สวัสดีครับ วันนี้อยากจะมาแชร์วิธีการเตรียมตัวสอบ TOEIC ให้ได้คะแนนสูงๆจากคนที่ไม่ค่อยเก่งอังกฤษเท่าไหร่ โดยก่อนที่จะเตรียมตัวผมก็เป็นคนนึงที่เข้ามาอ่าน กระทู้พันทิปต่างๆ เพื่อเข้ามาหาแรงบัลดาลใจพร้อมทั้งเทคนิคจากคนที่เคยสอบ และตั้งปณิธาณไว้ว่าถ้าสอบได้คะแนนดีจะนำเรื่องราวของตัวเองมาแชร์ต่อคนอื่นบ้าง (ผมได้คะแนน TOEIC 840 คะแนน) แต่พอสอบเสร็จก็ไม่มีโอกาสได้มาแชร์เรื่องราวสักที เนื่องจากติดธุระหลายอย่าง ทั้งการย้ายที่อยู่มาทำงานที่ กทม. การเริ่มต้นงานใหม่ จนเวลาผ่านไปปีกว่า พึ่งจะมีเวลาได้มาทำตามสิ่งที่ตัวเองเคยพูดไว้
ก่อนอื่นต้องขอเล่าว่าจุดเปลี่ยนที่ผมสนใจที่จะพัฒนาตัวเองในด้านนี้ เนื่องจากผมเรียนคณะบัญชี ซึ่งแน่นอนเป็นที่รู้กันว่า คนที่จบคณะนี้ส่วนใหญ่อยากเข้าทำงานที่ Big4 แต่มันดันติดตรงที่ บ.พวกนี้เน้นเรื่องภาษามาก ซึ่งเกรดอังกษฤของผมนั้นก็ไม่ดีอีก เคยได้มากสุดแค่ B ส่วนใหญ่เป็น C ทำให้ผมรู้ตัวเองแน่ๆว่า ตัวเองไม่เก่งบัญชี ถ้าไม่ได้ภาษาอีก ก็คงไม่มีทางได้เข้าบริษัทที่อยากเข้าแน่ๆ ผมจึงได้เริ่มมาหาแรงบัลดาลใจจากใน Pantip ก่อนที่แรกเพื่อดูว่าแนวทางที่จะพัฒนาภาษามีอะไรบ้าง และจะทำยังไงให้ได้คะแนน TOEIC 600+ ,700+ อ่านมันไปให้หมดว่าเขาทำยังไงบ้างถึงทำได้ และแล้วก็ได้ตกตระกอนเอาวิธีที่เหมาะกับคนที่ขี้เกียจแบบผมให้ได้มากที่สุด 55555+ (หากมีคำใดที่ไม่เหมาะสมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ)
1. ตั้งเป้าหมายให้ชัด
การเริ่มต้นที่ดีคือการตั้งเป้าหมายว่า ฉันทำอะไร ทำไปทำไม เราต้องตอบให้ได้ก่อน อย่างผมจะเป็น - TOEIC 800 เพื่อเข้า Big4 ให้ได้ -
อย่าพึ่งตกใจว่าผมเก่งอยู่แล้วรึป่าวเลยตั้งเป้าไว้สูง ผมก็คนกากคนนึงนี่แหละ คิดว่าตัวเองทำได้มากสุดก็แค่ 600 ไม่ได้เก่งภาษาอะไรเลยแต่ที่ตั้งไว้สูงเพราะเคยไปอ่านเจอว่ายิ่งเราตั้งเป้าไว้สูง เราจะต้องยิ่งพยามให้ไปให้ใกล้เป้านั้น แม้มันจะไม่ถึงตามที่หวังแต่ อย่างน้อยเราก็ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ไปถึงตัวเลขดังกล่าว
ข้อแนะนำ : ตั้งให้สูงกว่าที่หวังเช่น หวัง400 ตั้งไปเลย 600 หวัง 700 ตั้งไปเลย 800-900
2. ประเมินตัวเอง
สิ่งที่สำคัญรองลงมาเลยคือต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าชอบอะไร ยกตัวอย่างผมชอบเล่น เกม ฟังเพลง ดูหนัง เล่นโทรศัพท์ ไม่ชอบอ่านหนังสือ หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจสงสัยว่า เพื่อ !!!! อย่าพึ่งใจร้อน 5555+ ที่ผมจะบอกคือให้เอาทุกสิ่งที่ชอบทำเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษให้หมด ทั้งเกมเปลี่ยนการตั้งค่าเป็นภาษาอังกฤษ หนังพยายามดูแบบซับหรือหากเป็นหนังไทยก็จะให้มีซับอิ้งมาด้วย (ใน Netflix) โทรศัพท์ก็เปลี่ยนภาษา เอาเป็นว่าพยายามให้รอบตัวเราเป็นภาษาอังกฤษให้หมดโดยเฉพาะสิ่งที่เราชอบทำ
