อาทิตย์ที่แล้ว จขกท. ได้ไปสอบ TOEIC มา เป็นครั้งแรกในชีวิต ตั้งใจว่าจะสอบไปเพื่อสมัครงานค่ะ
จขกท. ตั้งใจว่าถ้าได้คะแนนถึงตามที่ตั้งใจไว้จะมาเขียนกระทู้ในนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อใครหลายๆ คนที่จะสอบนะคะ
หากเขียนตกบกพร่องยังไงก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยเน้อ มีอะไรสงสัยหลังไมค์มาได้ หากตอบได้ ยินดีช่วยตอบค่ะ
การเตรียมตัวสอบ
- TOEIC เท่าที่รู้ๆ กันคือมีสองส่วนคือฟังและอ่าน
- Listening 45 นาที ส่วน Reading 75 นาที รายละเอียดแต่ละพาร์ทจะอธิบายทีหลังนะคะ
- จขกท. มีเวลาเตรียมตัวสอบน้อยมาก จริงๆจังๆประมาณ 2-3 วัน เพราะบริษัทที่อยากสมัครเปิดรับสมัครงานและเอาผลสอบโทอิค เลยต้องไปสอบ
- ที่บ้านมีหนังสือ TOEIC ของ Barron เลยยึดหนังสือเล่มนั้นเป็นหลักค่ะ แต่ก่อนวันสอบจริงลองมาทำของ Oxford ดู ซึ่งหลายคนบอกว่าเป็นชุดข้อสอบที่เหมือนของจริงมากที่สุด ซึ่งจะยากกว่าของ Barron นิดหน่อย แนะนำให้อ่าน Barron ก่อน พอคิดว่าทำได้แล้ว ลองมาทำของ Oxford ดูค่ะ แต่ส่วนตัวคิดว่าข้อสอบจริงมันยากกว่าของ Oxford อีก โดยเฉพาะ part reading
จขกท. โหลดของ Oxford จาก
http://2g.ppantip.com/cafe/library/topic/K12753976/K12753976.html
ต้องขอบคุณผู้อุปการะคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
- แนะนำให้ทำ practice test เยอะๆ ท่องศัพท์เยอะๆ ศัพท์สำคัญมากสำหรับทั้ง part listening และ reading นะคะ
การเตรียมตัวสอบของแต่ละ part
Listening
- แนะนำให้ฟังเยอะๆ ดูหนัง soundtrack ฟังเพลง ดู youtube ภาษาอังกฤษเยอะๆ จขกท. ชอบดู reality show พวก America's / Britain's got talent / The voice etc. ของต่างประเทศนะคะ พวกนี้สนุกและช่วยการฟังได้มาก เอาให้คุ้นกับสำเนียงไปเลย หากคนที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ แนะนำให้ดูหนังไปแล้วเปิด subtitle เป็นทั้งภาษาไทยและอังกฤษ จะได้รู้ว่ามันแปลว่าอะไร และเค้าพูดกันยังไง ส่วนนี้ ของ Barron โอเคเลยค่ะ และจะพูดเร็วกว่าข้อสอบจริงนิดหน่อย ลองทำดูค่ะ
- Listening แบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ
1. Photographs 10 ข้อ
ส่วนนี้มีรูป print มาให้ แล้วให้ฟัง แล้วเลือกว่าอันไหนอธิบายรูปได้ดีที่สุด คิดว่าค่อนข้างง่าย แต่จะมีตัวหลอกเยอะ เช่น หลอกเสียง เช่น dock กับ dog ทำให้เรางงๆ ลองทำ practice test เยอะๆ แล้วจะรู้ค่ะ
2. Question-Response 30 ข้อ
