*** ความรักของวัลยา Generation 2 ***

“ฮะโหล  นี่คุณมัวทำอะไรอยู่  ฉันรอคุณนานแล้วนะ คุณจะเอายังไงแน่  จะออกมามั้ย”

“โถ่คุณ... คุณต้องมาดูไอ้เจ้าหัวแม่เท้าของผมตอนนี้ มันจะหลุดออกร่อมร่อแล้วเนี้ย  คุณจะให้ผมไปในสภาพ....เอ่อ... กับไม้ค้ำสองอันเนี้ยนะ”

“ตาขาว  คุณมันตาขาว อาการคุณมันดีขึ้นแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว แผลแค่นั้นคุณก็ไม่สู้  ถ้าคุณออกมาพร้อมกับไม้ค้ำนั่นมันจะหมายถึงการสำแดงพลังความต้องการจุดยืนของประชาชนได้มากเลยล่ะ”

“นี่ผมลุกขึ้นยืนเองแทบไม่ได้นะวัลยา  ผมกำลังปกป้องอธิปไตยตัวผมเองจากตัวผมเองอยู่!  ผมต่อต้าน!รัฐประหาร!จากไอ้เจ้าเชื้อบาดทะยักบ้านี่อยู่  คุณรู้มั้ยหมอเขาบอกผมว่ามันอาจจะต้องตัดทิ้งถ้าขืนแผลนี้มันเรื้อรังขึ้นมาน่ะ    ผมต้องต่อสู้กับความเจ็บปวด  คุณจะไปยื่นโชว์ป้ายเรียกร้องสิทธิพวกนั้นทำไมกัน  ในเมื่อคุณยังรักษาเสรีภาพในร่างกายของคุณไม่ได้นั่นน่ะ”

“นี่คุณเป็นอะไรไปแล้ว...  ข้ออ้างของคุณมัน....โธ่...ฉันผิดหวังในตัวคุณมากจริงๆ”

“ถ้าคุณไม่ไปยื่นโชว์ป้ายพวกนั้น คุณจะเป็นไรมั้ย”

“ห๊ะ! เมื่อกี้คุณพูดว่าไงนะ”

“ก็ถ้าคุณไม่ไปยืนโชว์ป้ายพวกนั้น คุณก็ไม่ต้องเสี่ยงถูกจับ ซึ่งถ้าคุณถูกจับมันก็ยิ่งทำให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้นตัวคุณเองหรือประชาชนก็จะเกิดความทุกข์  ถ้าคุณอยู่บ้านเฉยๆทำหน้าที่ไปวันๆตามประสาคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งคุณก็ไม่ต้องปวดหัว”

“โอ้...นี้คุณรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองพูดอะไรออกมา  คุณติดมอร์ฟีนรึเปล่าปรวัตร  ฉันว่าคุณต้องติดมอร์ฟีนไปแล้วแน่ๆเพราะพยาบาลนั่นบอกฉันว่าจะฉีดยาแก้ปวดให้คุณแล้วจากนั้นคุณก็พูดไม่ได้ศัพท์ ทำตาปรือๆแล้วก็หลับไปน่ะ   นี้คุณรู้บ้างมั้ยพวกมันยึดที่ทำงานฉันไปแล้ว  คุณจบประวัติศาสตร์มาได้ยังไงกันคุณมองไม่เห็นแม้แต่ภัยของเผด็จการ  ถ้าคุณคิดอย่างงี้ในยุโรปตอนสงครามโลกครั้งที่สอง  คุณจะโดนรมแก๊สนะปรวัตร”

“โอ้โห  นี่คุณเป็นคนประเภทไหนเนี้ย  คุณต่อต้านเผด็จการแต่กับชูความเผด็จการ”

“โอเคๆ... ฉันแค่อยากเตือนสติคุณเท่านั้นน่ะ  ความคิดคุณทำให้ฉันประสาทเสีย”