3. เริ่มต้นมันซะ
หลายๆคนวิธีการดีมาก อ่านวิธี TOEIC อ่านรีวิวมาเป็นร้อย แต่ไม่เคยเริ่มทำเลย กว่าจะเริ่มคือเริ่มตอนใกล้สอบ คะแนนออกมามันก็คงไม่ดีเว้นแต่ว่าคุณมีทุนด้านภาษาอยู่เดิมแล้ว เพราะฉะนั้น หากตั้งใจจริงๆ อ่านกระทู้นี้จบแล้วไปเริ่มต้นทำซะ
เทคนิค
แน่นอนทุกคนล้วนแตกต่าง แต่ละคนมีวิธีเป็นของตัวเอง ผมจะไม่บอกว่าทำแบบผมแล้วคะแนนจะดีขึ้น แต่ผมอยากให้ทุกคนใช้กระทู้ของผมเป็นแรงบันดาลใจแล้วหาวิธีการของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องคิดใหม่คุณอาจะเอาวิธีของผมไปทำเลยก็ได้ถ้าหากมันเข้ากับคุณ หรือ เอาของผมผสมที่คิดเอง หรือเอาของคนอื่นมาใช้ก็ไม่ว่ากัน ขอเพียงแค่คุณทำแล้วคิดว่าเข้ากับตัวคุณเอง
การสอบของ TOEIC นั้นมันจะแบ่งเป็น 2 PART ใหญ่ คือ Listening และ Reading 1 PART เล็ก คือ GRAMMAR ที่จริงมันก็เป็น sub ของ Reading นั่นแหละครับแต่ขอแยกเพราะมันต้องเตรียมตัวต่างกันนิดหน่อย ซึ่งมันไม่มี การพูดและเขียน ทำให้ง่ายในการเตรียมตัวขึ้นมาก เอาหล่ะผมจะมาบอกว่าแต่ละ PART ผมเตรียมตัวยังไง
1. Reading
หลายคนคงคิดทำไมเอาตัวนี้ขึ้นก่อนทั้งๆที่ควรจะเป็น Listening การที่ผมเริ่มด้วยอ่านนั้นเหตุผลมาจาก ผมไม่มีคำศัพท์ใดเลยในหัวอาจมีติดๆมาบ้างแต่ก็ไม่มาก เอาง่ายๆว่าคุณลองไปอ่านบทความข้อสอบเหล่านี้ดูถ้าแปลได้ทุกคำแสดงว่าคุณมีพื้นฐานมาบ้าง แต่แปลได้ไม่หมด แสดงว่าคุณต้องทำตามขั้นตอนต่อไป
ลิ้งค์บทความ ถ้าหากคุณแปลไม่ค่อยได้ให้ไปท่องศัพท์เลยอย่างแรกท่อง 3000 words ของ Oxford ก็ได้
พอท่องได้แล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ ไปหาข้อสอบมา TOEIC แปล โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้ใช้หนังสือเลย ส่วนใหญ่ทำใน ipad โดยแอพที่ผมแนะนำให้มีเลยคือ
Memmoread ซึ่งมันมี 2 APP คือ Reading กับ Listening แนะนำให้โหลดทั้ง 2 ตัว (2 ตัวนี้เสียเงินนะ ไม่แน่ใจว่ากี่บาท แต่ไม่แพงมากครับ) โดยผมจะเอาข้อสอบ TOEIC มาแปลไม่ว่าจะบทความสั้นหรือยาว ผมก็แปลทั้งหมด นั่นแหละครับ ทำไปเรื่อยๆ รู้สึกมันมีข้อสอบหลายชุดมาก แน่นอนผมทำหมดครับ ที่พิมพ์มาเหมือนเยอะนะครับ ซึ่งก็เยอะจริงๆ แต่ผมทำวันละชม. วันไหนขยันก็ 2 ชม ทำวนไปครับ โดยผมจะเน้นแค่ Reading นะครับไม่เน้น Grammar เอาทีละอย่าง
ข้อแนะนำ : ช่วงแรกทุกคนจะรู้สึกว่าแปลไม่ได้เลย ทำไม่ได้เลย นั่นแหละครับ คุณมาถูกทางแล้ว ถ้าคุณทำได้คุณคงไม่ทำตามที่ผมบอก แต่ที่อยากจะบอกให้ทุกคนคือย่าท้อครับ ทุกครั้งที่ทำผิดก็ให้ไปดูครับว่ามันต้องตอบอะไร เพราะอะไร แล้วบทความมันแปลว่าอะไร แล้วลองกลับไปทำใหม่ ถ้ายังทำผิดอีกก็ทำตามเดิมที่ผมบอก กลับไปทำใหม่ ผมเคยอ่านมาว่า ถ้าเราทำอะไรซ้ำๆเกิน 100 ครั้ง เราจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งยอมแพ้ครับ ท้อได้อย่าถอย ช่วงเวลาที่ท้อและเหนื่อยที่สุดคือช่วงแรกๆนี่แหละครับ เพราะเรายังจับทางและทำไม่ค่อยได้