ส่วนนี้มีคนนึงถาม ให้เราฟังคำตอบ แล้วเลือกว่าคำตอบไหนเหมาะที่จะเป็นคำตอบของคำถามที่เค้าถามมา เช่น ถามว่า How was your vacation? คำตอบที่เป็นไปได้ควรจะเป็น It was awesome. ฟังดีๆ ว่าเค้าถามว่าอะไร พวก what / where / when / why / how / who เพราะคำตอบชอบหลอกมา และที่ต้องระวังคือเพศ พวก he / she บางทีจะเจอแบบว่า How is she doing? แล้วมีคำตอบว่า He is doing great. ซึ่งคำตอบนี้จะถูก ถ้าเปลี่ยน he เป็น she แต่ถ้าเราหลุดเมื่อไหร่ แล้วจำไม่ได้ว่าเค้าถาม he หรือ she ก็อาจจะตอบผิดได้ค่ะ เคล็ดลับที่จขกท. ใช้คือ คิดว่าเราไปแอบฟังชาวบ้านคุยกันอยู่ 55555 พยายาม focus ว่าเค้าพูดถึงใคร แล้วแปลในหัวออกมาว่ามันต้องการอะไร แล้วคำตอบน่าจะต้องเป็นแบบไหน อาจจะแปลกนิดนึงแต่ได้ผลค่ะ
3. Short conversation 30 ข้อ
ส่วนนี้มีคนสองคนคุยกัน แล้วจะมีคำถามให้เราตอบ 3 ข้อ ซึ่งคำตอบจะอยู่ใน conversation ที่เค้าคุยกันนั่นแหละ part นี้ต้องอ่านคำถาม 3 ข้อนี้ให้ทันก่อน conversation จะเริ่ม และพยายามจำคำถามให้ได้ แล้วฟัง conversation เมื่อฟังแล้ว เจอคำตอบเมื่อไหร่ให้กาลงไปให้กระดาษคำตอบเลย แล้วค่อยมาฝนตอนจบข้อ ตอนจบข้อนะคะ ไม่ใช่จบ listening test หากฝนไม่ทันให้กาไว้แล้วค่อยฝนตอนจบได้แต่จะเสียเวลานิดหน่อย แล้วพยายามทำให้เร็ว ถ้าไม่ทันให้เดาๆ ไปก่อนแล้วไปอ่านคำถามข้อถัดไป อย่าติดอยู่กับข้อใดข้อหนึ่งนานค่ะ เพราะจะทำให้เสียคะแนนของข้อถัดไปได้
4. Short talks 30 ข้อ
ส่วนนี้คล้ายกับ conversation แต่จะมีแค่คนๆ เดียวพูด เช่น บอกว่าสายการบิน delayed หรือว่าพวก weather forecast ไรงี้ มีคำถาม 3 ข้อ แนะนำให้อ่านคำถามทั้งหมดก่อนทุกครั้งเหมือน part conversation ค่ะ
Reading
- ส่วนนี้แนะนำให้อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษและท่องศัพท์เยอะๆ grammar ก็สำคัญ ส่วนใหญ่คนจะทำส่วนนี้กันไม่ทัน จขกท.เองก็ทำเกือบไม่ทัน แนะนำให้อ่านให้ชิน และเร็วๆ อย่าไปติดอยู่กับข้อไหนนานมากเกินไป หากไม่แน่ใจให้เดาไปก่อน ถ้ามีเวลาค่อยกลับมาคิด
- Reading มี 4 ส่วนคือ
1. Incomplete sentences 40 ข้อ
ส่วนนี้เน้น grammar และ vocabulary ค่ะ ใครเป๊ะ grammar อยู่แล้วสบายมาก แนะนำให้ท่องศัพท์และศึกษาพวก grammar ให้ดีๆ ข้อสอบที่ จขกท.สอบไม่ยากมากในส่วนนี้ ที่เจอจะมีให้เลือกว่าควรจะเอาคำใดมาใส่ โดยจะให้คำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่มีทั้ง adjective / adverb / noun เช่น correct / correctly / correction เราต้องกลับไปดูว่าในประโยคควรใส่คำชนิดใดค่ะ
