"5 หุ้นเด่น" ต้องเก็บ 6 เดือนหลัง "เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม"

กระทู้สนทนา
โดย : ดาริน โชสูงเนิน  กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



“เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” แห่ง บล.เอเซีย พลัส เปิดรายชื่อ “ 5 หุ้นน่าซื้อครึ่งปีหลัง” เน้นเทน้ำหนักบริษัทโตตามเศรษฐกิจโลก

หาก 6 เดือนหลังของปี 2557 เมืองไทยยังไร้รัฐบาล ภาวะเศรษฐกิจไทยอาจมีความเสี่ยงไม่เติบโต ถ้าเป็นเช่นนั้น “กำไรสุทธิ” ของบริษัทจดทะเบียนมีแววหดตัว ส่งผลให้ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยอาจปรับลดจาก 14.69 เท่า เหลือเฉลี่ย 14.50 เท่า เท่ากับว่า แนวรับสำคัญของตลาดหุ้นไทยคือ 1,370 จุด นักวิเคราะห์หุ้นไทยเชื่อว่า นั่นคือ “จุดทยอยเข้าซื้อ”

“เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส หรือ ASP พูดในงานสัมมนา “กูรูหุ้นใหญ่ Comment หุ้นไทยครึ่งปีหลัง” ว่า 6 เดือนหลังของปี 2557 นักลงทุนอาจ “เหนื่อยน้อย” กว่า 6 เดือนแรก เพราะครึ่งปีแรกเครื่องยนต์ที่ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองไทยดับเกือบทุกตัว ทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยตามปกติ ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนไม่มี เพราะรัฐบาลไม่อนุมัติงบประมาณออกมา และภาคส่งออกตัวเลขออกมาไม่ดีเท่าไร

ฉะนั้นในช่วงครึ่งปีหลังคงไม่มีเหตุการณ์อะไรเลวร้ายไปกว่านี้ เพียงแต่เราต้องมานั่งลุ้นว่า ทุกอย่างจะกลับมา “เหมือนเดิม” หรือ “ฟื้นตัวดีขึ้น” ดังนั้นแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตใหม่ ด้วยการลงทุนในตลาดหุ้น 40-50 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นค่อยหาจังหวะเก็บหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่มเติม เมื่อค่า P/E ตลาดหุ้นปรับลดลงมา

“กูรูตลาดหุ้น” แนะนำ “5 หุ้นเด่น” ว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนักลงทุนควรให้น้ำหนักในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตตามเศรษฐกิจโลก หรือ Global Pay โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเพื่อส่งออก หรือบริษัทที่มีฐานการทำ “กำไรสุทธิ” อยู่ในต่างประเทศ

อาทิเช่น หุ้น โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC ปัจจุบันราคาหุ้น PTTGC ย่อตัวลงมาค่อนข้างมาก เนื่องจากผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/2557 ปรับตัวลงมาก หลังบริษัทปิดซ่อมบำรุงโรงงาน ทำให้กำลังการผลิตหายไป แต่ในช่วงไตรมาส 2/2557 โรงงานที่ปิดซ่อมบำรุงจะกลับมาผลิตเหมือนเดิม

หุ้น ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC เรามองว่า แม้ธุรกิจปูนซีเมนต์ในช่วงไตรมาส 1/2557 จะยังไม่สูงมากนัก เพราะยังอยู่ในช่วงของการเริ่มต้น ขณะที่ธุรกิจกระดาษไม่ค่อยเติบโต แต่ธุรกิจปิโตรเคมี สายโอเลฟินส์ ซึ่งปัจจุบันดีมานด์กำลังฟื้นตัว อาจเป็นแรงดึงดูดให้นักลงทุนสามารถถือลงทุนระยะยาวได้ เนื่องบริษัทมีการจ่ายเงินปันผลประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์กว่าทุกปี

หุ้น ปตท. หรือ PTT มองว่า ปัจจุบันบริษัทจ่ายเงินปันผล 4-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ประกอบกับธุรกิจยังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” เพราะบริษัทในเครือที่ประกอบธุรกิจโรงกลั่น-ปิโตรเคมี-ก๊าซธรรมชาติ ยังมีการเติบโตที่ดี ถ้าดูจากผลประกอบการไตรมาส 1/2557 ธุรกิจโรงกลั่นจะเป็นตัวทำกำไรให้ PTT หลังค่าการกลั่นไตรมาสแรกปรับตัวขึ้นมา 30 เปอร์เซ็นต์ และหากดูธุรกิจปิโตรเคมี สายโอเลฟินส์ ถือว่ายังดีอยู่ แต่อาจถูกสกัดขาด้วยสายอะโรเมติกส์ เพราะว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ของสายอะโรเมติกส์เริ่มแคบลงแล้ว