2.Grammar
พาร์ทนี้เป็นพาร์ทที่ถ้าทำได้คือได้เลย ถ้าไม่ได้คือไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ช่วยได้อย่างเดียวคือการเตียมตัวครับ โดยผมจะทำแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนครับคือ 2.1 อ่านสรุปแกรมม่า
Grammar ครูดิว แกรมม่า 33 หน้า และ บทความต่าง ทุกคนสามารถใช้ Google หาได้เลยครับว่า สรุป grammar toeic เลือกเอาอันที่อ่านง่าย ๆ ที่เหมาะกับตัวเอง ส่วนแต่แล้วผมอ่านจากพวกนี้แหละครับ
2.2 เปิด Youtube แล้วหาคำว่า สรุป Grammar TOEIC หาฟังไปเลยครับพวกนี้ ฟังผ่านๆ แต่ถ้าฟังจริงจังก็จะดีมาก แต่มันจะน่าเบื่อมากครับ ผมเข้าใจที่ผมทำคือผมเล่นเกมไปด้วยครับ ใช่ทุกคนฟังไม่ผิด ผมเล่นเกมไปฟังไป สนใจบ้างไม่สนใจบ้าง อย่างน้อยมันก็พอเข้าหู โดยตั้งกฏไว้ว่าทุกครั้งที่เล่นเกมต้องหาอะไรที่เกี่ยวกับภาษาฟังไปด้วย
2.3 ไปทำข้อสอบจริงครับ ข้อนี้จะเหมือนข้อ 1 คือใช้ความอดทนครับ ตะลุยโจทย์ที่เกี่ยวกับ grammar ให้หมด ทำแล้วเช็คคำตอบ ตอบผิดหาว่าผิดจากไหนแล้วทำใหม่วนแบบนี้ไปครับ
3. Listening
พาร์ทที่ยากที่สุดถ้าไม่มีพื้นฐานมาเลย ตอนผมฟังครั้งแรกจาก app Memmoread ที่ใช้ฝึกคือ อิหยังหวะ!! ฟังบะออก เนื่องจาก TOEIC มันค่อนข้างจะมีสาขาหลายประเทศสำเนียงก็ไม่ได้มีสำเนียงเดียวอีก จากที่ฟังยากอยู่ละ อยากขึ้นไป x10 พาร์ทนี้เป็นพาร์ทที่ใช้เวลาที่สุด ผมสามารถพอฟังออกได้หลังจากเริ่มไปประมาณ 2 เดือน ช่วงนั้นท้อมาก วิธีที่ผมทำคือ
Everything is ENG ผมน่าจะมีเกริ่นๆไปบ้างแล้วข้อความข้างบน โดยสิ่งที่ผมทำคือ ทุกครั้งที่เล่นโทรศัพท์จะเปิดบทสนทนาภาษาอังกฤษครับ ใช่ผมฟังแบบฟังไม่ออก แต่ก็นั่นแหละผมแค่อยากให้มันชินหู และเนื่องจากที่ผมติดโทรศัพท์มาก เล่นทั้งวัน ผมก็ต้องฟังเสียงบ้าๆนี่ทั้งวันเหมือนกัน ลองคลิ๊กเข้าไปดูครับ
listening english practice
ผมดูทุกคลิปในคำค้นหานี้ครับ ฟังไปด้วยเล่นไปด้วยนอกจากนี้ยังมีคำค้นหาอื่นๆใน youtube อีกคือ listening english ielts, listtening eng TOEIC
เอาเป็นว่าหาไรฟังก็ได้ครับที่มันเป็นภาษาอังกฤษ แต่อย่างน้อยคุณต้องดูซับengไปด้วยซักครึ่งชม.ต่อวันก็ได้ครับ ที่เหลือฟังเฉยๆก็พอ จากนั้นก็ไปฝึกทำข้อสอบใน Memmoread Listening ฟังแล้วทำข้อสอบไปครับ ทำผิดก็ฟังใหม่ มันมีซับอิ้งให้มีแปลให้ด้วย บางอันไม่แปลก็แปลเองไปเลยครับใช้ translate ทำซ้ำวนไปครับ
4. เทคนิคพิเศษ All in ONE
เทคนิคสุดท้ายที่จะแชร์คือ All in ONE ครับซึ่งสำหรับผมวิธีนี้ทำให้ผมได้คะแนนตามที่เคยหวังไว้เกินเป้าครับ คือผมสอบได้ 840 โดยเป้าผมคือ 800+ เกินความคาดหวังมากๆ ตอนนั้นดีใจมากๆครับ ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ถึงจุดนี้ สิ่งที่ทำให้ผมทำได้คือ