2. Text completion 12 ข้อ
ส่วนนี้เท่าที่เห็นจะมีอีเมล์ ที่ตัดคำบางคำออก ให้เราเลือกมาเติม อันนี้ต้องใช้ความเข้าใจ และ vocab ก็สำคัญมากเหมือนกัน ใครที่ทำงานแวดวงธุรกิจและชินกับการเขียนอีเมล์ภาษาอังกฤษอยู่แล้วน่าจะทำได้ไม่ยากมาก part นี้บางข้ออาจจะง่าย เห็นแล้วตอบได้เลย เป็น grammar แต่บางข้ออาจจะต้องดูด้วยว่าเค้าเขียนอะไรมาก่อน แล้วเราต้องเลือกคำตอบให้สอดคล้องกัน ทำ practice test เยอะๆๆๆ แล้วจะชินค่ะ
3. Single passages 28 ข้อ
ส่วนนี้จะมีบทความอันเดียวมาให้อ่าน อาจจะเป็นบทความรับสมัครงาน อีเมล์ ตั๋วรถไฟ ประกาศนู่นนี่นั่น ข้อสอบชุดที่จขกท. ได้ มีบทความเกี่ยวกับว่า ทำไมวันนี้ร้านอาหารหยุด แล้วจะเปิดเมื่อไหร่ อะไรยังไง คำถามก็จะมีแนวแบบว่า ถ้าเราจะไปทานอาหารเวลานี้ เราควรไปวันไหน ซึ่งคำถามก็อยู่ใน passage นั่นแหละค่ะ อยู่ที่ว่าจะหาเจอหรือปล่าว พาร์ทนี้แนะนำให้อ่านคำถามก่อน แล้วไปหาใน passage อีกที ไม่ควรอ่านทั้งหมด เพราะจะเสียเวลามากๆ
4. Double passages 20 ข้อ
ส่วนนี้ จขกท. ใช้เวลาไปมากสุด จะยากขึ้นว่า single passage ตรงที่เค้าจะมี passage มาให้สองอัน ซึ่งมัน relate กัน เช่น อีเมล์ตอบกลับ ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสนอราคา ลูกค้าบ่น บลา บลา แต่จะเสียเวลามากเพราะคำถามมักจะถามความเข้าใจว่าตกลงมันยังไง ลูกค้าจะเอาอะไร ตอนที่จขกท.ไปสอบเจออันนึง อึ้งไป เพราะหาไม่เจอ 5555 เป็น passages เกี่ยวกับการสั่งซื้อของค่ะ อาจจะงงนิดนึง ข้ามไปก็ได้ค่ะ เรื่องก็มีอยู่ว่า... ประมาณว่าบริษัท A จะซื้อของจากบริษัท B ซึ่งเป็นบริษัทที่ A ซื้อประจำแต่บริษัท B จะปิดปรับปรุงชั่วคราว A เลยต้องไปหาบริษัท C แทน ทีนี้ A เลยส่งอีเมล์ถาม B ว่าจะโอเคไหม ถ้า A จะไปซื้อ C ก่อน แล้วพอ B ปรับปรุงเสร็จ A จะกลับไปหา (ออกแนวรักสามเศร้า) บริษัท A เนี่ย บอก B ว่าอยากได้ของ 4 อย่างคือ 1 2 3 4 ซึ่งผลิตจากบริษัทดังนี้ w x y z ตามลำดับ แล้ว B มีของแค่ของบริษัท z เท่านั้น เค้ามีตารางให้ด้วย ว่าบริษัท A อยากได้อะไรบ้าง แล้วอะไรผลิตอะไร เช่น pencil ผลิตจากบริษัท w ประมาณนี้ ปรากฏว่ามีคำถามถามว่า คิดว่าบริษัท A จะไม่ซื้ออะไรจากบริษัท C ตรงนี้กะว่าจะมั่วแล้ว แต่การหาคำตอบคือต้องไปดูว่าตกลง B มีของของบริษัทอะไรบ้าง แล้วไอ้บริษัทนี้มันผลิตอะไร ประมาณว่าไม่ได้ถามตรง ต้องดูแล้วเอาไปเทียบ ซึ่งข้อสอบแบบนี้ไม่เคยเจอใน practice test เลย เล่นเอาเสียเวลาไปเหมือนกัน ส่วนนี้แนะนำเหมือนเดิมคืออ่านคำถามก่อน แล้ว screen ว่ามันคุยอะไรกันแล้วค่อยเอามาตอบค่ะ
