“ฮะโหล นี่คุณมัวทำอะไรอยู่ ฉันรอคุณนานแล้วนะ คุณจะเอายังไงแน่ จะออกมามั้ย”
“โถ่คุณ... คุณต้องมาดูไอ้เจ้าหัวแม่เท้าของผมตอนนี้ มันจะหลุดออกร่อมร่อแล้วเนี้ย คุณจะให้ผมไปในสภาพ....เอ่อ... กับไม้ค้ำสองอันเนี้ยนะ”
“ตาขาว คุณมันตาขาว อาการคุณมันดีขึ้นแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว แผลแค่นั้นคุณก็ไม่สู้ ถ้าคุณออกมาพร้อมกับไม้ค้ำนั่นมันจะหมายถึงการสำแดงพลังความต้องการจุดยืนของประชาชนได้มากเลยล่ะ”
“นี่ผมลุกขึ้นยืนเองแทบไม่ได้นะวัลยา ผมกำลังปกป้องอธิปไตยตัวผมเองจากตัวผมเองอยู่! ผมต่อต้าน!รัฐประหาร!จากไอ้เจ้าเชื้อบาดทะยักบ้านี่อยู่ คุณรู้มั้ยหมอเขาบอกผมว่ามันอาจจะต้องตัดทิ้งถ้าขืนแผลนี้มันเรื้อรังขึ้นมาน่ะ ผมต้องต่อสู้กับความเจ็บปวด คุณจะไปยื่นโชว์ป้ายเรียกร้องสิทธิพวกนั้นทำไมกัน ในเมื่อคุณยังรักษาเสรีภาพในร่างกายของคุณไม่ได้นั่นน่ะ”
“นี่คุณเป็นอะไรไปแล้ว... ข้ออ้างของคุณมัน....โธ่...ฉันผิดหวังในตัวคุณมากจริงๆ”
“ถ้าคุณไม่ไปยื่นโชว์ป้ายพวกนั้น คุณจะเป็นไรมั้ย”
“ห๊ะ! เมื่อกี้คุณพูดว่าไงนะ”
“ก็ถ้าคุณไม่ไปยืนโชว์ป้ายพวกนั้น คุณก็ไม่ต้องเสี่ยงถูกจับ ซึ่งถ้าคุณถูกจับมันก็ยิ่งทำให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้นตัวคุณเองหรือประชาชนก็จะเกิดความทุกข์ ถ้าคุณอยู่บ้านเฉยๆทำหน้าที่ไปวันๆตามประสาคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งคุณก็ไม่ต้องปวดหัว”
“โอ้...นี้คุณรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองพูดอะไรออกมา คุณติดมอร์ฟีนรึเปล่าปรวัตร ฉันว่าคุณต้องติดมอร์ฟีนไปแล้วแน่ๆเพราะพยาบาลนั่นบอกฉันว่าจะฉีดยาแก้ปวดให้คุณแล้วจากนั้นคุณก็พูดไม่ได้ศัพท์ ทำตาปรือๆแล้วก็หลับไปน่ะ นี้คุณรู้บ้างมั้ยพวกมันยึดที่ทำงานฉันไปแล้ว คุณจบประวัติศาสตร์มาได้ยังไงกันคุณมองไม่เห็นแม้แต่ภัยของเผด็จการ ถ้าคุณคิดอย่างงี้ในยุโรปตอนสงครามโลกครั้งที่สอง คุณจะโดนรมแก๊สนะปรวัตร”
“โอ้โห นี่คุณเป็นคนประเภทไหนเนี้ย คุณต่อต้านเผด็จการแต่กับชูความเผด็จการ”
“โอเคๆ... ฉันแค่อยากเตือนสติคุณเท่านั้นน่ะ ความคิดคุณทำให้ฉันประสาทเสีย”