YOUTUBE ใช่ครับทุกคนฟังไม่ผิดสิ่งที่ผมทำคือดูเฉลยข้อสอบ TOEIC ของฝรั่งที่เขาติว TOEIC เช่น
Englishgain(แนะนำช่องนี้ดีมากๆ) ,E2 TOEIC ,Arsenio's ESL Podcast รวมไปถึงฟังช่องที่เขาเอาข้อสอบโทอิคมาลองให้ทำคือ ช่อง Sayam Seo X การทำแบบนี้นอกจากเราจะได้ Listening แล้วเรายังได้ทบทวน Grammar และ ฝึก Reading พร้อมกันเอาเป็นว่าครบเครื่อง แนะนำถ้าฝึกมามากพอแล้วให้ทำวิธีเพิ่มครับ มันจะลับความสามารถเราให้คมขึ้นมากๆ
ผมฟังมาเยอะมากๆใน YOUTUBE คลิปในขึ้นแนะนำ (คลิปที่ขึ้นข้างขวาที่มันจะโชว์คลิปที่มีเนื้อหาคล้ายกัน) ผมก็จะกดไปฟัง ไม่ก็ปล่อยให้มันไหลไปคลิปต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนเทคนิคยิบย่อนในแต่ละพาร์ทนั้นผมเชื่อว่าเมื่อทุกคนได้ทำข้อสอบทุกคนจะเจอมันเองครับ ว่าเราควรจะทำไง หรือสามารถหาเทคนิคได้จาก YOUTUBE ได้เลยมีแทบทุกอย่าง วิทยากรหลายท่านได้แชร์คลิปการสอนไว้ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆครับ แต่สุดท้ายทุกคนต้องมาลองทำข้อสอบเองอยู่ดีแล้วเทคนิคที่เคยเห็น ที่เคยดูมันจะผุดมาเป็นเทคนิคของเราเองครับ
โดยรวมผมใช้เวลาประมาณ 1 ปีกว่าๆ ครับในการเตรียมตัว จริงจังบ้างเล่นบ้างสลับกันไป แต่ที่แน่ๆคือจะพยายามไม่ทิ้งช่วงนานครับ ภาษามันไม่เหมือนวิทยาศาสตร์ เราต้องใช้มันต้องเจอมันบ่อยๆครับ มันถึงจะพัฒนา ใช้ความเข้าใจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้จริงด้วย
ที่จริงผมเคยลงเรียนพิเศษไปด้วยครับ แต่เข้าได้ชั่วโมงเดียวแล้วไม่ไปอีกเลย เพราะคิดว่าการสอนของเขาไม่สามารถทำให้เราเข้าใจได้บางเรื่องเราเข้าใจแล้วแต่เพื่อนยังไม่เข้าใจก็ต้องรอ อีกทั้งยังสอนช้า ไม่ใช่ติวเตอร์ไม่ดีนะครับ แค่เขาไม่เหมาะกับผมและคลาสนั้นมีคน 5-6 คนด้วยทำให้เขาต้องสอนแบบเฉลี่ยๆกันไป ซึ่งถ้าหากผมถามเขามากๆในเรื่องที่ไม่เข้าใจอีก ก็จะถ่วงคนอื่นไม่ให้ได้เรียนอีก จึงตัดสินใจอ่านเองและทิ้งเงินค่าเรียนพิเศษไปทั้งหมดครับ (แอบเสียดายไม่น่าลงเรียนเลย) แต่ถ้าหากใครชื่นชอบการเรียนการสอนก็ไม่ว่ากัน ทุกคนมีทางของตัวเองครับ
และสุดท้ายผมขอบคุณพี่ๆน้องๆใน Pantip ที่เคยมาบอกเล่าประสบการณ์การสอบ รวมไปถึงบทความต่างๆที่ทำให้ผมมีกำลังใจในการอ่าน และการฝึกตัวเองมากๆครับ จนถึงตอนนี้ผมอยู่ในวัยทำงานแล้ว(ได้งานที่ Big4 ตามความฝันที่ตั้งไว้ครับ) ซึ่งทำงานมาได้ปีกว่า ก็ยังคงอยากพัฒนาความรู้ด้านอังกฤษเรื่อยๆปัจจุบันพยายามพัฒนาให้สามารถใช้ในเชิงธุรกิจ การเขียนการพูด เพื่อให้ตัวเองพัฒนาเพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้เป้าหมายต่อไปของผมคือ พูดและเขียนภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมทั้งสอบ CPA ให้ได้ภายใน 3 ปีหวังเป็นอย่างยิ่งครับ ว่าจะได้มาแชร์วิธีการที่นำไปสู่ความสำเร็จอีกขั้น อยากให้ทุกคนจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อยครับ แล้วมาพยายามไปด้วยกันครับ
