โว้ หลังจากที่กระทู้ดำน้ำกับฉลามและฝูงแมวน้ำ
http://ppantip.com/topic/32048940 ได้รับความนิยม (คิดไปเองหรือเปล่า) ก็มีหลายคนหน้าไมค์ หลังไมค์มาขอข้อมูลไปแคปทาวน์ ก็จัดไปยาว ๆ
ฝากอีกกระทู้ ดำน้ำที่ราชาอัมพัตนะคะ
http://ppantip.com/topic/32043223/comment2
จุดเด่นของแคปทาวน์ที่เรามักจะรู้จักก็คือ Table Mountain หรือ Tafelberg หรือภูเขาที่มีรูปคล้ายโต๊ะ ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากทั่วทุกที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงจุดไหนของเมือง (มันใหญ่ม๊ากกกกก) และได้รับเลือกให้เป็น 1 ในมรดกโลกทางธรรมชาติจากยูเนสโก้ด้วย เนื่องจากมีรูปร่างไม่เหมือนภูเขาปกติทั่วไปที่มักจะมียอดเขาประมาณนั้น
การจะขึ้นไปยอดเขาของ Table Mountain นี้สามารถเดิน hiking หรือนั่งกระเช้าขึ้นได้นะคะ ป้าแก่อย่างเราขอเลือกวิธีนั่งกระเช้า 555 กระเช้าก็ไฮโซมาก หมุน 360 ได้ แต่จะเปิดหรือปิดก็ขึ้นอยู่กับอากาศนะคะ
รูปนี้จะเห็น Robben Island ไกล ๆ (ในวงกลม) ซึ่งเคยเป็นสถานที่คุมขังเนลสัน มันเดลา รวมไปถึงนักโทษการเมืองที่มีชื่อเสียงอีกมากมายในช่วงที่ประเทศมีการแบ่งแยกสีผิวในประเทศ เราไม่ได้ไปเนื่องจากไม่มีเวลา เสียดายมาก หากใครจะไปแนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้า เพราะที่โรงแรมบอกว่าตั๋วขายหมดเร็วมาก
มองจากข้างล่างดูฟ้าใสอากาศดี แต่พอขึ้นมาข้างบน โว้วววว หมอกปกคลุมไปหมด หนาวสะท้านทรวงมาก
วิวของแคปทาวน์
ลงจากดอย ก็มาเดินเล่นหาอะไรกินที่ Victoria & Alfred (V&A) Waterfront มีห้าง ร้านค้า และร้านอาหารมากมาย มีโชว์ให้ดูด้วย สามารถอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน 555
ปกติเราจะกินบุฟเฟต์ที่โรงแรมเนื่องจากขี้เกียจ แต่วันนี้มีโอกาสได้ออกมากินข้างนอกเลยจัดเบา ๆ แต่ว่าอิ่มมาก มาแอฟริกาเค้าว่าต้องกินพวกเนื้อม้า นกกระจอกเทศ springbok อะไรทำนองนั้น แต่เราไม่กินเนื้อเลยสั่งเป็น spare ribs ไป ก็อร่อยดีค่ะ ชิ้นใหญ่มาก มื้อนี้ตกแล้วประมาณ 1200 บาท
อรุณเบิกฟ้านกกาโบยบิน....วันนี้มีโปรแกรมจะไปทัวร์ชิมไวน์ และแคปพ้อยท์
วิวจากห้องพักค่ะ
ทานอาหารเช้าไป มองภูเขาไป
ทัวร์วันนี้เราเลือกใช้บริการของ Hyltonross