การสมัครสอบและการเดินทางไปสอบ
- ดูตามเว็บนี้ได้เลยค่า
http://ppantip.com/topic/31107156
เขียนไว้ชัดเจนมากๆ ณ ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ ต้องขอบคุณจขกท.นี้มา ณ ที่นี้ด้วย
คือ 1. โทรไปจองที่นั่งสอบ จะมีเวลาสอบให้เลือก 2 เวลาคือ 9 โมงและบ่ายโมง แล้วแต่สะดวก ส่วนตัวแล้วคิดว่าตอนเช้าดีกว่า เพราะคนสอบจะน้อยกว่า เท่าที่เห็นจากวันสอบ และการเดินทางมาจะไม่ร้อนมาก
2. เตรียมเงิน 1,500 บาทและหลักฐานแสดงตน เพื่อไปยื่นในวันสอบ (บัตรประชาชนหรือใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์หรือ passport อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ยังไม่หมดอายุเท่านั้น)
วันสอบ
- พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนวันสอบ เพราะข้อสอบต้องตั้งใจทำและมีสมาธิมากๆ ไม่ควรหลุด โดยเฉพาะ part listening
- ควรไปถึงสถานที่สอบอย่างน้อย 1 ชม.ก่อนเวลาสอบ คือจขกท. สอบ 9 โมงเช้า ควรไปถึง 8 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ศูนย์สอบเปิดพอดี ถ้าไปก่อนจะไม่มีที่นั่งรอและร้อนมาก 5555 แนะนำให้ไปถึงประมาณ 8 โมงค่ะ จะได้ไม่ต้องรอนาน
- เมื่อศูนย์สอบเปิด จนท. จะเรียกให้เราไปลงทะเบียนและถ่ายรูปโดยใช้กล้องเว็บแคม ซึ่งรูปจขกท. ออกมาแย่มากๆๆๆ 555 จากนั้นก็ไปจ่ายเงินและเซ็นชื่อเพื่อรับเลขห้องสอบ ตอนนั้นจขกท. ได้ห้องเลข 1904 แต่เลขที่นั่งจนท. จะแจ้งให้เองก่อนเข้าห้อง ซึ่งแล้วแต่ดวงมากๆ (ภาวนาให้ได้นั่งใกล้ลำโพงจะได้ฟังชัดๆ)
- ปากกา ดินสอ ยางลบ ทางศูนย์มีให้หมด และจะไม้ให้เอาอะไรเข้าห้องสอบยกเว้นกระเป๋าสตางค์ ส่วนของอื่นๆ ทางศูนย์จัดที่ไว้ให้วางค่ะ
การรับผลสอบ
- เนื่องจาก จขกท. ตื่นเต้นมาก จึงเลือกไปรับด้วยตนเองในวันหลังจากวันสอบค่ะ
- การรับผลสอบมีอยู่สองวิธีคือรับด้วยตนเองกับส่ง EMS ซึ่งหากเลือกวิธี EMS จะได้ผลสอบประมาณ 3 วันทำการหลังสอบค่ะ
- หากเลือกสอบวันเสาร์ จะได้ผลสอบวันอังคารค่ะ
การคิดคะแนน (เทียบคะแนนดิบเป็นคะแนนเต็ม 990)
- อันนี้จะบอกว่าจขกท. ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะมีหลายเว็บเหลือเกินที่มีตารางเทียบคะแนนให้ดู ซึ่งแต่ละเว็บก็ต่างกัน แต่หากเทียบตามตารางหนังสือ Barron คนที่ทำ listening ผิดไม่เกิน 10 ข้อ จะได้คะแนนเต็มพาร์ทนั้น คือ 495 ส่วน reading ถ้าจำไม่ผิดคือทำผิดได้ 3 ข้อ จะได้คะแนนเต็ม
... จขกท. ได้คะแนนรวม 950 ค่ะ โดย listening ได้ 495 และ reading ได้ 450 ...