แชร์วิธีเตรียมตัวสอบ TOEIC ให้ได้ 700+ จากเด็กที่อ่อนวิชาภาษาอังกฤษมากๆ ไม่เคยได้เกรดมากกว่า B
ก่อนอื่นต้องขอเล่าว่าจุดเปลี่ยนที่ผมสนใจที่จะพัฒนาตัวเองในด้านนี้ เนื่องจากผมเรียนคณะบัญชี ซึ่งแน่นอนเป็นที่รู้กันว่า คนที่จบคณะนี้ส่วนใหญ่อยากเข้าทำงานที่ Big4 แต่มันดันติดตรงที่ บ.พวกนี้เน้นเรื่องภาษามาก ซึ่งเกรดอังกษฤของผมนั้นก็ไม่ดีอีก เคยได้มากสุดแค่ B ส่วนใหญ่เป็น C ทำให้ผมรู้ตัวเองแน่ๆว่า ตัวเองไม่เก่งบัญชี ถ้าไม่ได้ภาษาอีก ก็คงไม่มีทางได้เข้าบริษัทที่อยากเข้าแน่ๆ ผมจึงได้เริ่มมาหาแรงบัลดาลใจจากใน Pantip ก่อนที่แรกเพื่อดูว่าแนวทางที่จะพัฒนาภาษามีอะไรบ้าง และจะทำยังไงให้ได้คะแนน TOEIC 600+ ,700+ อ่านมันไปให้หมดว่าเขาทำยังไงบ้างถึงทำได้ และแล้วก็ได้ตกตระกอนเอาวิธีที่เหมาะกับคนที่ขี้เกียจแบบผมให้ได้มากที่สุด 55555+ (หากมีคำใดที่ไม่เหมาะสมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ)
1. ตั้งเป้าหมายให้ชัด
การเริ่มต้นที่ดีคือการตั้งเป้าหมายว่า ฉันทำอะไร ทำไปทำไม เราต้องตอบให้ได้ก่อน อย่างผมจะเป็น - TOEIC 800 เพื่อเข้า Big4 ให้ได้ -
อย่าพึ่งตกใจว่าผมเก่งอยู่แล้วรึป่าวเลยตั้งเป้าไว้สูง ผมก็คนกากคนนึงนี่แหละ คิดว่าตัวเองทำได้มากสุดก็แค่ 600 ไม่ได้เก่งภาษาอะไรเลยแต่ที่ตั้งไว้สูงเพราะเคยไปอ่านเจอว่ายิ่งเราตั้งเป้าไว้สูง เราจะต้องยิ่งพยามให้ไปให้ใกล้เป้านั้น แม้มันจะไม่ถึงตามที่หวังแต่ อย่างน้อยเราก็ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ไปถึงตัวเลขดังกล่าว
ข้อแนะนำ : ตั้งให้สูงกว่าที่หวังเช่น หวัง400 ตั้งไปเลย 600 หวัง 700 ตั้งไปเลย 800-900
2. ประเมินตัวเอง
สิ่งที่สำคัญรองลงมาเลยคือต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าชอบอะไร ยกตัวอย่างผมชอบเล่น เกม ฟังเพลง ดูหนัง เล่นโทรศัพท์ ไม่ชอบอ่านหนังสือ หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจสงสัยว่า เพื่อ !!!! อย่าพึ่งใจร้อน 5555+ ที่ผมจะบอกคือให้เอาทุกสิ่งที่ชอบทำเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษให้หมด ทั้งเกมเปลี่ยนการตั้งค่าเป็นภาษาอังกฤษ หนังพยายามดูแบบซับหรือหากเป็นหนังไทยก็จะให้มีซับอิ้งมาด้วย (ใน Netflix) โทรศัพท์ก็เปลี่ยนภาษา เอาเป็นว่าพยายามให้รอบตัวเราเป็นภาษาอังกฤษให้หมดโดยเฉพาะสิ่งที่เราชอบทำ
3. เริ่มต้นมันซะ
หลายๆคนวิธีการดีมาก อ่านวิธี TOEIC อ่านรีวิวมาเป็นร้อย แต่ไม่เคยเริ่มทำเลย กว่าจะเริ่มคือเริ่มตอนใกล้สอบ คะแนนออกมามันก็คงไม่ดีเว้นแต่ว่าคุณมีทุนด้านภาษาอยู่เดิมแล้ว เพราะฉะนั้น หากตั้งใจจริงๆ อ่านกระทู้นี้จบแล้วไปเริ่มต้นทำซะ