หุ้น เอสที พี แอนด์ ไอ หรือ STPI ก่อนหน้าต้องบอกว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่ค่อยนิ่ง เพราะว่าบริษัทไม่มีงานต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาเรื่อยๆ แต่ปัจจุบันมองว่า การสร้างฐานธุรกิจของบริษัทค่อนข้างนิ่งและมีความแข็งแกร่งแล้ว เขาทำงานโครงสร้างเหล็กในการชุดเจาะก๊าซธรรมชาติเหลว ฉะนั้นงานส่วนใหญ่ของบริษัทจะอยู่ในต่างประเทศ

ก่อนหน้านี้เขาไม่มีประสบการณ์เท่าไร แต่หลังจากทำมา 3-4 ปี บริษัทสามารถถีบตัวเองขึ้นมาให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลกได้แล้ว และงานที่รับมาทำเมื่อ 2 ปีก่อน เริ่มสร้างรายได้ค่อนข้างเยอะ ซึ่งปีนี้เป็นปีที่มีการส่งมอบเยอะมาก ซึ่งจะทำให้มีการบันทึกรายได้และกำไรสูงตามไปด้วย

สุดท้าย คือ หุ้น บีทีเอส กรุ๊ป หรือ BTS ถ้ามองข้ามเหตุการณ์ทางการเมืองในระยะกลาง-ยาว ถือว่าหุ้นตัวนี้มีความน่าสนใจ เพราะการเติบโตของบริษัทมาจาก 2 ส่วน นั่นคือ การบริหารการเดินรถ และจำนวนผู้โดยสาร-ค่าโดยสาร จริงอยู่ในภาวะแบบนี้อาจไม่เห็นการขยายเส้นทางเดินรถ เพราะไม่มีรัฐบาลมาช่วยขยายเส้นทาง ฉะนั้นในช่วงปี 2557-2558 บริษัทจะยังไม่มีการเติบโต

แต่หลังจากผ่าน 2 ปีไปแล้ว เชื่อว่าจะเห็นการเติบโต ด้วยการขยายเส้นทางใหม่ๆ มากขึ้น แต่ที่เราแนะนำให้เข้าไปลงทุนตอนนี้ เพราะว่าเงินปันผลที่จะได้ใน 2 ปีข้างหน้าค่อนข้างชัดเจนเฉลี่ย 0.50 บาทขึ้นไป ดังนั้นช่วงที่รอการเติบโตรอบใหม่ บริษัทยังมีเงินปันผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นด้วย

เขา บอกว่า หากลองมองย้อนไปในอดีต ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นจะออกมาเฉลี่ยประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ฉะนั้นถ้านักลงทุนไม่กังวล และพยายามมองว่า ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น ถือเป็นจังหวะเข้าลงทุน เพื่อถือลงทุนระยะยาว โอกาสจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่หาจังหวะในการซื้อให้ถูกเท่านั้น

“จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทางการเมืองรอบนี้เกิดขึ้นเมื่อ 31 ต.ค.56 เชื่อหรือไม่ ดัชนีของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเฉลี่ย 2 เปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นเพราะว่า มีกระแสเงินไหลเข้ามา แต่เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นดันไปกดกำไรของบริษัทจดทะเบียนให้ปรับตัวลดลง”

“ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี บอกว่า แม้นักลงทุนสถาบัน จะมองว่า หุ้นไทยปี 2557 เป็นปีแห่งวิกฤติการเมือง แต่หากนักลงทุนมองภาพใหญ่ของภาวะเศรษฐกิจเป็นและมองยาวไปในอนาคตจะเห็นว่า เมืองไทยยังเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจในการลงทุน หลัง AEC เปิดในปี 2558 การค้าขายแถบชายแดนประเทศในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าจะส่งผลบวกต่อประเทศไทย