ขอให้ทุกคนที่จะสอบ TOEIC สู้ๆ ทำ practice test เยอะๆ และได้คะแนนตามที่ปรารถนาไว้นะคะ
แชร์ประสบการณ์สอบ TOEIC วันที่ 14/05/2014 ค่ะ
จขกท. ตั้งใจว่าถ้าได้คะแนนถึงตามที่ตั้งใจไว้จะมาเขียนกระทู้ในนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อใครหลายๆ คนที่จะสอบนะคะ
หากเขียนตกบกพร่องยังไงก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยเน้อ มีอะไรสงสัยหลังไมค์มาได้ หากตอบได้ ยินดีช่วยตอบค่ะ
การเตรียมตัวสอบ
- TOEIC เท่าที่รู้ๆ กันคือมีสองส่วนคือฟังและอ่าน
- Listening 45 นาที ส่วน Reading 75 นาที รายละเอียดแต่ละพาร์ทจะอธิบายทีหลังนะคะ
- จขกท. มีเวลาเตรียมตัวสอบน้อยมาก จริงๆจังๆประมาณ 2-3 วัน เพราะบริษัทที่อยากสมัครเปิดรับสมัครงานและเอาผลสอบโทอิค เลยต้องไปสอบ
- ที่บ้านมีหนังสือ TOEIC ของ Barron เลยยึดหนังสือเล่มนั้นเป็นหลักค่ะ แต่ก่อนวันสอบจริงลองมาทำของ Oxford ดู ซึ่งหลายคนบอกว่าเป็นชุดข้อสอบที่เหมือนของจริงมากที่สุด ซึ่งจะยากกว่าของ Barron นิดหน่อย แนะนำให้อ่าน Barron ก่อน พอคิดว่าทำได้แล้ว ลองมาทำของ Oxford ดูค่ะ แต่ส่วนตัวคิดว่าข้อสอบจริงมันยากกว่าของ Oxford อีก โดยเฉพาะ part reading
จขกท. โหลดของ Oxford จาก http://2g.ppantip.com/cafe/library/topic/K12753976/K12753976.html
ต้องขอบคุณผู้อุปการะคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
- แนะนำให้ทำ practice test เยอะๆ ท่องศัพท์เยอะๆ ศัพท์สำคัญมากสำหรับทั้ง part listening และ reading นะคะ
การเตรียมตัวสอบของแต่ละ part
Listening
- แนะนำให้ฟังเยอะๆ ดูหนัง soundtrack ฟังเพลง ดู youtube ภาษาอังกฤษเยอะๆ จขกท. ชอบดู reality show พวก America's / Britain's got talent / The voice etc. ของต่างประเทศนะคะ พวกนี้สนุกและช่วยการฟังได้มาก เอาให้คุ้นกับสำเนียงไปเลย หากคนที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ แนะนำให้ดูหนังไปแล้วเปิด subtitle เป็นทั้งภาษาไทยและอังกฤษ จะได้รู้ว่ามันแปลว่าอะไร และเค้าพูดกันยังไง ส่วนนี้ ของ Barron โอเคเลยค่ะ และจะพูดเร็วกว่าข้อสอบจริงนิดหน่อย ลองทำดูค่ะ
- Listening แบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ
1. Photographs 10 ข้อ
ส่วนนี้มีรูป print มาให้ แล้วให้ฟัง แล้วเลือกว่าอันไหนอธิบายรูปได้ดีที่สุด คิดว่าค่อนข้างง่าย แต่จะมีตัวหลอกเยอะ เช่น หลอกเสียง เช่น dock กับ dog ทำให้เรางงๆ ลองทำ practice test เยอะๆ แล้วจะรู้ค่ะ
2. Question-Response 30 ข้อ