http://www.hyltonross.co.za/tours.asp?level=2&pid=27&cid=9 เลือก Combo Cape Point & Winelands ปกติแล้วทัวร์นี้จะเริ่มที่ cape point ก่อน แต่เนื่องจากวันที่เราไปมันไม่ปกติ เพราะมีการแข่งวิ่งมาราธอนที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา เค้าปิดถนนเลยทำให้ทัวร์เราต้องไปเริ่มที่ชิมไวน์ก่อนเลย เราได้ไป vineyards 2 แห่งอยู่ในเขต Stellenbosch ซึ่งเป็นเมืองที่ปลูกไวน์ที่สำคัญเมืองนึงของแอฟริกาใต้
เค้าก็จะพาทัวร์ดูวิธีกลั่นไวน์ เก็บ บ่ม บรรจุ อะไรก็ว่ากันไป
ตอน Wine tasting เค้าก็จะมีกระดาษที่บอกชื่อและชนิดของไวน์ต่าง ๆ ที่เค้าจะให้เราชิมมาให้ดู พร้อมทั้ง homemade cheese หลากหลายชนิดมาให้ชิมคู่กับไวน์ด้วย แต่ล่ะที่เราได้ชิมไวน์ 4 ชนิดนะคะ สองที่ก็เท่ากับ 8 ชนิด (คู่นั้นชาวไอร์แลนด์เค้ามาฮันนีมูนอ่ะ)
แหม่นั่งจิบไวน์ ดูยีราฟตั้งแต่สิบโมงเช้า ฟินไปนะ (ชิมเสร็จอยากจะกลับโรงแรมไปนอน เพราะป้าเมา เหอะๆ)
เสร็จแล้วใครสนใจจะซื้อไวน์กลับก็เชิญได้เลย ราคาถูกมาก เราซื้อแอบซื้อกลับมา 4 ขวด แวะซื้อที่สนามบินอีก 2 ขวด เหอะๆ ดีนะไม่โดนศุลกากรตรวจขาเข้า
วิวข้างทาง ที่บางทีเห็นแล้วก็รู้สึกเศร้าใจปนหดหู่ เพราะระหว่างทางเราจะเห็น Township ที่ในสมัยยังมีการแบ่งแยกสีผิว คนผิวดำหรือผิวสีจะถูกขับไล่ออกจากชาวผิวขาวให้ไปอยู่รวมกันในพื้นที่หนึ่ง ๆ ซึ่งในปัจจุบันแม้จะหมดยุคแบ่งแยกสีผิวไปแล้ว คนเหล่านี้ก็ยังไม่ย้ายออกจากถิ่นที่เคยอาศัย อารมณ์คงจะประมาณรักถิ่นที่เกิดประมาณนั้นอ่ะค่ะ ซึ่งพวกที่อยู่ใน township ส่วนใหญ่จะมีฐานะยากจน แต่บางที่ก็จะมีเขตของคนผิวสีที่มีฐานะดีอยู่ด้วย (เราได้ไปทัวร์ soweto ซึ่งเป็น Township ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งในโจฮันเนสเบิร์ก เลยจะขอละเว้นรูปไปที่รีวิวหน้านะคะ)
ภูเขาโต๊ะอีกสักรูป
ขับไปเรื่อย ๆ ถึง Boulders Beach ชายหาดที่เต็มไปด้วยนกเพนกวิน นอนอาบแดดกันเกลื่อนหาด
เพนกวินกับแมวน้ำใครน่ารักกว่ากัน 555
เสร็จแล้วก็ขับลงไปเรื่อย ๆ ตาม Cape Penisula จนถึง Cape of Good Hope หรือ แหลมกู๊ดโฮป ระหว่างทางก็นั่งดูวิวไปอะไรไป
นกกระจอกเทศก็เดินกันชิลเลย
ลิงก็มีนะ
ถึงแล้ว แหลมกู๊ดโฮป เมื่อก่อนเราจะคิดว่าแหลมกู๊ดโฮปเป็นส่วนที่อยู่ตอนปลายสุดของทวีปแอฟริกาและเป็นจุดที่แบ่งระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรอินเดีย (น้ำเย็นเจอน้ำอุ่น) แต่จริง ๆ แล้วแหลมนี้มีความสำคัญเพราะเป็นทางผ่านของเรือสมัยก่อนที่จะไปเดินทางจากยุโรปไปค้าขายทางฝั่งตะวันออกไกล