“คุณกำลังต่อสู้กับความไร้เหตุผลอยู่นะวัลยา.... คุณจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า การจะต่อสู้กับความไร้เหตุผลคุณต้องก้มหน้าและอย่าตั้งคำถาม มันเหมือนกับคุณกำลังเล่นหมากรุก เมื่อคุณกำลังแพ้คุณจะต้องไม่คว่ำกระดาน คุณแค่เดินต่อไปจนหมากตัวสุดท้าย ทำไมคุณ .... กับ....มวนมหาประชาชนทั้งหลายนั่นถึงไม่กลับบ้าน ไปจับจอบจับเสียมซะ หันหน้าสู้ความทุกข์และงานหนักต่อไป สิ่งนี่แหละคือเสรีภาพที่จีรังยั่งยืน ทำแบบนี้แล้วก็ไม่ต้องไปประท้วง ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่มี ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย ทำไมคุณไม่กลับบ้านซะ มาล้างถ้วยล้างจาน หากับข้าวกับปลามากินซะที”
“คุณยังไม่ได้ล้างจานอีกหรอ โอ้โห ปรวัตร คุณมันเกินรับไหวจริงๆ ที่คุณพูดเมื่อกี้คุณควรจะไปบอกพวกคณะรัฐประหารแทนที่จะเป็นฉันนะ เพราะฉันนี่คือคนที่ก้มหน้าสู้งานหนัก ฉันเองคือคนที่เดินหมากรุกไปที่ละหมาก แล้วพวกมันก็คว่ำกระดานฉัน ถ้าเราไม่ออกมาตอนนี้ต่อไปคุณอาจจะไม่มีแม้แต่ที่ทำกินนะปรวัตร รู้มั้ยคุณกำลังทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณเป็นคนประเภทที่อยู่ได้สบายภายใต้ระบอบเผด็จการ คุณช่างไร้ชีวิตชีวาจริงๆปรวัตร ฉันไม่แน่ใจว่าตอนนี้ฉันกำลังพูดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่”
“ผมตายแล้ววัลยา...ผมอยู่ในนรก”
“อ่อ...มิน่าช่วงนี้คุณถึงดูซีดๆ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะกรวดน้ำไปให้”
“คุณกำลังหยามผมนะวัลยา”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร เหมือนคุณกำลังจมกองน้ำลายตัวเอง ฉันไม่ใจแน่นะว่าสุภาษิตไทยสถานการณ์แบบนี้ควรใช้สำนวนอะไร แต่ฉันหมายถึงคุณกำลังอ้างถึงการสู้กับงานหนักทั้งๆที่ฉันไม่เคยเห็นคุณทำอะไรหนักหนาสากันเลย”
“ตอนผม8-9 ขวบคุณอยู่ไหนวัลยา คุณทำอะไรอยู่”
“คุณหยาบคายมากนะปรวัตร นี่คุณกำลังโมโหนะ”
“คุณรู้มั้ยว่าตอนผมเด็กๆผมต้องไปงมลูกกอล์ฟขึ้นมาจากสระให้ได้เยอะๆ เพียงเพื่อเอาไปขายต่อแพ็คละสิบบาทยี่สิบบาท หนาวก็หนาวแทนที่จะได้นอนดูการ์ตูนตอนเช้าที่บ้านดีๆเหมือนเด็กทั่วไป แม่ผมวันดีคืนดีก็ไปเจอไอ้โปรกอล์ฟสถูน ไอ้บัดซบเอ้ย!จากเช้าจรดเย็น!