นตรงขอบชาม แรงยึดเกาะโมเลกุลของน้ำกับผิวชามมีมากกว่าแรงยึดเกาะระหว่างน้ำกับน้ำเอง ลูกปิงปองจึงลอยไปติดขอบชาม แต่ถ้าเติมน้ำลงไปจนน้ำปริ่มๆ ระดับน้ำสูงสุดจะอยู่ที่ตรงกลางชาม ดังนั้น ลูกปิงปองจึงลอยไปอยู่ตรงกลางครับ”

    ในระหว่างที่ตุลย์เฉลยอยู่นั่นเอง กล้องก็ซูมไปยังเขา ชายผู้เข้าแข่งขันที่เข้ารอบทั้งสองคนยังคงยืนอยู่หลังแผงกั้นใส ดุจฝันปราดตาไปมองชั่วครู่ ก็เห็นเวชาหยิบลูกปิงปองเอาไว้ติดมืออยู่เช่นนั้น เธอไม่ได้ทั้งสงสัยแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนักเพราะเข้าใจว่าเขาคงเผลอหยิบติดมือเฉยๆ

    ผู้เข้าแข่งขั้นทั้งสองจะผละออกจากบริเวณโต๊ะ แล้วเดินตามตุลย์ที่ถือกุญแจไปยังประตูห้องซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ และดุจฝันก็ยังเห็นว่าในมือของเวชา...มีลูกปิงปองอยู่

    ห้องสุดท้ายเป็นห้องเก็บของเล็กๆที่มีประตูอยู่สองประตู ประตูแรกก็คือประตูเชื่อมกับห้องครัวที่เธอเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่นี้ ขณะที่อีกประตูนั้น...

    “และนี่ก็คือเกมสุดท้ายของเรา...ก็คือการหากุญแจออกจากบ้านหลังนี้ให้ได้ โดยออกไปทางประตูนี้ครับ”

    ตุลย์ว่าแล้วก็ผายมือไปยังประตูด้านหน้าของทุกคนที่มีโต๊ะไม้สีซีดเปื้อนคราบสีน้ำตาลเป็นทางตั้งอยู่ใกล้ๆบนประตูนั้นมีแม่กุญแจล็อกกับรูสำหรับคล้อง

    “เราจะมีคำใบ้ทั้งสิ้นห้าคำ โดยจะเริ่มกล่าวคำใบ้แรกตอนเริ่มเกม ในขณะที่คำใบ้ต่อๆมา จะตามมาทุกสามนาทีให้หลัง ถ้าผู้เข้าแข่งขันท่านใดสามารถหากุญแจและไขแม่กุญแจออกจากบ้านหลังนี้ไปได้พร้อมกับคุณดุจฝัน ก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะเกมนี้ครับ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่