ใครจะยื่นทำอารมณ์ ถ่าย MV ให้น้ำทะเลสาดกระจายใส่หน้าตรงปลายแหลมก็ได้นะ ไม่ว่ากัน
Cape Point ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Table Mountain National Park ด้านบนมีประภาคาร (ในวงกลม) เป็นจุดชมวิวลงมายังแหลมกู๊ดโฮป สามารถขึ้นไปได้ 2 วิธีด้วยกัน คือ นั่งรถราง หรือ เดินนั่นเอง เราเลือกเดินนะคะ เพราะไม่ได้เดินลำบากใช้เวลาไป-กลับแค่ 20 นาที (แหม่ฟังดูดี แต่จริง ๆ แล้วเปล่าเลย จริง ๆ คืองก ค่ารถรางตั้งคนละประมาณเกือบ 500 ชริ)
มองลงมาก็จะเห็นแบบนี้
จากนี้เราก็ขับตามเขาเลียบทะเลมา ซึ่งถือเป็นเส้นทางสายที่โรแมนติกมากเส้นทางนึง อิชั้นเห็นคู่รักชาวไอร์แลนด์ที่มาด้วยกันนั่งจับมือ หอมแก้มกันตลอดเวลา ชริ ส่วนเราก็นั่งมโนว่าคุณเขมชาตินั่งจับมืออยู่เหมือนกัน 555
หมดล่ะค่ะ ปิดกระทู้กันด้วยภาพแสงสุดท้ายของวัน ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะบินไปโจเบิร์กแต่เช้า รีวิวโจเบิร์กกับซาฟารีรอก่อนน๊าาาาา เดี๋ยวจะทยอยทำให้
ขอบคุณทุกคนที่อ่านกันมายืดยาวถึงตอนนี้ หากชอบใจถูกใจก็ขอคนละโหวต คนละไลค์เป็นกำลังใจให้อิชั้นต่อไปนะคะ กราบสวัสดี ^^
[CR] รีวิว แคปทาวน์ (Cape Town), แอฟริกาใต้: เมืองเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความสวยงาม
ฝากอีกกระทู้ ดำน้ำที่ราชาอัมพัตนะคะ http://ppantip.com/topic/32043223/comment2
จุดเด่นของแคปทาวน์ที่เรามักจะรู้จักก็คือ Table Mountain หรือ Tafelberg หรือภูเขาที่มีรูปคล้ายโต๊ะ ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากทั่วทุกที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงจุดไหนของเมือง (มันใหญ่ม๊ากกกกก) และได้รับเลือกให้เป็น 1 ในมรดกโลกทางธรรมชาติจากยูเนสโก้ด้วย เนื่องจากมีรูปร่างไม่เหมือนภูเขาปกติทั่วไปที่มักจะมียอดเขาประมาณนั้น
การจะขึ้นไปยอดเขาของ Table Mountain นี้สามารถเดิน hiking หรือนั่งกระเช้าขึ้นได้นะคะ ป้าแก่อย่างเราขอเลือกวิธีนั่งกระเช้า 555 กระเช้าก็ไฮโซมาก หมุน 360 ได้ แต่จะเปิดหรือปิดก็ขึ้นอยู่กับอากาศนะคะ
รูปนี้จะเห็น Robben Island ไกล ๆ (ในวงกลม) ซึ่งเคยเป็นสถานที่คุมขังเนลสัน มันเดลา รวมไปถึงนักโทษการเมืองที่มีชื่อเสียงอีกมากมายในช่วงที่ประเทศมีการแบ่งแยกสีผิวในประเทศ เราไม่ได้ไปเนื่องจากไม่มีเวลา เสียดายมาก หากใครจะไปแนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้า เพราะที่โรงแรมบอกว่าตั๋วขายหมดเร็วมาก