ไม่ให้ค่าเหนื่อยแม้แต่บาทเดียว มันพาแม่ผมเดินห้ารอบ รู้มั้ยห้ารอบหมายถึงอะไร มันหมายถึงคุณต้องเดินแบกกระเป๋ากอล์ฟที่หนักไม่ต่ำกว่าสิบกิโล อ้อมหลุมกอล์ฟสิบแปดหลุมห้ารอบยังไงหล่ะ มันก็ดีถ้าวันนั้นมีรถลากเหลืออยู่ แล้วรู้อะไรมั้ยวันนั้นผมบอกแม่ให้เอาเรื่องกับมันหรือพาคนที่มีความรู้ไปเอาผิดกับมัน แต่แม่บอกผมว่า “ช่างมันเถอะ” แม่ไม่ตั้งคำถามกับอะไรซักอย่างแล้วรุ่งขึ้นแม่ก็ไปออกรอบเหมือนปกติ ทำให้เย็นนั้นผมมีข้าวกิน แล้วมันก็ทำให้ผมรู้ว่าแทนที่เราจะโศกเศร้าเสียใจ เสียเวลาเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเรียกร้องเงินนั่นคืน ไม่สู้เราก้มหน้าก้มตาสู้กับความทุกข์ยากนั้นต่อไป ส่วนคุณน่ะ อาจจะเป็นประเภทไอ่พวกลูกคุณหนูที่มานั่งกินไอศกรีมหวานๆเย็นๆรอพ่อไดร์ฟกอล์ฟ เสร็จแล้วก็มานั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์กระดิกเท้าจิบอเมริกาโนแล้วก็บ่นเรื่องการเมืองเพียงเพื่อให้ได้อรรถรสเท่านั้นเองล่ะน่ะ”
“นี่......คุณเอาอะไรมาพูดอ่ะปรวัตร คือมันเหมือนกับจักรวาลเรามันเพี้ยนไปแล้ว ฉันรู้แล้วล่ะว่าทำไมคุณถึงกินแต่อเมริกาโน ฉันเห็นใจวัยเด็กของคุณนะปรวัตรแต่จะให้ฉันช่วยคุณยังไง คุณไม่เข้าใจฉันเลย คุณต้องเอาความฝังใจจากการถูกเอารัดเอาเปรียบของแม่คุณมาเป็นแรงต่อสู้! ไม่รู้เหมือนกันนะ บางทีคุณอาจไปหมกมุ่นกับไอ่บทกวีพวกรูปนู๊ดเสาหลักแห่งศิลปะบ้าบออะไรที่คุณพูดถึงนั่นมากเกินไป ของพวกนั้นมันจะทำให้จิตใจคุณอ่อนแอนะปรวัตร ฉันไม่เคยเห็นคุณอยู่ในโลกแห่งความจริงเลย บางทีฉันก็รู้สึกว่าไม่เคยแตะต้องคุณได้เลยปรวัตร คุณเหมือนพวกไม่มีตัวตน คุณล่องลอย ทำไมคุณถึงไม่ออกมา คุณต้องออกมานะปรวัตร ถ้าคุณไม่ออกมาไม่วันใดวันหนึ่งเขาอาจจะใส่รองเท้าบูทเข้าไปเหยียบย่ำบ้านคุณ ห่มเหงพี่น้องคุณ ไม่แน่เราอาจจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหายใจ”
“คุณไม่เข้าใจวัลยา คุณเป็นสาวสังคม คุณหวาดกลัวความโดดเดี่ยว วิถีชีวิตคุณถึงต้องผูกติดกับอะไรซักอย่าง ติดเพื่อน ติดงาน คุณวิ่งหนีความโดดเดี่ยวจนตัวเองรู้สึกแปลกแยก คุณถึงต้องไปหาที่ๆคุณคุ้นเคย บ้านเพื่อนคุณ งานสังสรรค์ ไม่ก็หันหน้าไปพึ่งวัตถุนิยม นี่ผมก็ไม่อยากจะพูดเท่าไหร่ไอ่กระเป๋าคุณใบนั้นนั่นน่ะมัน...”