ส่วนนี้มีคนนึงถาม ให้เราฟังคำตอบ แล้วเลือกว่าคำตอบไหนเหมาะที่จะเป็นคำตอบของคำถามที่เค้าถามมา เช่น ถามว่า How was your vacation? คำตอบที่เป็นไปได้ควรจะเป็น It was awesome. ฟังดีๆ ว่าเค้าถามว่าอะไร พวก what / where / when / why / how / who เพราะคำตอบชอบหลอกมา และที่ต้องระวังคือเพศ พวก he / she บางทีจะเจอแบบว่า How is she doing? แล้วมีคำตอบว่า He is doing great. ซึ่งคำตอบนี้จะถูก ถ้าเปลี่ยน he เป็น she แต่ถ้าเราหลุดเมื่อไหร่ แล้วจำไม่ได้ว่าเค้าถาม he หรือ she ก็อาจจะตอบผิดได้ค่ะ เคล็ดลับที่จขกท. ใช้คือ คิดว่าเราไปแอบฟังชาวบ้านคุยกันอยู่ 55555 พยายาม focus ว่าเค้าพูดถึงใคร แล้วแปลในหัวออกมาว่ามันต้องการอะไร แล้วคำตอบน่าจะต้องเป็นแบบไหน อาจจะแปลกนิดนึงแต่ได้ผลค่ะ
3. Short conversation 30 ข้อ
ส่วนนี้มีคนสองคนคุยกัน แล้วจะมีคำถามให้เราตอบ 3 ข้อ ซึ่งคำตอบจะอยู่ใน conversation ที่เค้าคุยกันนั่นแหละ part นี้ต้องอ่านคำถาม 3 ข้อนี้ให้ทันก่อน conversation จะเริ่ม และพยายามจำคำถามให้ได้ แล้วฟัง conversation เมื่อฟังแล้ว เจอคำตอบเมื่อไหร่ให้กาลงไปให้กระดาษคำตอบเลย แล้วค่อยมาฝนตอนจบข้อ ตอนจบข้อนะคะ ไม่ใช่จบ listening test หากฝนไม่ทันให้กาไว้แล้วค่อยฝนตอนจบได้แต่จะเสียเวลานิดหน่อย แล้วพยายามทำให้เร็ว ถ้าไม่ทันให้เดาๆ ไปก่อนแล้วไปอ่านคำถามข้อถัดไป อย่าติดอยู่กับข้อใดข้อหนึ่งนานค่ะ เพราะจะทำให้เสียคะแนนของข้อถัดไปได้
4. Short talks 30 ข้อ
ส่วนนี้คล้ายกับ conversation แต่จะมีแค่คนๆ เดียวพูด เช่น บอกว่าสายการบิน delayed หรือว่าพวก weather forecast ไรงี้ มีคำถาม 3 ข้อ แนะนำให้อ่านคำถามทั้งหมดก่อนทุกครั้งเหมือน part conversation ค่ะ
Reading
- ส่วนนี้แนะนำให้อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษและท่องศัพท์เยอะๆ grammar ก็สำคัญ ส่วนใหญ่คนจะทำส่วนนี้กันไม่ทัน จขกท.เองก็ทำเกือบไม่ทัน แนะนำให้อ่านให้ชิน และเร็วๆ อย่าไปติดอยู่กับข้อไหนนานมากเกินไป หากไม่แน่ใจให้เดาไปก่อน ถ้ามีเวลาค่อยกลับมาคิด
- Reading มี 4 ส่วนคือ
1. Incomplete sentences 40 ข้อ
ส่วนนี้เน้น grammar และ vocabulary ค่ะ ใครเป๊ะ grammar อยู่แล้วสบายมาก แนะนำให้ท่องศัพท์และศึกษาพวก grammar ให้ดีๆ ข้อสอบที่ จขกท.สอบไม่ยากมากในส่วนนี้ ที่เจอจะมีให้เลือกว่าควรจะเอาคำใดมาใส่ โดยจะให้คำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่มีทั้ง adjective / adverb / noun เช่น correct / correctly / correction เราต้องกลับไปดูว่าในประโยคควรใส่คำชนิดใดค่ะ
2. Text completion 12 ข้อ