มองจากข้างล่างดูฟ้าใสอากาศดี แต่พอขึ้นมาข้างบน โว้วววว หมอกปกคลุมไปหมด หนาวสะท้านทรวงมาก
วิวของแคปทาวน์
ลงจากดอย ก็มาเดินเล่นหาอะไรกินที่ Victoria & Alfred (V&A) Waterfront มีห้าง ร้านค้า และร้านอาหารมากมาย มีโชว์ให้ดูด้วย สามารถอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน 555
ปกติเราจะกินบุฟเฟต์ที่โรงแรมเนื่องจากขี้เกียจ แต่วันนี้มีโอกาสได้ออกมากินข้างนอกเลยจัดเบา ๆ แต่ว่าอิ่มมาก มาแอฟริกาเค้าว่าต้องกินพวกเนื้อม้า นกกระจอกเทศ springbok อะไรทำนองนั้น แต่เราไม่กินเนื้อเลยสั่งเป็น spare ribs ไป ก็อร่อยดีค่ะ ชิ้นใหญ่มาก มื้อนี้ตกแล้วประมาณ 1200 บาท
อรุณเบิกฟ้านกกาโบยบิน....วันนี้มีโปรแกรมจะไปทัวร์ชิมไวน์ และแคปพ้อยท์
วิวจากห้องพักค่ะ
ทานอาหารเช้าไป มองภูเขาไป
ทัวร์วันนี้เราเลือกใช้บริการของ Hyltonross http://www.hyltonross.co.za/tours.asp?level=2&pid=27&cid=9 เลือก Combo Cape Point & Winelands ปกติแล้วทัวร์นี้จะเริ่มที่ cape point ก่อน แต่เนื่องจากวันที่เราไปมันไม่ปกติ เพราะมีการแข่งวิ่งมาราธอนที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา เค้าปิดถนนเลยทำให้ทัวร์เราต้องไปเริ่มที่ชิมไวน์ก่อนเลย เราได้ไป vineyards 2 แห่งอยู่ในเขต Stellenbosch ซึ่งเป็นเมืองที่ปลูกไวน์ที่สำคัญเมืองนึงของแอฟริกาใต้
เค้าก็จะพาทัวร์ดูวิธีกลั่นไวน์ เก็บ บ่ม บรรจุ อะไรก็ว่ากันไป
ตอน Wine tasting เค้าก็จะมีกระดาษที่บอกชื่อและชนิดของไวน์ต่าง ๆ ที่เค้าจะให้เราชิมมาให้ดู พร้อมทั้ง homemade cheese หลากหลายชนิดมาให้ชิมคู่กับไวน์ด้วย แต่ล่ะที่เราได้ชิมไวน์ 4 ชนิดนะคะ สองที่ก็เท่ากับ 8 ชนิด (คู่นั้นชาวไอร์แลนด์เค้ามาฮันนีมูนอ่ะ)
แหม่นั่งจิบไวน์ ดูยีราฟตั้งแต่สิบโมงเช้า ฟินไปนะ (ชิมเสร็จอยากจะกลับโรงแรมไปนอน เพราะป้าเมา เหอะๆ)
เสร็จแล้วใครสนใจจะซื้อไวน์กลับก็เชิญได้เลย ราคาถูกมาก เราซื้อแอบซื้อกลับมา 4 ขวด แวะซื้อที่สนามบินอีก 2 ขวด เหอะๆ ดีนะไม่โดนศุลกากรตรวจขาเข้า