“คุณกำลังต่อสู้กับความไร้เหตุผลอยู่นะวัลยา....  คุณจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า  การจะต่อสู้กับความไร้เหตุผลคุณต้องก้มหน้าและอย่าตั้งคำถาม  มันเหมือนกับคุณกำลังเล่นหมากรุก เมื่อคุณกำลังแพ้คุณจะต้องไม่คว่ำกระดาน  คุณแค่เดินต่อไปจนหมากตัวสุดท้าย  ทำไมคุณ  .... กับ....มวนมหาประชาชนทั้งหลายนั่นถึงไม่กลับบ้าน ไปจับจอบจับเสียมซะ หันหน้าสู้ความทุกข์และงานหนักต่อไป  สิ่งนี่แหละคือเสรีภาพที่จีรังยั่งยืน ทำแบบนี้แล้วก็ไม่ต้องไปประท้วง  ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่มี  ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย   ทำไมคุณไม่กลับบ้านซะ  มาล้างถ้วยล้างจาน  หากับข้าวกับปลามากินซะที”

“คุณยังไม่ได้ล้างจานอีกหรอ  โอ้โห ปรวัตร  คุณมันเกินรับไหวจริงๆ  ที่คุณพูดเมื่อกี้คุณควรจะไปบอกพวกคณะรัฐประหารแทนที่จะเป็นฉันนะ  เพราะฉันนี่คือคนที่ก้มหน้าสู้งานหนัก  ฉันเองคือคนที่เดินหมากรุกไปที่ละหมาก แล้วพวกมันก็คว่ำกระดานฉัน  ถ้าเราไม่ออกมาตอนนี้ต่อไปคุณอาจจะไม่มีแม้แต่ที่ทำกินนะปรวัตร  รู้มั้ยคุณกำลังทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณเป็นคนประเภทที่อยู่ได้สบายภายใต้ระบอบเผด็จการ  คุณช่างไร้ชีวิตชีวาจริงๆปรวัตร  ฉันไม่แน่ใจว่าตอนนี้ฉันกำลังพูดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่”

“ผมตายแล้ววัลยา...ผมอยู่ในนรก”

“อ่อ...มิน่าช่วงนี้คุณถึงดูซีดๆ  งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะกรวดน้ำไปให้”

“คุณกำลังหยามผมนะวัลยา”

“ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร  เหมือนคุณกำลังจมกองน้ำลายตัวเอง  ฉันไม่ใจแน่นะว่าสุภาษิตไทยสถานการณ์แบบนี้ควรใช้สำนวนอะไร  แต่ฉันหมายถึงคุณกำลังอ้างถึงการสู้กับงานหนักทั้งๆที่ฉันไม่เคยเห็นคุณทำอะไรหนักหนาสากันเลย”

“ตอนผม8-9 ขวบคุณอยู่ไหนวัลยา  คุณทำอะไรอยู่”

“คุณหยาบคายมากนะปรวัตร  นี่คุณกำลังโมโหนะ”

“คุณรู้มั้ยว่าตอนผมเด็กๆผมต้องไปงมลูกกอล์ฟขึ้นมาจากสระให้ได้เยอะๆ เพียงเพื่อเอาไปขายต่อแพ็คละสิบบาทยี่สิบบาท หนาวก็หนาวแทนที่จะได้นอนดูการ์ตูนตอนเช้าที่บ้านดีๆเหมือนเด็กทั่วไป   แม่ผมวันดีคืนดีก็ไปเจอไอ้โปรกอล์ฟสถูน  ไอ้บัดซบเอ้ย!จากเช้าจรดเย็น!ไม่ให้ค่าเหนื่อยแม้แต่บาทเดียว   มันพาแม่ผมเดินห้ารอบ  รู้มั้ยห้ารอบหมายถึงอะไร มันหมายถึงคุณต้องเดินแบกกระเป๋ากอล์ฟที่หนักไม่ต่ำกว่าสิบกิโล  อ้อมหลุมกอล์ฟสิบแปดหลุมห้ารอบยังไงหล่ะ  มันก็ดีถ้าวันนั้นมีรถลากเหลืออยู่   แล้วรู้อะไรมั้ยวันนั้นผมบอกแม่ให้เอาเรื่องกับมันหรือพาคนที่มีความรู้ไปเอาผิดกับมัน  แต่แม่บอกผมว่า “ช่างมันเถอะ” แม่ไม่ตั้งคำถามกับอะไรซักอย่างแล้วรุ่งขึ้นแม่ก็ไปออกรอบเหมือนปกติ ทำให้เย็นนั้นผมมีข้าวกิน   แล้วมันก็ทำให้ผมรู้ว่าแทนที่เราจะโศกเศร้าเสียใจ  เสียเวลาเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเรียกร้องเงินนั่นคืน  ไม่สู้เราก้มหน้าก้มตาสู้กับความทุกข์ยากนั้นต่อไป    ส่วนคุณน่ะ  อาจจะเป็นประเภทไอ่พวกลูกคุณหนูที่มานั่งกินไอศกรีมหวานๆเย็นๆรอพ่อไดร์ฟกอล์ฟ   เสร็จแล้วก็มานั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์กระดิกเท้าจิบอเมริกาโนแล้วก็บ่นเรื่องการเมืองเพียงเพื่อให้ได้อรรถรสเท่านั้นเองล่ะน่ะ”