เทคนิค
แน่นอนทุกคนล้วนแตกต่าง แต่ละคนมีวิธีเป็นของตัวเอง ผมจะไม่บอกว่าทำแบบผมแล้วคะแนนจะดีขึ้น แต่ผมอยากให้ทุกคนใช้กระทู้ของผมเป็นแรงบันดาลใจแล้วหาวิธีการของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องคิดใหม่คุณอาจะเอาวิธีของผมไปทำเลยก็ได้ถ้าหากมันเข้ากับคุณ หรือ เอาของผมผสมที่คิดเอง หรือเอาของคนอื่นมาใช้ก็ไม่ว่ากัน ขอเพียงแค่คุณทำแล้วคิดว่าเข้ากับตัวคุณเอง
การสอบของ TOEIC นั้นมันจะแบ่งเป็น 2 PART ใหญ่ คือ Listening และ Reading 1 PART เล็ก คือ GRAMMAR ที่จริงมันก็เป็น sub ของ Reading นั่นแหละครับแต่ขอแยกเพราะมันต้องเตรียมตัวต่างกันนิดหน่อย ซึ่งมันไม่มี การพูดและเขียน ทำให้ง่ายในการเตรียมตัวขึ้นมาก เอาหล่ะผมจะมาบอกว่าแต่ละ PART ผมเตรียมตัวยังไง
1. Reading
หลายคนคงคิดทำไมเอาตัวนี้ขึ้นก่อนทั้งๆที่ควรจะเป็น Listening การที่ผมเริ่มด้วยอ่านนั้นเหตุผลมาจาก ผมไม่มีคำศัพท์ใดเลยในหัวอาจมีติดๆมาบ้างแต่ก็ไม่มาก เอาง่ายๆว่าคุณลองไปอ่านบทความข้อสอบเหล่านี้ดูถ้าแปลได้ทุกคำแสดงว่าคุณมีพื้นฐานมาบ้าง แต่แปลได้ไม่หมด แสดงว่าคุณต้องทำตามขั้นตอนต่อไป ลิ้งค์บทความ ถ้าหากคุณแปลไม่ค่อยได้ให้ไปท่องศัพท์เลยอย่างแรกท่อง 3000 words ของ Oxford ก็ได้
พอท่องได้แล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ ไปหาข้อสอบมา TOEIC แปล โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้ใช้หนังสือเลย ส่วนใหญ่ทำใน ipad โดยแอพที่ผมแนะนำให้มีเลยคือ Memmoread ซึ่งมันมี 2 APP คือ Reading กับ Listening แนะนำให้โหลดทั้ง 2 ตัว (2 ตัวนี้เสียเงินนะ ไม่แน่ใจว่ากี่บาท แต่ไม่แพงมากครับ) โดยผมจะเอาข้อสอบ TOEIC มาแปลไม่ว่าจะบทความสั้นหรือยาว ผมก็แปลทั้งหมด นั่นแหละครับ ทำไปเรื่อยๆ รู้สึกมันมีข้อสอบหลายชุดมาก แน่นอนผมทำหมดครับ ที่พิมพ์มาเหมือนเยอะนะครับ ซึ่งก็เยอะจริงๆ แต่ผมทำวันละชม. วันไหนขยันก็ 2 ชม ทำวนไปครับ โดยผมจะเน้นแค่ Reading นะครับไม่เน้น Grammar เอาทีละอย่าง
ข้อแนะนำ : ช่วงแรกทุกคนจะรู้สึกว่าแปลไม่ได้เลย ทำไม่ได้เลย นั่นแหละครับ คุณมาถูกทางแล้ว ถ้าคุณทำได้คุณคงไม่ทำตามที่ผมบอก แต่ที่อยากจะบอกให้ทุกคนคือย่าท้อครับ ทุกครั้งที่ทำผิดก็ให้ไปดูครับว่ามันต้องตอบอะไร เพราะอะไร แล้วบทความมันแปลว่าอะไร แล้วลองกลับไปทำใหม่ ถ้ายังทำผิดอีกก็ทำตามเดิมที่ผมบอก กลับไปทำใหม่ ผมเคยอ่านมาว่า ถ้าเราทำอะไรซ้ำๆเกิน 100 ครั้ง เราจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งยอมแพ้ครับ ท้อได้อย่าถอย ช่วงเวลาที่ท้อและเหนื่อยที่สุดคือช่วงแรกๆนี่แหละครับ เพราะเรายังจับทางและทำไม่ค่อยได้
2.Grammar
