กุญแจสำคัญอย่างหนึ่งในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ คือการเข้าใจถึงแก่นแท้ในความมหัศจรรย์ของผลตอบแทนแบบทบต้นหรือ CAGR (Compound Average Growth Rate) เหตุใดทำไมหลายคนลงทุนมาหลายปี แต่ก็ยังไม่สามารถทำกำไรจากตลาดได้ ทั้งๆที่เพียรที่จะเรียนรู้ทำความเข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้น และตัวธุรกิจ พยายามลงทุนในแบบฉบับของตัวเองที่คิดว่าปลอดภัยและอุ่นใจ
บ้างก็พยายามลงทุนในหุ้นปันผล 7-8 % ที่ค่อนข้างแน่นอน รายได้คงที่แน่นอน เช่นพวก Defensive Stock แต่สุดท้ายทำไมต้องยอมขายคัทลอส เมื่อตลาดปรับฐานรุนแรง หรือบางคนพยายามเข้าไปจับหุ้นที่คาดว่าจะ Turn around ในความคาดหวังว่าอีก 1-2 ปีข้างหน้า หุ้นตัวนี้จะพลิกจากขาดทุนมามีกำไร แต่จนแล้วจนรอด ราคามีแต่ถดถอยลงทุกวัน แต่ก็ทนถือไปเรื่อยๆ บางคนยิ่งกว่านั้น ไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับพื้นฐานเลยแม้แต่น้อย ที่ซื้อเพราะเห็นว่าราคาวิ่งขึ้นทุกวัน และมีโวลุ่มเยอะ ก็เข้าไปแจมบ้าง ผลก็คือต้องติดหุ้นตามระเบียบ
ผมเองทำมาแล้วทุกแบบ และพบว่าสุดท้ายโอกาสจะสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้ดีต่อเนื่องนั้นยากมาก อย่างมากก็แค่ประคองไม่ให้ผลตอบแทนติดลบ ทั้งนี้หากท่านเข้าใจเรื่องของพลังของผลตอบแทนทบต้นแล้ว จะไม่หันกลับไปใช้แนวทางเดิมๆอีกเลย
ความหมายคืออะไร นั่นคือหากคุณสามารถหาหุ้นที่คาดเดาผลทิศทางผลประกอบการได้ในอนาคต 5-10 ปี ขึ้นไป และมีการเติบโตในอัตราที่มีพลังอย่างสูง สิ่งที่ทำหลังจากได้ลงทุนไปแล้วคือ แค่รอคอยเวลาที่พลังนั้นจะก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งในระยะยาวแล้ว ผลลัพธ์ของผลตอบแทน 5% กับ 25% นั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
จากรูป หากเราหาหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนทบต้นได้เกิน 25 % และสามารถคาดการณ์รายได้กับกำไรในอนาคตได้ว่าจะทำผลตอบแทนในอัตราที่ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก เราควรจะลงทุนมันหรือไม่ หากท่านมองรูปที่ผมนำมาประกอบ และเข้าใจกระจ่างแจ้ง ท่านจะเข้าใจวิธีการลงทุนของวอเรน บัฟเฟท ได้ว่าทำไมเค้าถึงสร้างผลตอบแทนที่ดีมากในระยะยาวทั้งๆที่ไม่มีการซื้อๆขายๆเท่าไหร่เลย
พลังของ CAGR
บ้างก็พยายามลงทุนในหุ้นปันผล 7-8 % ที่ค่อนข้างแน่นอน รายได้คงที่แน่นอน เช่นพวก Defensive Stock แต่สุดท้ายทำไมต้องยอมขายคัทลอส เมื่อตลาดปรับฐานรุนแรง หรือบางคนพยายามเข้าไปจับหุ้นที่คาดว่าจะ Turn around ในความคาดหวังว่าอีก 1-2 ปีข้างหน้า หุ้นตัวนี้จะพลิกจากขาดทุนมามีกำไร แต่จนแล้วจนรอด ราคามีแต่ถดถอยลงทุกวัน แต่ก็ทนถือไปเรื่อยๆ บางคนยิ่งกว่านั้น ไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับพื้นฐานเลยแม้แต่น้อย ที่ซื้อเพราะเห็นว่าราคาวิ่งขึ้นทุกวัน และมีโวลุ่มเยอะ ก็เข้าไปแจมบ้าง ผลก็คือต้องติดหุ้นตามระเบียบ
ผมเองทำมาแล้วทุกแบบ และพบว่าสุดท้ายโอกาสจะสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้ดีต่อเนื่องนั้นยากมาก อย่างมากก็แค่ประคองไม่ให้ผลตอบแทนติดลบ ทั้งนี้หากท่านเข้าใจเรื่องของพลังของผลตอบแทนทบต้นแล้ว จะไม่หันกลับไปใช้แนวทางเดิมๆอีกเลย
ความหมายคืออะไร นั่นคือหากคุณสามารถหาหุ้นที่คาดเดาผลทิศทางผลประกอบการได้ในอนาคต 5-10 ปี ขึ้นไป และมีการเติบโตในอัตราที่มีพลังอย่างสูง สิ่งที่ทำหลังจากได้ลงทุนไปแล้วคือ แค่รอคอยเวลาที่พลังนั้นจะก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งในระยะยาวแล้ว ผลลัพธ์ของผลตอบแทน 5% กับ 25% นั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
จากรูป หากเราหาหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนทบต้นได้เกิน 25 % และสามารถคาดการณ์รายได้กับกำไรในอนาคตได้ว่าจะทำผลตอบแทนในอัตราที่ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก เราควรจะลงทุนมันหรือไม่ หากท่านมองรูปที่ผมนำมาประกอบ และเข้าใจกระจ่างแจ้ง ท่านจะเข้าใจวิธีการลงทุนของวอเรน บัฟเฟท ได้ว่าทำไมเค้าถึงสร้างผลตอบแทนที่ดีมากในระยะยาวทั้งๆที่ไม่มีการซื้อๆขายๆเท่าไหร่เลย