“นี่คุณ....โอ้โห... คุณติดมอร์ฟีนไปแล้วจริงๆ ปรวัตรคุณกำลังอยากยานะ คุณเลยไม่รู้ว่าคุณตอนนี้คุณกำลังสูญเสียสามัญสำนึกเรื่องสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ไปแล้ว แล้วนี่คุณไปเอาปรัชญาความโดดเดี่ยวนี้มาจากใคร จ่าง แซ่ตั้ง งั้นหรอ สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดนั้นมันคือความล้มเหลมของคุณเอง คุณนั่นแหละที่หนีความทุกข์ คุณเอาแต่อยู่ในห้อง”
“ก็งานผมมันทำที่บ้าน! คุณเลิกทำตัวเป็นพวกหัวรุนแรงที่ไม่รู้จักจบสิ้นซักทีเถอะน่ะ”
“นี่ปรวัตร ฉันนี่แหละคือคนที่กำลังต่อสู้กับความไร้เหตุผลที่คุณว่า ฉันคือคนที่ลดทอนอำนาจความไร้เหตุผล สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้นี่แหละคือการยืนหยัดท่ามกลางกระแสน้ำด้วยการเดินย่ำไปทีละเก้าๆค่อยๆประคอง ไม่ให้กระแสน้ำพัดพาไป มันคือการแสดงออกถึงการรักชีวิตและเสรีภาพของตัวเอง ถ้าฉันไม่ทำชีวิตฉันก็จะไร้ค่า ส่วนคุณน่ะมันเป็นพวกเดินอ้อมกระแสน้ำไปสู่หนทางที่ไร้จุดหมาย ถ้าคุณคิดว่าความโดดเดี่ยวมันดีนักทำไมคุณไม่ไปอยู่ในป่าซะเล่า ไปสู่ความเถื่อนถ้ำและสายธารานิรันดร์อะไรที่คุณว่านั่น ฉันว่าที่คุณเจ็บไม่ใช่แผลที่เท้าคุณหรอก แต่เป็นอารมณ์และจิตใจคุณมากกว่า คุณกำลังกลายเป็นด้านมืดของเวอร์จิเนีย วูลฟ์ไปแล้ว นี่คุณคิดว่าฉันคงกลัวความโดดเดี่ยวมากสินะถึงได้มาอยู่กับฝูงชนท่ามกลางกระบอกปืน”
“ฟังผมนะวัลยา คุณต้องกลับบ้าน มานั่งข้างๆผม มาคุยกัน เรายังรักษาเสรีภาพเอาไว้ได้อยู่วัลยา ตราบใดที่ยังมีปัจจุบัน โอเคคุณพูดถูกวัลยา แต่กลับมาก่อน มาหาไรกินให้มีเรี่ยวแรง มาใช้ชีวิตเป็นสามัญชนคนธรรมดาซักพัก แล้วผมจะอ่านเช็กสเปียร์ให้คุณฟัง แล้วก็...”
“ไม่รู้สิปรวัตร มันก็น่าสนใจดีถ้าตอนนี้ฉันเป็นหญิงสาวอายุสิบหก แต่โลกมันหมุนทุกวันปรวัตร ฉันอยู่กับที่ไม่ได้ เรื่องระหว่างเรามันจะไม่ขับเคลื่อนไปไหนถ้าไม่มีอุดมการณ์ร่วมกันเป็นตัวนำทาง คุณกับฉันก็ต่างมีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง มันจะนำพาเราไปเจอสิ่งใหม่ๆที่จะนำคุณค่ามาสู่ชีวิต และฉันจะเดินไปตามมัน ไม่รู้เหมือนกันนะปรวัตร ตอนนี้ฉันก็สับสน ที่นี่มันวุ่นวายและเสียงดังมากๆ ฉันไม่คิดว่าจะมีเวลาคุยกับคุณต่อเกินสองนาที”
“โอ้โห....นี่ๆคุณคงไม่คิดจะเลิกกับผมไปในสภาพนี้ใช่มั้ย”
“ไม่รู้เหมือนกันปรวัตร ฉัน.... มาคิดๆดู บางทีเราก็ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย”
“โอเค....วัลยา มันก็แฟร์ดี คุณมันเป็นพวกผู้หญิงกล้าหารอยู่แล้ว”
“ส่วนคุณก็เป็นพวกเลือนหาย คุณไม่เคยอยู่เคียงข้างฉันเลยปรวัตร คุณไม่สู้ ทุกวันนี้คุณฝันถึงใคร คุณใฝ่ฝันถึงอะไรอยู่ ฉันอาจจะไปเข้าไปดูแผลคุณสักวัน แต่เชื่อเถอะว่าฉันจะไม่ล้างจานให้คุณล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่แน่หรอกวันนี้ฉันอาจจะถูกจับ โลกกำลังหมุนปรวัตร ฉันต้องไปตามอุดมการณ์ แค่นี้ล่ะ.....”