ส่วนนี้เท่าที่เห็นจะมีอีเมล์ ที่ตัดคำบางคำออก ให้เราเลือกมาเติม อันนี้ต้องใช้ความเข้าใจ และ vocab ก็สำคัญมากเหมือนกัน ใครที่ทำงานแวดวงธุรกิจและชินกับการเขียนอีเมล์ภาษาอังกฤษอยู่แล้วน่าจะทำได้ไม่ยากมาก part นี้บางข้ออาจจะง่าย เห็นแล้วตอบได้เลย เป็น grammar แต่บางข้ออาจจะต้องดูด้วยว่าเค้าเขียนอะไรมาก่อน แล้วเราต้องเลือกคำตอบให้สอดคล้องกัน ทำ practice test เยอะๆๆๆ แล้วจะชินค่ะ
3. Single passages 28 ข้อ
ส่วนนี้จะมีบทความอันเดียวมาให้อ่าน อาจจะเป็นบทความรับสมัครงาน อีเมล์ ตั๋วรถไฟ ประกาศนู่นนี่นั่น ข้อสอบชุดที่จขกท. ได้ มีบทความเกี่ยวกับว่า ทำไมวันนี้ร้านอาหารหยุด แล้วจะเปิดเมื่อไหร่ อะไรยังไง คำถามก็จะมีแนวแบบว่า ถ้าเราจะไปทานอาหารเวลานี้ เราควรไปวันไหน ซึ่งคำถามก็อยู่ใน passage นั่นแหละค่ะ อยู่ที่ว่าจะหาเจอหรือปล่าว พาร์ทนี้แนะนำให้อ่านคำถามก่อน แล้วไปหาใน passage อีกที ไม่ควรอ่านทั้งหมด เพราะจะเสียเวลามากๆ
4. Double passages 20 ข้อ
ส่วนนี้ จขกท. ใช้เวลาไปมากสุด จะยากขึ้นว่า single passage ตรงที่เค้าจะมี passage มาให้สองอัน ซึ่งมัน relate กัน เช่น อีเมล์ตอบกลับ ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสนอราคา ลูกค้าบ่น บลา บลา แต่จะเสียเวลามากเพราะคำถามมักจะถามความเข้าใจว่าตกลงมันยังไง ลูกค้าจะเอาอะไร ตอนที่จขกท.ไปสอบเจออันนึง อึ้งไป เพราะหาไม่เจอ 5555 เป็น passages เกี่ยวกับการสั่งซื้อของค่ะ อาจจะงงนิดนึง ข้ามไปก็ได้ค่ะ เรื่องก็มีอยู่ว่า... ประมาณว่าบริษัท A จะซื้อของจากบริษัท B ซึ่งเป็นบริษัทที่ A ซื้อประจำแต่บริษัท B จะปิดปรับปรุงชั่วคราว A เลยต้องไปหาบริษัท C แทน ทีนี้ A เลยส่งอีเมล์ถาม B ว่าจะโอเคไหม ถ้า A จะไปซื้อ C ก่อน แล้วพอ B ปรับปรุงเสร็จ A จะกลับไปหา (ออกแนวรักสามเศร้า) บริษัท A เนี่ย บอก B ว่าอยากได้ของ 4 อย่างคือ 1 2 3 4 ซึ่งผลิตจากบริษัทดังนี้ w x y z ตามลำดับ แล้ว B มีของแค่ของบริษัท z เท่านั้น เค้ามีตารางให้ด้วย ว่าบริษัท A อยากได้อะไรบ้าง แล้วอะไรผลิตอะไร เช่น pencil ผลิตจากบริษัท w ประมาณนี้ ปรากฏว่ามีคำถามถามว่า คิดว่าบริษัท A จะไม่ซื้ออะไรจากบริษัท C ตรงนี้กะว่าจะมั่วแล้ว แต่การหาคำตอบคือต้องไปดูว่าตกลง B มีของของบริษัทอะไรบ้าง แล้วไอ้บริษัทนี้มันผลิตอะไร ประมาณว่าไม่ได้ถามตรง ต้องดูแล้วเอาไปเทียบ ซึ่งข้อสอบแบบนี้ไม่เคยเจอใน practice test เลย เล่นเอาเสียเวลาไปเหมือนกัน ส่วนนี้แนะนำเหมือนเดิมคืออ่านคำถามก่อน แล้ว screen ว่ามันคุยอะไรกันแล้วค่อยเอามาตอบค่ะ
การสมัครสอบและการเดินทางไปสอบ
