[CR] Cape Town, South Africa เมืองเล็ก ๆ แต่มีมีเสน่ห์

สวัสดีเพื่อนๆสมาชิก Pantip ทุกท่านครับ เมื่อปีที่แล้วมีโอกาสได้เดินทางไปเที่ยว Cape Town, South Africa  มาครับ เลยอยากมาแชร์ให้นักเดินทางได้มีโอกาสไปเที่ยวกันมากๆ  ซึ่งเนื้อหาสาระในกระทู้นี้อาจจะไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่นะครับ  จะมีเพียงแต่รูปถ่ายซะส่วนใหญ่ เพราะแค่ต้องการเป็นส่วนนึงที่มาช่วยแชร์สถานที่ ให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวที่นี่กันเยอะๆครับ

เนื่องจาก South Africa เป็นประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า Passport ไทยสามารถเข้าพำนักอยู่ได้สูงสุด 30 วันครับ

ทริปนี้ผมเดินทางช่วง 30 เมษายน- 7 พฤษภาคม ลางานได้เพียง 3 วันเอง เป็นทริปสั้นๆไม่นานซักเท่าไหร่ระยะเวลาเพียง 8 วัน 5 คืน

สายการบินที่เลือกใช้บริการ Singapore Airlines ให้บริการแบบ Full service ผู้โดยสารชั้นประหยัดสามารถโหลดกระเป๋าได้สูงสุด 30 กิโลกรัมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ต่อเครื่องที่สิงคโปร์ ออกเดินทาง Bangkok 18:30 ถึง Cape Town 09:25 รวมระยะเวลา 19:55 ชม.  กินอิ่ม นอนหลับ ลูกเรือเสิร์ฟเครื่องดื่มแทบทุก ชม.เลยครับ


“Singapore Sling” เมนูค็อกเทลแนะนำของ Singapore Airlines ครับ เป็นไฮไลท์เด็ดของสายการบินเลยทีเดียว

นั่งเครื่องมายาวนาน ก็ถึงท่าอากาศยานนานาชาติเคปทาวน์ ผมได้ทำการจอง Taxi กับที่พักไว้ก็จะมีพนักงานล่ำบึ้ก ยังกับบอดี้การ์ด มายืนถือป้ายรอรับ สนนราคาค่า Taxi R300  ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึงที่พักและครับ
สำหรับที่พักตลอดการเดินทาง 5 คืน "House on the Hill" ย่าน Green Point สามารถเดินไป ชายหาด ร้านอาหาร Cape Town Stadium และ  (V&A) Waterfront  ได้เลยครับ ราคาคืนละ R750 มีห้องน้ำส่วนตัว เข้าพักได้สูงสุด 2 ท่าน มีอาหารเช้าเล็กๆ นม น้ำส้ม ชา กาแฟ ขนมปัง และสลัดผัก


สถานที่แรกที่ไป Victoria & Alfred (V&A) Waterfront  เป็นสถานที่ที่ผมเดินมาทุกวันเลยครับ จะมีทั้งสินค้าพื้นเมือง ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารมากมาย มีโชว์และกิจกรรมให้ดูด้วยครับสามารถนั่งอยู่ได้ทั้งวัน เท่าที่สังเกตดู นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ จะเป็นฝรั่งซะส่วนใหญ่ คนเอเชียค่อนข้างน้อย

ซึ่งชื่อ Victoria & Alfred นี้ได้ตั้งตามพระนามของพระราชินีที่ชื่อ Victoria และเจ้าชาย Alfred แห่งราชวงศ์อังกฤษ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นจุดแรกที่มีการขึ้นฝั่งของชาวดัตช์เมื่อหลาย 100 ปีก่อน และนำไปสู่การยึดครองดินแดนแถบนี้ของชาวดัตช์ หลังจากนั้นอังกฤษได้เข้ายึดครองในเวลาต่อมา ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงของเมือง Cape Town
The cape Wheel ชิงช้าสร้างสวรรค์  ค่าขึ้นอยู่ที่ R100 สำหรับลูกเรือแสดงบัตรพนักงานสามารถขึ้นฟรี

ย่าน (V&A) Waterfront นี้สามารถเดินเล่นได้เพลินๆ ไม่เบื่อเลยครับ

เดินเล่นซักพักก็มาซื้อตั๋ว City Sightseeing, Hop On - Hop Off  Tours  ซึ่งสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าได้เลย เนื่องจากซื้อออนไลน์จะถูกกว่า R20  แต่ผมเองก็ไม่ได้ซื้อออนไลน์หรอกครับ มาซื้อหน้างานเอา หลังจากซื้อตั๋วเสร็จทางบริษัทก็จะให้หูฟังมา ไว้ฟังข้อมูลตามสถานที่ต่างๆและแน่นอนครับไม่มีภาษาไทย !