--------------------------------------------------------------------------------------------------
-Joseph Lorusso
*** ความรักของวัลยา Generation 2 ***
“โถ่คุณ... คุณต้องมาดูไอ้เจ้าหัวแม่เท้าของผมตอนนี้ มันจะหลุดออกร่อมร่อแล้วเนี้ย คุณจะให้ผมไปในสภาพ....เอ่อ... กับไม้ค้ำสองอันเนี้ยนะ”
“ตาขาว คุณมันตาขาว อาการคุณมันดีขึ้นแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว แผลแค่นั้นคุณก็ไม่สู้ ถ้าคุณออกมาพร้อมกับไม้ค้ำนั่นมันจะหมายถึงการสำแดงพลังความต้องการจุดยืนของประชาชนได้มากเลยล่ะ”
“นี่ผมลุกขึ้นยืนเองแทบไม่ได้นะวัลยา ผมกำลังปกป้องอธิปไตยตัวผมเองจากตัวผมเองอยู่! ผมต่อต้าน!รัฐประหาร!จากไอ้เจ้าเชื้อบาดทะยักบ้านี่อยู่ คุณรู้มั้ยหมอเขาบอกผมว่ามันอาจจะต้องตัดทิ้งถ้าขืนแผลนี้มันเรื้อรังขึ้นมาน่ะ ผมต้องต่อสู้กับความเจ็บปวด คุณจะไปยื่นโชว์ป้ายเรียกร้องสิทธิพวกนั้นทำไมกัน ในเมื่อคุณยังรักษาเสรีภาพในร่างกายของคุณไม่ได้นั่นน่ะ”
“นี่คุณเป็นอะไรไปแล้ว... ข้ออ้างของคุณมัน....โธ่...ฉันผิดหวังในตัวคุณมากจริงๆ”
“ถ้าคุณไม่ไปยื่นโชว์ป้ายพวกนั้น คุณจะเป็นไรมั้ย”
“ห๊ะ! เมื่อกี้คุณพูดว่าไงนะ”
“ก็ถ้าคุณไม่ไปยืนโชว์ป้ายพวกนั้น คุณก็ไม่ต้องเสี่ยงถูกจับ ซึ่งถ้าคุณถูกจับมันก็ยิ่งทำให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้นตัวคุณเองหรือประชาชนก็จะเกิดความทุกข์ ถ้าคุณอยู่บ้านเฉยๆทำหน้าที่ไปวันๆตามประสาคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งคุณก็ไม่ต้องปวดหัว”
“โอ้...นี้คุณรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองพูดอะไรออกมา คุณติดมอร์ฟีนรึเปล่าปรวัตร ฉันว่าคุณต้องติดมอร์ฟีนไปแล้วแน่ๆเพราะพยาบาลนั่นบอกฉันว่าจะฉีดยาแก้ปวดให้คุณแล้วจากนั้นคุณก็พูดไม่ได้ศัพท์ ทำตาปรือๆแล้วก็หลับไปน่ะ นี้คุณรู้บ้างมั้ยพวกมันยึดที่ทำงานฉันไปแล้ว คุณจบประวัติศาสตร์มาได้ยังไงกันคุณมองไม่เห็นแม้แต่ภัยของเผด็จการ ถ้าคุณคิดอย่างงี้ในยุโรปตอนสงครามโลกครั้งที่สอง คุณจะโดนรมแก๊สนะปรวัตร”
“โอ้โห นี่คุณเป็นคนประเภทไหนเนี้ย คุณต่อต้านเผด็จการแต่กับชูความเผด็จการ”
“โอเคๆ... ฉันแค่อยากเตือนสติคุณเท่านั้นน่ะ ความคิดคุณทำให้ฉันประสาทเสีย”