วิวข้างทาง ที่บางทีเห็นแล้วก็รู้สึกเศร้าใจปนหดหู่ เพราะระหว่างทางเราจะเห็น Township ที่ในสมัยยังมีการแบ่งแยกสีผิว คนผิวดำหรือผิวสีจะถูกขับไล่ออกจากชาวผิวขาวให้ไปอยู่รวมกันในพื้นที่หนึ่ง ๆ ซึ่งในปัจจุบันแม้จะหมดยุคแบ่งแยกสีผิวไปแล้ว คนเหล่านี้ก็ยังไม่ย้ายออกจากถิ่นที่เคยอาศัย อารมณ์คงจะประมาณรักถิ่นที่เกิดประมาณนั้นอ่ะค่ะ ซึ่งพวกที่อยู่ใน township ส่วนใหญ่จะมีฐานะยากจน แต่บางที่ก็จะมีเขตของคนผิวสีที่มีฐานะดีอยู่ด้วย (เราได้ไปทัวร์ soweto ซึ่งเป็น Township ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งในโจฮันเนสเบิร์ก เลยจะขอละเว้นรูปไปที่รีวิวหน้านะคะ)
ภูเขาโต๊ะอีกสักรูป
ขับไปเรื่อย ๆ ถึง Boulders Beach ชายหาดที่เต็มไปด้วยนกเพนกวิน นอนอาบแดดกันเกลื่อนหาด
เพนกวินกับแมวน้ำใครน่ารักกว่ากัน 555
เสร็จแล้วก็ขับลงไปเรื่อย ๆ ตาม Cape Penisula จนถึง Cape of Good Hope หรือ แหลมกู๊ดโฮป ระหว่างทางก็นั่งดูวิวไปอะไรไป
นกกระจอกเทศก็เดินกันชิลเลย
ลิงก็มีนะ
ถึงแล้ว แหลมกู๊ดโฮป เมื่อก่อนเราจะคิดว่าแหลมกู๊ดโฮปเป็นส่วนที่อยู่ตอนปลายสุดของทวีปแอฟริกาและเป็นจุดที่แบ่งระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรอินเดีย (น้ำเย็นเจอน้ำอุ่น) แต่จริง ๆ แล้วแหลมนี้มีความสำคัญเพราะเป็นทางผ่านของเรือสมัยก่อนที่จะไปเดินทางจากยุโรปไปค้าขายทางฝั่งตะวันออกไกล
ใครจะยื่นทำอารมณ์ ถ่าย MV ให้น้ำทะเลสาดกระจายใส่หน้าตรงปลายแหลมก็ได้นะ ไม่ว่ากัน
Cape Point ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Table Mountain National Park ด้านบนมีประภาคาร (ในวงกลม) เป็นจุดชมวิวลงมายังแหลมกู๊ดโฮป สามารถขึ้นไปได้ 2 วิธีด้วยกัน คือ นั่งรถราง หรือ เดินนั่นเอง เราเลือกเดินนะคะ เพราะไม่ได้เดินลำบากใช้เวลาไป-กลับแค่ 20 นาที (แหม่ฟังดูดี แต่จริง ๆ แล้วเปล่าเลย จริง ๆ คืองก ค่ารถรางตั้งคนละประมาณเกือบ 500 ชริ)
มองลงมาก็จะเห็นแบบนี้
จากนี้เราก็ขับตามเขาเลียบทะเลมา ซึ่งถือเป็นเส้นทางสายที่โรแมนติกมากเส้นทางนึง อิชั้นเห็นคู่รักชาวไอร์แลนด์ที่มาด้วยกันนั่งจับมือ หอมแก้มกันตลอดเวลา ชริ ส่วนเราก็นั่งมโนว่าคุณเขมชาตินั่งจับมืออยู่เหมือนกัน 555
หมดล่ะค่ะ ปิดกระทู้กันด้วยภาพแสงสุดท้ายของวัน ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะบินไปโจเบิร์กแต่เช้า รีวิวโจเบิร์กกับซาฟารีรอก่อนน๊าาาาา เดี๋ยวจะทยอยทำให้
ขอบคุณทุกคนที่อ่านกันมายืดยาวถึงตอนนี้ หากชอบใจถูกใจก็ขอคนละโหวต คนละไลค์เป็นกำลังใจให้อิชั้นต่อไปนะคะ กราบสวัสดี ^^