“นี่......คุณเอาอะไรมาพูดอ่ะปรวัตร  คือมันเหมือนกับจักรวาลเรามันเพี้ยนไปแล้ว  ฉันรู้แล้วล่ะว่าทำไมคุณถึงกินแต่อเมริกาโน  ฉันเห็นใจวัยเด็กของคุณนะปรวัตรแต่จะให้ฉันช่วยคุณยังไง  คุณไม่เข้าใจฉันเลย  คุณต้องเอาความฝังใจจากการถูกเอารัดเอาเปรียบของแม่คุณมาเป็นแรงต่อสู้!  ไม่รู้เหมือนกันนะ  บางทีคุณอาจไปหมกมุ่นกับไอ่บทกวีพวกรูปนู๊ดเสาหลักแห่งศิลปะบ้าบออะไรที่คุณพูดถึงนั่นมากเกินไป  ของพวกนั้นมันจะทำให้จิตใจคุณอ่อนแอนะปรวัตร  ฉันไม่เคยเห็นคุณอยู่ในโลกแห่งความจริงเลย  บางทีฉันก็รู้สึกว่าไม่เคยแตะต้องคุณได้เลยปรวัตร  คุณเหมือนพวกไม่มีตัวตน  คุณล่องลอย   ทำไมคุณถึงไม่ออกมา  คุณต้องออกมานะปรวัตร  ถ้าคุณไม่ออกมาไม่วันใดวันหนึ่งเขาอาจจะใส่รองเท้าบูทเข้าไปเหยียบย่ำบ้านคุณ  ห่มเหงพี่น้องคุณ  ไม่แน่เราอาจจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหายใจ”

“คุณไม่เข้าใจวัลยา  คุณเป็นสาวสังคม  คุณหวาดกลัวความโดดเดี่ยว  วิถีชีวิตคุณถึงต้องผูกติดกับอะไรซักอย่าง  ติดเพื่อน  ติดงาน  คุณวิ่งหนีความโดดเดี่ยวจนตัวเองรู้สึกแปลกแยก  คุณถึงต้องไปหาที่ๆคุณคุ้นเคย บ้านเพื่อนคุณ  งานสังสรรค์ ไม่ก็หันหน้าไปพึ่งวัตถุนิยม  นี่ผมก็ไม่อยากจะพูดเท่าไหร่ไอ่กระเป๋าคุณใบนั้นนั่นน่ะมัน...”

“นี่คุณ....โอ้โห... คุณติดมอร์ฟีนไปแล้วจริงๆ  ปรวัตรคุณกำลังอยากยานะ  คุณเลยไม่รู้ว่าคุณตอนนี้คุณกำลังสูญเสียสามัญสำนึกเรื่องสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ไปแล้ว  แล้วนี่คุณไปเอาปรัชญาความโดดเดี่ยวนี้มาจากใคร จ่าง แซ่ตั้ง  งั้นหรอ สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดนั้นมันคือความล้มเหลมของคุณเอง  คุณนั่นแหละที่หนีความทุกข์  คุณเอาแต่อยู่ในห้อง”

“ก็งานผมมันทำที่บ้าน!  คุณเลิกทำตัวเป็นพวกหัวรุนแรงที่ไม่รู้จักจบสิ้นซักทีเถอะน่ะ”    