“คุณกำลังต่อสู้กับความไร้เหตุผลอยู่นะวัลยา.... คุณจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า การจะต่อสู้กับความไร้เหตุผลคุณต้องก้มหน้าและอย่าตั้งคำถาม มันเหมือนกับคุณกำลังเล่นหมากรุก เมื่อคุณกำลังแพ้คุณจะต้องไม่คว่ำกระดาน คุณแค่เดินต่อไปจนหมากตัวสุดท้าย ทำไมคุณ .... กับ....มวนมหาประชาชนทั้งหลายนั่นถึงไม่กลับบ้าน ไปจับจอบจับเสียมซะ หันหน้าสู้ความทุกข์และงานหนักต่อไป สิ่งนี่แหละคือเสรีภาพที่จีรังยั่งยืน ทำแบบนี้แล้วก็ไม่ต้องไปประท้วง ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่มี ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย ทำไมคุณไม่กลับบ้านซะ มาล้างถ้วยล้างจาน หากับข้าวกับปลามากินซะที”
“คุณยังไม่ได้ล้างจานอีกหรอ โอ้โห ปรวัตร คุณมันเกินรับไหวจริงๆ ที่คุณพูดเมื่อกี้คุณควรจะไปบอกพวกคณะรัฐประหารแทนที่จะเป็นฉันนะ เพราะฉันนี่คือคนที่ก้มหน้าสู้งานหนัก ฉันเองคือคนที่เดินหมากรุกไปที่ละหมาก แล้วพวกมันก็คว่ำกระดานฉัน ถ้าเราไม่ออกมาตอนนี้ต่อไปคุณอาจจะไม่มีแม้แต่ที่ทำกินนะปรวัตร รู้มั้ยคุณกำลังทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณเป็นคนประเภทที่อยู่ได้สบายภายใต้ระบอบเผด็จการ คุณช่างไร้ชีวิตชีวาจริงๆปรวัตร ฉันไม่แน่ใจว่าตอนนี้ฉันกำลังพูดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่”
“ผมตายแล้ววัลยา...ผมอยู่ในนรก”
“อ่อ...มิน่าช่วงนี้คุณถึงดูซีดๆ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะกรวดน้ำไปให้”
“คุณกำลังหยามผมนะวัลยา”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร เหมือนคุณกำลังจมกองน้ำลายตัวเอง ฉันไม่ใจแน่นะว่าสุภาษิตไทยสถานการณ์แบบนี้ควรใช้สำนวนอะไร แต่ฉันหมายถึงคุณกำลังอ้างถึงการสู้กับงานหนักทั้งๆที่ฉันไม่เคยเห็นคุณทำอะไรหนักหนาสากันเลย”
“ตอนผม8-9 ขวบคุณอยู่ไหนวัลยา คุณทำอะไรอยู่”
“คุณหยาบคายมากนะปรวัตร นี่คุณกำลังโมโหนะ”