พาร์ทนี้เป็นพาร์ทที่ถ้าทำได้คือได้เลย ถ้าไม่ได้คือไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ช่วยได้อย่างเดียวคือการเตียมตัวครับ โดยผมจะทำแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนครับคือ 2.1 อ่านสรุปแกรมม่า Grammar ครูดิว แกรมม่า 33 หน้า และ บทความต่าง ทุกคนสามารถใช้ Google หาได้เลยครับว่า สรุป grammar toeic เลือกเอาอันที่อ่านง่าย ๆ ที่เหมาะกับตัวเอง ส่วนแต่แล้วผมอ่านจากพวกนี้แหละครับ
2.2 เปิด Youtube แล้วหาคำว่า สรุป Grammar TOEIC หาฟังไปเลยครับพวกนี้ ฟังผ่านๆ แต่ถ้าฟังจริงจังก็จะดีมาก แต่มันจะน่าเบื่อมากครับ ผมเข้าใจที่ผมทำคือผมเล่นเกมไปด้วยครับ ใช่ทุกคนฟังไม่ผิด ผมเล่นเกมไปฟังไป สนใจบ้างไม่สนใจบ้าง อย่างน้อยมันก็พอเข้าหู โดยตั้งกฏไว้ว่าทุกครั้งที่เล่นเกมต้องหาอะไรที่เกี่ยวกับภาษาฟังไปด้วย
2.3 ไปทำข้อสอบจริงครับ ข้อนี้จะเหมือนข้อ 1 คือใช้ความอดทนครับ ตะลุยโจทย์ที่เกี่ยวกับ grammar ให้หมด ทำแล้วเช็คคำตอบ ตอบผิดหาว่าผิดจากไหนแล้วทำใหม่วนแบบนี้ไปครับ
3. Listening
พาร์ทที่ยากที่สุดถ้าไม่มีพื้นฐานมาเลย ตอนผมฟังครั้งแรกจาก app Memmoread ที่ใช้ฝึกคือ อิหยังหวะ!! ฟังบะออก เนื่องจาก TOEIC มันค่อนข้างจะมีสาขาหลายประเทศสำเนียงก็ไม่ได้มีสำเนียงเดียวอีก จากที่ฟังยากอยู่ละ อยากขึ้นไป x10 พาร์ทนี้เป็นพาร์ทที่ใช้เวลาที่สุด ผมสามารถพอฟังออกได้หลังจากเริ่มไปประมาณ 2 เดือน ช่วงนั้นท้อมาก วิธีที่ผมทำคือ Everything is ENG ผมน่าจะมีเกริ่นๆไปบ้างแล้วข้อความข้างบน โดยสิ่งที่ผมทำคือ ทุกครั้งที่เล่นโทรศัพท์จะเปิดบทสนทนาภาษาอังกฤษครับ ใช่ผมฟังแบบฟังไม่ออก แต่ก็นั่นแหละผมแค่อยากให้มันชินหู และเนื่องจากที่ผมติดโทรศัพท์มาก เล่นทั้งวัน ผมก็ต้องฟังเสียงบ้าๆนี่ทั้งวันเหมือนกัน ลองคลิ๊กเข้าไปดูครับ listening english practice
ผมดูทุกคลิปในคำค้นหานี้ครับ ฟังไปด้วยเล่นไปด้วยนอกจากนี้ยังมีคำค้นหาอื่นๆใน youtube อีกคือ listening english ielts, listtening eng TOEIC
เอาเป็นว่าหาไรฟังก็ได้ครับที่มันเป็นภาษาอังกฤษ แต่อย่างน้อยคุณต้องดูซับengไปด้วยซักครึ่งชม.ต่อวันก็ได้ครับ ที่เหลือฟังเฉยๆก็พอ จากนั้นก็ไปฝึกทำข้อสอบใน Memmoread Listening ฟังแล้วทำข้อสอบไปครับ ทำผิดก็ฟังใหม่ มันมีซับอิ้งให้มีแปลให้ด้วย บางอันไม่แปลก็แปลเองไปเลยครับใช้ translate ทำซ้ำวนไปครับ
4. เทคนิคพิเศษ All in ONE
เทคนิคสุดท้ายที่จะแชร์คือ All in ONE ครับซึ่งสำหรับผมวิธีนี้ทำให้ผมได้คะแนนตามที่เคยหวังไว้เกินเป้าครับ คือผมสอบได้ 840 โดยเป้าผมคือ 800+ เกินความคาดหวังมากๆ ตอนนั้นดีใจมากๆครับ ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ถึงจุดนี้ สิ่งที่ทำให้ผมทำได้คือ YOUTUBE ใช่ครับทุกคนฟังไม่ผิดสิ่งที่ผมทำคือดูเฉลยข้อสอบ TOEIC ของฝรั่งที่เขาติว TOEIC เช่น Englishgain(แนะนำช่องนี้ดีมากๆ) ,E2 TOEIC ,Arsenio's ESL Podcast รวมไปถึงฟังช่องที่เขาเอาข้อสอบโทอิคมาลองให้ทำคือ ช่อง Sayam Seo X การทำแบบนี้นอกจากเราจะได้ Listening แล้วเรายังได้ทบทวน Grammar และ ฝึก Reading พร้อมกันเอาเป็นว่าครบเครื่อง แนะนำถ้าฝึกมามากพอแล้วให้ทำวิธีเพิ่มครับ มันจะลับความสามารถเราให้คมขึ้นมากๆ