“นี่ปรวัตร  ฉันนี่แหละคือคนที่กำลังต่อสู้กับความไร้เหตุผลที่คุณว่า   ฉันคือคนที่ลดทอนอำนาจความไร้เหตุผล  สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้นี่แหละคือการยืนหยัดท่ามกลางกระแสน้ำด้วยการเดินย่ำไปทีละเก้าๆค่อยๆประคอง ไม่ให้กระแสน้ำพัดพาไป  มันคือการแสดงออกถึงการรักชีวิตและเสรีภาพของตัวเอง  ถ้าฉันไม่ทำชีวิตฉันก็จะไร้ค่า   ส่วนคุณน่ะมันเป็นพวกเดินอ้อมกระแสน้ำไปสู่หนทางที่ไร้จุดหมาย  ถ้าคุณคิดว่าความโดดเดี่ยวมันดีนักทำไมคุณไม่ไปอยู่ในป่าซะเล่า  ไปสู่ความเถื่อนถ้ำและสายธารานิรันดร์อะไรที่คุณว่านั่น  ฉันว่าที่คุณเจ็บไม่ใช่แผลที่เท้าคุณหรอก แต่เป็นอารมณ์และจิตใจคุณมากกว่า  คุณกำลังกลายเป็นด้านมืดของเวอร์จิเนีย  วูลฟ์ไปแล้ว  นี่คุณคิดว่าฉันคงกลัวความโดดเดี่ยวมากสินะถึงได้มาอยู่กับฝูงชนท่ามกลางกระบอกปืน”

“ฟังผมนะวัลยา  คุณต้องกลับบ้าน  มานั่งข้างๆผม  มาคุยกัน  เรายังรักษาเสรีภาพเอาไว้ได้อยู่วัลยา  ตราบใดที่ยังมีปัจจุบัน โอเคคุณพูดถูกวัลยา  แต่กลับมาก่อน  มาหาไรกินให้มีเรี่ยวแรง  มาใช้ชีวิตเป็นสามัญชนคนธรรมดาซักพัก  แล้วผมจะอ่านเช็กสเปียร์ให้คุณฟัง  แล้วก็...”

“ไม่รู้สิปรวัตร  มันก็น่าสนใจดีถ้าตอนนี้ฉันเป็นหญิงสาวอายุสิบหก  แต่โลกมันหมุนทุกวันปรวัตร  ฉันอยู่กับที่ไม่ได้  เรื่องระหว่างเรามันจะไม่ขับเคลื่อนไปไหนถ้าไม่มีอุดมการณ์ร่วมกันเป็นตัวนำทาง  คุณกับฉันก็ต่างมีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง  มันจะนำพาเราไปเจอสิ่งใหม่ๆที่จะนำคุณค่ามาสู่ชีวิต  และฉันจะเดินไปตามมัน  ไม่รู้เหมือนกันนะปรวัตร ตอนนี้ฉันก็สับสน  ที่นี่มันวุ่นวายและเสียงดังมากๆ ฉันไม่คิดว่าจะมีเวลาคุยกับคุณต่อเกินสองนาที”

“โอ้โห....นี่ๆคุณคงไม่คิดจะเลิกกับผมไปในสภาพนี้ใช่มั้ย”

“ไม่รู้เหมือนกันปรวัตร  ฉัน.... มาคิดๆดู   บางทีเราก็ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย”

“โอเค....วัลยา   มันก็แฟร์ดี  คุณมันเป็นพวกผู้หญิงกล้าหารอยู่แล้ว”

“ส่วนคุณก็เป็นพวกเลือนหาย  คุณไม่เคยอยู่เคียงข้างฉันเลยปรวัตร  คุณไม่สู้  ทุกวันนี้คุณฝันถึงใคร  คุณใฝ่ฝันถึงอะไรอยู่  ฉันอาจจะไปเข้าไปดูแผลคุณสักวัน  แต่เชื่อเถอะว่าฉันจะไม่ล้างจานให้คุณล้านเปอร์เซ็นต์   แต่ไม่แน่หรอกวันนี้ฉันอาจจะถูกจับ โลกกำลังหมุนปรวัตร ฉันต้องไปตามอุดมการณ์   แค่นี้ล่ะ.....”

--------------------------------------------------------------------------------------------------

-Joseph Lorusso
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่