- ดูตามเว็บนี้ได้เลยค่า http://ppantip.com/topic/31107156
เขียนไว้ชัดเจนมากๆ ณ ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ ต้องขอบคุณจขกท.นี้มา ณ ที่นี้ด้วย
คือ 1. โทรไปจองที่นั่งสอบ จะมีเวลาสอบให้เลือก 2 เวลาคือ 9 โมงและบ่ายโมง แล้วแต่สะดวก ส่วนตัวแล้วคิดว่าตอนเช้าดีกว่า เพราะคนสอบจะน้อยกว่า เท่าที่เห็นจากวันสอบ และการเดินทางมาจะไม่ร้อนมาก
2. เตรียมเงิน 1,500 บาทและหลักฐานแสดงตน เพื่อไปยื่นในวันสอบ (บัตรประชาชนหรือใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์หรือ passport อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ยังไม่หมดอายุเท่านั้น)
วันสอบ
- พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนวันสอบ เพราะข้อสอบต้องตั้งใจทำและมีสมาธิมากๆ ไม่ควรหลุด โดยเฉพาะ part listening
- ควรไปถึงสถานที่สอบอย่างน้อย 1 ชม.ก่อนเวลาสอบ คือจขกท. สอบ 9 โมงเช้า ควรไปถึง 8 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ศูนย์สอบเปิดพอดี ถ้าไปก่อนจะไม่มีที่นั่งรอและร้อนมาก 5555 แนะนำให้ไปถึงประมาณ 8 โมงค่ะ จะได้ไม่ต้องรอนาน
- เมื่อศูนย์สอบเปิด จนท. จะเรียกให้เราไปลงทะเบียนและถ่ายรูปโดยใช้กล้องเว็บแคม ซึ่งรูปจขกท. ออกมาแย่มากๆๆๆ 555 จากนั้นก็ไปจ่ายเงินและเซ็นชื่อเพื่อรับเลขห้องสอบ ตอนนั้นจขกท. ได้ห้องเลข 1904 แต่เลขที่นั่งจนท. จะแจ้งให้เองก่อนเข้าห้อง ซึ่งแล้วแต่ดวงมากๆ (ภาวนาให้ได้นั่งใกล้ลำโพงจะได้ฟังชัดๆ)
- ปากกา ดินสอ ยางลบ ทางศูนย์มีให้หมด และจะไม้ให้เอาอะไรเข้าห้องสอบยกเว้นกระเป๋าสตางค์ ส่วนของอื่นๆ ทางศูนย์จัดที่ไว้ให้วางค่ะ
การรับผลสอบ
- เนื่องจาก จขกท. ตื่นเต้นมาก จึงเลือกไปรับด้วยตนเองในวันหลังจากวันสอบค่ะ
- การรับผลสอบมีอยู่สองวิธีคือรับด้วยตนเองกับส่ง EMS ซึ่งหากเลือกวิธี EMS จะได้ผลสอบประมาณ 3 วันทำการหลังสอบค่ะ
- หากเลือกสอบวันเสาร์ จะได้ผลสอบวันอังคารค่ะ
การคิดคะแนน (เทียบคะแนนดิบเป็นคะแนนเต็ม 990)
- อันนี้จะบอกว่าจขกท. ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะมีหลายเว็บเหลือเกินที่มีตารางเทียบคะแนนให้ดู ซึ่งแต่ละเว็บก็ต่างกัน แต่หากเทียบตามตารางหนังสือ Barron คนที่ทำ listening ผิดไม่เกิน 10 ข้อ จะได้คะแนนเต็มพาร์ทนั้น คือ 495 ส่วน reading ถ้าจำไม่ผิดคือทำผิดได้ 3 ข้อ จะได้คะแนนเต็ม
... จขกท. ได้คะแนนรวม 950 ค่ะ โดย listening ได้ 495 และ reading ได้ 450 ...
ขอให้ทุกคนที่จะสอบ TOEIC สู้ๆ ทำ practice test เยอะๆ และได้คะแนนตามที่ปรารถนาไว้นะคะ