การเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ในการทำความรู้จักกับประเทศเล็กๆที่ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชายฝั่งทางด้านเหนือจรดทะเลจีนใต้ พรมแดนทางบกที่เหลือจากนั้นถูกล้อมรอบด้วยรัฐซาราวัก มาเลเซียตะวันออก
ประเทศบรูไนหรือมีชื่อเรียกเต็มๆว่า Negara Brunei Darussalam ซึ่งยังคงความเป็นเอกลักษณ์มลายูอย่างครบถ้วนทั้งลักษณะบ้านเรือน ชีวิตความเป็นอยู่ โดยเฉพาะการอนุรักษ์อักษรยาวี (Jawi) เป็นอักษรที่ใช้เขียนภาษามลายูโดยได้ดัดแปลงจากอักษรอาหรับ
ซึ่งภาครัฐมีการกำหนดให้ป้ายต่างๆต้องมีอักษรยาวีที่มีขนาดใหญ่กว่าภาษาอื่น
สิ่งที่ประทับใจในทุกๆครั้งที่มาที่นี่คือ การที่นักท่องเที่ยวอย่างเราและคนเดินถนนทั่วไปสามารถข้ามทางม้าลายได้อย่างปลอดภัย เพราะรถทุกคันจะหลุดหากมีผู้ต้องการข้ามถนน ซึ่งความปลอดภัยนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในเมืองไทย เดินถนนบ้านเขาแล้วกลับมาในบ้านเราแล้วรู้สึกทุกทีว่าเมืองไทยเราหากสามารถปรับการขับขี่บนท้องถนนได้สักกึ่งนึงของเขาก็คงดี
สิ่งที่ไปทุกครั้งแล้วก็เกิดความอิจฉาทุกทีที่เห็นคือราคาน้ำมัน ตอนที่ไปราคาน้ำมันอยู่ที่ 0.53 บรูไนดอลลาร์ ประมาณ 15 บาทไทย ถูกจริงๆ ซึ่งก็คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนบรูไนนิยมใช้รถยนต์ส่วนตัวมากกว่าใช้บริการรถสาธารณะ ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆลำบากมากในการเดินทางไปไหนมาไหน
อีกอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ ข้าวหอมมะลิที่บรูไนราคาถูกกว่าที่เมืองไทย ปัจจุบันราคาอยู่ประมาณ 20 กว่าบาท ซึ่งก็เป็นผลพวงมาจากการที่รัฐพยุงราคาไม่ให้ราคาเกินไปกว่านี้ ซึ่งที่ทราบมาจากชาวบรูไน เขาบอกมาว่าองค์สุลต่านทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการพยุงราคาสินค้าบางชนิด ซึ่งปีหนึ่งๆ ใช้เงินไปหลายพันล้านดอลลาร์
[CR] อีกสักครั้งกับบรูไนดารุสลาม ประเทศที่ไปกี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม
ประเทศบรูไนหรือมีชื่อเรียกเต็มๆว่า Negara Brunei Darussalam ซึ่งยังคงความเป็นเอกลักษณ์มลายูอย่างครบถ้วนทั้งลักษณะบ้านเรือน ชีวิตความเป็นอยู่ โดยเฉพาะการอนุรักษ์อักษรยาวี (Jawi) เป็นอักษรที่ใช้เขียนภาษามลายูโดยได้ดัดแปลงจากอักษรอาหรับ
ซึ่งภาครัฐมีการกำหนดให้ป้ายต่างๆต้องมีอักษรยาวีที่มีขนาดใหญ่กว่าภาษาอื่น
สิ่งที่ประทับใจในทุกๆครั้งที่มาที่นี่คือ การที่นักท่องเที่ยวอย่างเราและคนเดินถนนทั่วไปสามารถข้ามทางม้าลายได้อย่างปลอดภัย เพราะรถทุกคันจะหลุดหากมีผู้ต้องการข้ามถนน ซึ่งความปลอดภัยนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในเมืองไทย เดินถนนบ้านเขาแล้วกลับมาในบ้านเราแล้วรู้สึกทุกทีว่าเมืองไทยเราหากสามารถปรับการขับขี่บนท้องถนนได้สักกึ่งนึงของเขาก็คงดี
สิ่งที่ไปทุกครั้งแล้วก็เกิดความอิจฉาทุกทีที่เห็นคือราคาน้ำมัน ตอนที่ไปราคาน้ำมันอยู่ที่ 0.53 บรูไนดอลลาร์ ประมาณ 15 บาทไทย ถูกจริงๆ ซึ่งก็คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนบรูไนนิยมใช้รถยนต์ส่วนตัวมากกว่าใช้บริการรถสาธารณะ ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆลำบากมากในการเดินทางไปไหนมาไหน
อีกอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ ข้าวหอมมะลิที่บรูไนราคาถูกกว่าที่เมืองไทย ปัจจุบันราคาอยู่ประมาณ 20 กว่าบาท ซึ่งก็เป็นผลพวงมาจากการที่รัฐพยุงราคาไม่ให้ราคาเกินไปกว่านี้ ซึ่งที่ทราบมาจากชาวบรูไน เขาบอกมาว่าองค์สุลต่านทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการพยุงราคาสินค้าบางชนิด ซึ่งปีหนึ่งๆ ใช้เงินไปหลายพันล้านดอลลาร์