ผมฟังมาเยอะมากๆใน YOUTUBE คลิปในขึ้นแนะนำ (คลิปที่ขึ้นข้างขวาที่มันจะโชว์คลิปที่มีเนื้อหาคล้ายกัน) ผมก็จะกดไปฟัง ไม่ก็ปล่อยให้มันไหลไปคลิปต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนเทคนิคยิบย่อนในแต่ละพาร์ทนั้นผมเชื่อว่าเมื่อทุกคนได้ทำข้อสอบทุกคนจะเจอมันเองครับ ว่าเราควรจะทำไง หรือสามารถหาเทคนิคได้จาก YOUTUBE ได้เลยมีแทบทุกอย่าง วิทยากรหลายท่านได้แชร์คลิปการสอนไว้ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆครับ แต่สุดท้ายทุกคนต้องมาลองทำข้อสอบเองอยู่ดีแล้วเทคนิคที่เคยเห็น ที่เคยดูมันจะผุดมาเป็นเทคนิคของเราเองครับ
โดยรวมผมใช้เวลาประมาณ 1 ปีกว่าๆ ครับในการเตรียมตัว จริงจังบ้างเล่นบ้างสลับกันไป แต่ที่แน่ๆคือจะพยายามไม่ทิ้งช่วงนานครับ ภาษามันไม่เหมือนวิทยาศาสตร์ เราต้องใช้มันต้องเจอมันบ่อยๆครับ มันถึงจะพัฒนา ใช้ความเข้าใจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้จริงด้วย
ที่จริงผมเคยลงเรียนพิเศษไปด้วยครับ แต่เข้าได้ชั่วโมงเดียวแล้วไม่ไปอีกเลย เพราะคิดว่าการสอนของเขาไม่สามารถทำให้เราเข้าใจได้บางเรื่องเราเข้าใจแล้วแต่เพื่อนยังไม่เข้าใจก็ต้องรอ อีกทั้งยังสอนช้า ไม่ใช่ติวเตอร์ไม่ดีนะครับ แค่เขาไม่เหมาะกับผมและคลาสนั้นมีคน 5-6 คนด้วยทำให้เขาต้องสอนแบบเฉลี่ยๆกันไป ซึ่งถ้าหากผมถามเขามากๆในเรื่องที่ไม่เข้าใจอีก ก็จะถ่วงคนอื่นไม่ให้ได้เรียนอีก จึงตัดสินใจอ่านเองและทิ้งเงินค่าเรียนพิเศษไปทั้งหมดครับ (แอบเสียดายไม่น่าลงเรียนเลย) แต่ถ้าหากใครชื่นชอบการเรียนการสอนก็ไม่ว่ากัน ทุกคนมีทางของตัวเองครับ
และสุดท้ายผมขอบคุณพี่ๆน้องๆใน Pantip ที่เคยมาบอกเล่าประสบการณ์การสอบ รวมไปถึงบทความต่างๆที่ทำให้ผมมีกำลังใจในการอ่าน และการฝึกตัวเองมากๆครับ จนถึงตอนนี้ผมอยู่ในวัยทำงานแล้ว(ได้งานที่ Big4 ตามความฝันที่ตั้งไว้ครับ) ซึ่งทำงานมาได้ปีกว่า ก็ยังคงอยากพัฒนาความรู้ด้านอังกฤษเรื่อยๆปัจจุบันพยายามพัฒนาให้สามารถใช้ในเชิงธุรกิจ การเขียนการพูด เพื่อให้ตัวเองพัฒนาเพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้เป้าหมายต่อไปของผมคือ พูดและเขียนภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมทั้งสอบ CPA ให้ได้ภายใน 3 ปีหวังเป็นอย่างยิ่งครับ ว่าจะได้มาแชร์วิธีการที่นำไปสู่ความสำเร็จอีกขั้น อยากให้ทุกคนจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อยครับ แล้วมาพยายามไปด้วยกันครับ