“คุณรู้มั้ยว่าตอนผมเด็กๆผมต้องไปงมลูกกอล์ฟขึ้นมาจากสระให้ได้เยอะๆ เพียงเพื่อเอาไปขายต่อแพ็คละสิบบาทยี่สิบบาท หนาวก็หนาวแทนที่จะได้นอนดูการ์ตูนตอนเช้าที่บ้านดีๆเหมือนเด็กทั่วไป แม่ผมวันดีคืนดีก็ไปเจอไอ้โปรกอล์ฟสถูน ไอ้บัดซบเอ้ย!จากเช้าจรดเย็น!ไม่ให้ค่าเหนื่อยแม้แต่บาทเดียว มันพาแม่ผมเดินห้ารอบ รู้มั้ยห้ารอบหมายถึงอะไร มันหมายถึงคุณต้องเดินแบกกระเป๋ากอล์ฟที่หนักไม่ต่ำกว่าสิบกิโล อ้อมหลุมกอล์ฟสิบแปดหลุมห้ารอบยังไงหล่ะ มันก็ดีถ้าวันนั้นมีรถลากเหลืออยู่ แล้วรู้อะไรมั้ยวันนั้นผมบอกแม่ให้เอาเรื่องกับมันหรือพาคนที่มีความรู้ไปเอาผิดกับมัน แต่แม่บอกผมว่า “ช่างมันเถอะ” แม่ไม่ตั้งคำถามกับอะไรซักอย่างแล้วรุ่งขึ้นแม่ก็ไปออกรอบเหมือนปกติ ทำให้เย็นนั้นผมมีข้าวกิน แล้วมันก็ทำให้ผมรู้ว่าแทนที่เราจะโศกเศร้าเสียใจ เสียเวลาเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเรียกร้องเงินนั่นคืน ไม่สู้เราก้มหน้าก้มตาสู้กับความทุกข์ยากนั้นต่อไป ส่วนคุณน่ะ อาจจะเป็นประเภทไอ่พวกลูกคุณหนูที่มานั่งกินไอศกรีมหวานๆเย็นๆรอพ่อไดร์ฟกอล์ฟ เสร็จแล้วก็มานั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์กระดิกเท้าจิบอเมริกาโนแล้วก็บ่นเรื่องการเมืองเพียงเพื่อให้ได้อรรถรสเท่านั้นเองล่ะน่ะ”
“นี่......คุณเอาอะไรมาพูดอ่ะปรวัตร คือมันเหมือนกับจักรวาลเรามันเพี้ยนไปแล้ว ฉันรู้แล้วล่ะว่าทำไมคุณถึงกินแต่อเมริกาโน ฉันเห็นใจวัยเด็กของคุณนะปรวัตรแต่จะให้ฉันช่วยคุณยังไง คุณไม่เข้าใจฉันเลย คุณต้องเอาความฝังใจจากการถูกเอารัดเอาเปรียบของแม่คุณมาเป็นแรงต่อสู้! ไม่รู้เหมือนกันนะ บางทีคุณอาจไปหมกมุ่นกับไอ่บทกวีพวกรูปนู๊ดเสาหลักแห่งศิลปะบ้าบออะไรที่คุณพูดถึงนั่นมากเกินไป ของพวกนั้นมันจะทำให้จิตใจคุณอ่อนแอนะปรวัตร ฉันไม่เคยเห็นคุณอยู่ในโลกแห่งความจริงเลย บางทีฉันก็รู้สึกว่าไม่เคยแตะต้องคุณได้เลยปรวัตร คุณเหมือนพวกไม่มีตัวตน คุณล่องลอย ทำไมคุณถึงไม่ออกมา คุณต้องออกมานะปรวัตร ถ้าคุณไม่ออกมาไม่วันใดวันหนึ่งเขาอาจจะใส่รองเท้าบูทเข้าไปเหยียบย่ำบ้านคุณ ห่มเหงพี่น้องคุณ ไม่แน่เราอาจจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหายใจ”
“คุณไม่เข้าใจวัลยา คุณเป็นสาวสังคม คุณหวาดกลัวความโดดเดี่ยว วิถีชีวิตคุณถึงต้องผูกติดกับอะไรซักอย่าง ติดเพื่อน ติดงาน คุณวิ่งหนีความโดดเดี่ยวจนตัวเองรู้สึกแปลกแยก คุณถึงต้องไปหาที่ๆคุณคุ้นเคย บ้านเพื่อนคุณ งานสังสรรค์ ไม่ก็หันหน้าไปพึ่งวัตถุนิยม นี่ผมก็ไม่อยากจะพูดเท่าไหร่ไอ่กระเป๋าคุณใบนั้นนั่นน่ะมัน...”