นักลงทุนคนไหนมีเงินเยอะๆ ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2557 ถือเป็นจังหวะ “ยอดเยี่ยม” ในการลงทุน แต่สำหรับนักลงทุนระยะสั้นคง “น่ากลัว” ส่วนนักลงทุนสถาบันคงชื่นชอบเช่นกัน นั่นเป็นเพราะเวลานักลงทุนทั่วไปตกใจมากๆ ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงมาเยอะ เวลานั้นละนักลงทุนสถาบันจะเข้าเก็บ ที่ผ่านมาเราได้กำไรทุกครั้งที่นักลงทุนทั่วไปขาย เพราะว่าเรามักเข้าไปซื้อ

สิ่งที่นักลงทุนสถาบันทำตรงข้ามกับนักลงทุนทั่วไป คือ ถ้านักลงทุนทั่วไปตกใจ เราจะเข้าไปช่วยซื้อหุ้นเข้าพอร์ต เพื่อเป็นการดูแลนักลงทุนไม่ให้ราคาหุ้นหล่นไปเยอะ แต่เวลาราคาหุ้นขึ้นมากๆ เราจะช่วยดูแลพวกท่านอีก ด้วยการขายหุ้นออกมา เพื่อไม่ให้ราคาหุ้นปรับขึ้นไป “ร้อนแรง” สิ่งที่เราทำเรียกว่า “ซื้อต่ำขายสูง”

“ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติและตลาดหุ้นไม่ดี บอกได้คำเดียวว่า นั่นคือ โอกาสที่ดีอย่างยิ่งของนักลงทุนสถาบัน”

“ประภาส” บอกว่า สิ่งที่นักลงทุนสถาบันให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ คือ “กำไร” ของบริษัทจดทะเบียน หากเศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตได้ หรือเติบโตในระดับน้อย แต่ว่าบริษัทจดทะเบียนสามารถรักษาการเจริญเติบโตได้ดีอาจไม่ต้องสูงถึง 10-20 เปอร์เซ็นต์ ขอให้โต 3-5 เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า บริษัทเหล่านั้นมีรูปแบบการบริหารงานที่มีศักยภาพในการฟันฝ่าอุปสรรคของเศรษฐกิจไปได้ ถือเป็นบริษัทที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน

กลยุทธ์การซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบัน คือ มักดูว่าบริษัทมีการเติบโตของรายได้ดีหรือไม่ ต้นทุนเป็นอย่างไร ความสามารถในการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นหรือไม่ในช่วงที่อยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ถ้ายังมีการเติบโตที่ดี แม้เศรษฐกิจจะไม่เติบโต ถือว่าบริษัทนั้นมีศักยภาพในการเติบโตที่สูงมาก เขาย้ำ

“วันนี้นักลงทุนส่วนใหญ่จัดพอร์ตสินทรัพย์การลงทุนในประเทศมากกว่าในต่างประเทศ โดยเชื่อว่า ในปี 2557 จะเป็นปีที่ยากลำบากเหมือนปี 2551 เพียงแต่ว่าจะเป็นความยากลำบากที่เกิดจากในประเทศเรา แต่ปี 2551 ยากลำบากจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก”

เขาบอกว่า หากปี 2557 เศรษฐกิจไทยเติบโตไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่โต แต่เชื่อว่าปี 2558 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ประมาณ 2-4 เปอร์เซ็นต์ จากฐานที่ต่ำในปีนี้ โดยธรรมชาตินักลงทุนจะลงทุนเพื่ออนาคตเสมออย่างน้อย 6-18 เดือน ฉะนั้นเแม้ปีนี้จะมีข่าวร้ายมากมาย ตลาดหุ้นอาจมีการปรับฐานไปบ้างในช่วงไตรมาส 2 หรือ 3 แต่ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนอาจเติบโต 8-10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจน้อยกว่าที่ผ่านมาที่เติบโต 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ในแง่ของเงินปันผลยังคงอยู่ระดับกว่า 3-4 เปอร์เซ็นต์

หากย้อนไปดูสถิติเมื่อ 10 ปีก่อน เศรษฐกิจไทยไม่เติบโตต่อเนื่อง เพราะมีปัญหาการเมือง ขณะที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจเมืองไทยเติบโตเฉลี่ย 4.14 เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบกับในอาเซียนที่เติบโตค่าเฉลี่ย 6 เปอร์เซ็นต์ แต่หากไม่มีปัญหาการเมืองเราจะโตได้ประมาณ 5-5.5 เปอร์เซ็นต์

“ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้อาจโตเฉลี่ย 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกำไรสุทธิจะโตประมาณ 2.5 เท่าของจีดีพีของประเทศ”

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่