สถานที่ต่อไปคือ Table Mountain (ภูเขารูปโต๊ะ) ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจาก UNESCO ให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อปี 2012
โดยเราสามารถขึ้นไปด้านบน ได้สองวิธีด้วยกันครับ 1. ปีนเขา(Hiking) 2. Cableway ครับ ผมเองนี้เลือกนั่ง Cableway ไปครับโดยกระเช้าจะหมุน 360 องศาสามารถเห็นวิวทั้งภูเขาและทะเลได้เลย แต่ก่อนที่จะไปขึ้น Table Mountain ควรเช็คสภาพอากาศเสียก่อนนะครับ เพราะที่นี่ลมแรงมากๆไปถึงอาจจะปิดไม่ให้ขึ้นก็ได้ครับ
วิวจากด้านบนครับ
ด้านบนจะมีร้านค้าเล็กๆจำหน่ายของที่ระลึก และก็ร้าน Coffee Shop
วิวภูเขาที่เห็นนั่นคือ Lion's Head ครับ ไกลออกไปจะเห็นเป็นเกาะเล็กๆกลางทะเลนั้นคือ Robben Island เกาะที่เป็นเรือนจำเก่าขณะที่ เนลสัน แมนเดลา ถูกพิพากษาจำคุกและอยู่บนเกาะร็อบเบนเป็นเวลา 18 ปี

หลังลงมาจาก Table Mountain มาแวะที่ Camps Bay Beach  จะมีหาดเล็กๆสำหรับเล่นน้ำ อ่าวและทะเลสวยงามมาก ภูเขาหินด้านหลังเรียงตัวกันเรียกว่า Twelve Apostles
ชายหาดสีขาวตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าที่โดยข้างหลังเป็นภูเขาขนาดใหญ่
ย่าน Camps Bay Beach นี้จะมีร้านอาหารเรียงรายอยู่เต็มไปหมดเลยครับ เมนูอาหารเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดครับ

ในเมือง Cape Town ผมว่าตอนกลางวันก็ปลอดภัยดีครับไม่มีปัญหาอะไร ส่วนตอนกลางคืนนั้น แนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรเดินตามข้างถนนครับเพราะค่อนข้างเปลี่ยวและอาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้ เคปทาวน์ไม่ได้อันตรายเหมือนโจฮันเนสเบิร์กจึงวางใจได้ในระดับหนึ่งครับ ผมเองเดินกลับจาก (V&A) Waterfront ตอนกลางคืน 2-3 ทุ่มก็มีเด็กบ้างผู้ใหญ่บ้างเดินเข้ามาขอเงิน ซึ่งผมก็ปฏิเสธไม่ได้ให้ไปและรีบเดินกลับเข้าโรงแรม

วันต่อมาเดินทางไปย่าน Hout Bay เพื่อไปชมแมวน้ำ ที่ย่าน Hout Bay นี้เป็นสถานที่นักท่องเที่ยวมาลงเยอะมากๆครับ เนื่องจากเป็นท่าเรือนั่งออกไปชมแมวน้ ที่เกาะ Seal Island หรือ (เกาะแมวน้ำนั่นเอง) ตั๋วจำหน่ายก็มีหลายเจ้าเช่นกัน
ราคาเรือไปชมเกาะแมวน้ำอยู่ที่ 60-75 Rand ต่อคน โดยระยะเวลาไป-กลับ ประมาณ 1 ชม.

หลังจากเรือกลับเข้าฝั่ง เดินออกมาก็จะมีสิ้นค้าท้องถิ่นของชาวพื้นเมืองจำหน่ายส่วนใหญ่เป็นสินค้า Handmade ที่คนท้องถิ่นเอามาวางแผงขาย ต่อลองได้พอสมควร ผมนี่ต่อเขาจาก R100 ขอ R50 บางร้านก็ขายเรา

ช่วงเย็นผมไปรอขึ้นรถ Sunset Bus เพื่อนั่งชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปกับฉากของภูเขา Signal Hill และมวิวหาสมุทร (ซื้อ Hop On - Hop Off สามารถขึ้น Sunset Bus ได้ฟรีครับ)
ที่นี่ผู้คนมาชมพระอาทิตย์ตกดินเยอะจริงๆ รถติดกันเลยทีเดียว

เพราะอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้วครับ

เช้าวันใหม่ผมเดินทางไปที่ Groot Constantia
Groot Constantia เป็นไร่องุ่นและแหล่งทำเหล้าองุ่นที่เก่าแก่ที่สุดของแอฟริกาใต้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1692 โดยผู้ว่าการเมืองชาวดัตซ์ หากมีโอกาสมา Cape Town แนะนำให้มาชมไร่องุ่นแห่งนี้รับรองว่าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนครับ


Wine tasting จะมีกระดาษซึ่งบอกชื่อและชนิดของไวน์ต่าง ๆ ที่เราสามารถเลือกชิมได้ พร้อมทั้งมี Chocolate & Cracker มาให้ชิมคู่กับไวน์ สายไวน์นี่ไม่ควรพลาดเลยครับ วหากสนใจจะซื้อไวน์กลับก็เชิญได้เลย ซึ่งก็มีหลายราคาครับตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน
ชื่อสินค้า:   South Africa
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่