“นี่คุณ....โอ้โห... คุณติดมอร์ฟีนไปแล้วจริงๆ ปรวัตรคุณกำลังอยากยานะ คุณเลยไม่รู้ว่าคุณตอนนี้คุณกำลังสูญเสียสามัญสำนึกเรื่องสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ไปแล้ว แล้วนี่คุณไปเอาปรัชญาความโดดเดี่ยวนี้มาจากใคร จ่าง แซ่ตั้ง งั้นหรอ สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดนั้นมันคือความล้มเหลมของคุณเอง คุณนั่นแหละที่หนีความทุกข์ คุณเอาแต่อยู่ในห้อง”
“ก็งานผมมันทำที่บ้าน! คุณเลิกทำตัวเป็นพวกหัวรุนแรงที่ไม่รู้จักจบสิ้นซักทีเถอะน่ะ”
“นี่ปรวัตร ฉันนี่แหละคือคนที่กำลังต่อสู้กับความไร้เหตุผลที่คุณว่า ฉันคือคนที่ลดทอนอำนาจความไร้เหตุผล สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้นี่แหละคือการยืนหยัดท่ามกลางกระแสน้ำด้วยการเดินย่ำไปทีละเก้าๆค่อยๆประคอง ไม่ให้กระแสน้ำพัดพาไป มันคือการแสดงออกถึงการรักชีวิตและเสรีภาพของตัวเอง ถ้าฉันไม่ทำชีวิตฉันก็จะไร้ค่า ส่วนคุณน่ะมันเป็นพวกเดินอ้อมกระแสน้ำไปสู่หนทางที่ไร้จุดหมาย ถ้าคุณคิดว่าความโดดเดี่ยวมันดีนักทำไมคุณไม่ไปอยู่ในป่าซะเล่า ไปสู่ความเถื่อนถ้ำและสายธารานิรันดร์อะไรที่คุณว่านั่น ฉันว่าที่คุณเจ็บไม่ใช่แผลที่เท้าคุณหรอก แต่เป็นอารมณ์และจิตใจคุณมากกว่า คุณกำลังกลายเป็นด้านมืดของเวอร์จิเนีย วูลฟ์ไปแล้ว นี่คุณคิดว่าฉันคงกลัวความโดดเดี่ยวมากสินะถึงได้มาอยู่กับฝูงชนท่ามกลางกระบอกปืน”
“ฟังผมนะวัลยา คุณต้องกลับบ้าน มานั่งข้างๆผม มาคุยกัน เรายังรักษาเสรีภาพเอาไว้ได้อยู่วัลยา ตราบใดที่ยังมีปัจจุบัน โอเคคุณพูดถูกวัลยา แต่กลับมาก่อน มาหาไรกินให้มีเรี่ยวแรง มาใช้ชีวิตเป็นสามัญชนคนธรรมดาซักพัก แล้วผมจะอ่านเช็กสเปียร์ให้คุณฟัง แล้วก็...”
“ไม่รู้สิปรวัตร มันก็น่าสนใจดีถ้าตอนนี้ฉันเป็นหญิงสาวอายุสิบหก แต่โลกมันหมุนทุกวันปรวัตร ฉันอยู่กับที่ไม่ได้ เรื่องระหว่างเรามันจะไม่ขับเคลื่อนไปไหนถ้าไม่มีอุดมการณ์ร่วมกันเป็นตัวนำทาง คุณกับฉันก็ต่างมีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง มันจะนำพาเราไปเจอสิ่งใหม่ๆที่จะนำคุณค่ามาสู่ชีวิต และฉันจะเดินไปตามมัน ไม่รู้เหมือนกันนะปรวัตร ตอนนี้ฉันก็สับสน ที่นี่มันวุ่นวายและเสียงดังมากๆ ฉันไม่คิดว่าจะมีเวลาคุยกับคุณต่อเกินสองนาที”
“โอ้โห....นี่ๆคุณคงไม่คิดจะเลิกกับผมไปในสภาพนี้ใช่มั้ย”
“ไม่รู้เหมือนกันปรวัตร ฉัน.... มาคิดๆดู บางทีเราก็ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย”
“โอเค....วัลยา มันก็แฟร์ดี คุณมันเป็นพวกผู้หญิงกล้าหารอยู่แล้ว”
“ส่วนคุณก็เป็นพวกเลือนหาย คุณไม่เคยอยู่เคียงข้างฉันเลยปรวัตร คุณไม่สู้ ทุกวันนี้คุณฝันถึงใคร คุณใฝ่ฝันถึงอะไรอยู่ ฉันอาจจะไปเข้าไปดูแผลคุณสักวัน แต่เชื่อเถอะว่าฉันจะไม่ล้างจานให้คุณล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่แน่หรอกวันนี้ฉันอาจจะถูกจับ โลกกำลังหมุนปรวัตร ฉันต้องไปตามอุดมการณ์ แค่นี้ล่ะ.....”
--------------------------------------------------------------------------------------------------
-Joseph Lorusso