เมื่อฉันวิ่งอัลตร้ามาราธอน ในวันสุดท้ายของขวบปีที่ 29

ก่อนที่ฉันจะอายุครบ 30 ปี ฉันแค่อยากทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อชนะใจตัวเองอีกสักครั้ง
อายุ 26 ปี ฉันเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเอง ให้หันมาออกกำลังกายจริงจัง
อายุ 27 ปี ฉันตัดสินใจลงสนามวิ่งแรกในชีวิต ไมโครมาราธอน 8 ก.ม. และลงมินิมาราธอน 10.5 ก.ม. อีก 2 เดือนต่อมา มีสถิติที่ดีที่สุดที่ 53 นาที
อายุ 28 ปี ฉันตัดสินใจลงฮาล์ฟมาราธอน 21.1 ก.ม. และมีสถิติที่ดีที่สุดที่ 1:57 ชั่วโมง
อายุ 29 ปี ฉันตัดสินใจลงมาราธอน 42.195 ก.ม. จบสนามแรกด้วยเวลา 4:40 ชั่วโมง
และในวันสุดท้ายของขวบปีที่ 29 ฉันได้ลงอัลตร้ามาราธอน 10 ชั่วโมง

ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ฉันมีชั่วโมงบินในสนามวิ่งแค่ 52 สนาม ผ่านมาราธอนเพียง 1 สนาม วิ่งไม่จบ (did not finish หรือ DNF) 2 สนามฮาล์ฟมาราธอน เนื่องจากบาดเจ็บกล้ามเนื้อ
ฉันต้องพักการวิ่ง จากการบาดเจ็บน่องขวาถึง 2 ครั้ง และข้อพับซ้าย 1 ครั้ง

ฉันประเมินตัวเองว่า ร่างกายและกล้ามเนื้อของฉัน มันอาจจะยังไม่พร้อมที่จะลงสนามอัลตร้ามาราธอน 10 ชั่วโมงเลย เนื่องจากฉันมีชั่วโมงบินในการวิ่งยาวน้อยมาก รวมทั้งการซ้อมเพื่อลงสนามนี้มีมากที่สุดแค่ 25 ก.ม.

แต่ฉันก็คงเสียใจมาก ที่ไม่ได้ลงสนามนี้ ในปี 2557

อัลตร้ามาราธอนครั้งแรก ฉันจึงตั้งใจว่า จะวิ่ง จะเดิน จะยืนอยู่บนขาของตัวเองให้ได้จนจบการแข่งขัน

6 โมงเช้าปล่อยตัว ฉันวิ่งช้าๆ ประคอง เพซ 7 ไปเรื่อยๆ จนถึงระยะฮาล์ฟมาราธอน ฉันเริ่มเมื่อยขา เลยหยุดเดินบ้าง วิ่งสลับกันบ้าง

เข้าสู่ก.ม.ที่ 30 ฉันเริ่มกลับมาวิ่งช้าๆ อีกครั้ง แต่ทำได้ไม่ไกลมาก ก็ต้องหยุดเดินอีกครั้ง เวลานั้นประมาณ 10 โมงเช้า อากาศกำลังทวีความร้อน ใช่...ฉันก็ร้อน แต่ฉันหยุดไม่ได้ จึงมุ่งมั่นเดินต่อไป ฉันเดินจนเมื่อยเท้า จึงต้องถอดรองเท้าเดินสลับกันไป ระหว่างที่เดินก็เติมพลังงานด้วยเจล

ฉันจบระยะมาราธอนในเวลาเที่ยงวัน แต่ฉันรู้ตัวว่า วิ่งต่อไปไม่ไหว จึงต้องเดินต่อไป และใช่...ฉันไม่ได้หยุดทานอาหารกลางวัน และฉันก็ไม่สามารถกินเจลได้อีกเลย

ระหว่างนั้น ฉันมีวิ่งสลับ เดินสลับ และเมื่อยขามากๆ ต้องขอบคุณเพื่อนนักวิ่งที่เป็นคู่ซ้อมของฉันเข้ามาช่วยนวดคลายให้

จนถึงเวลาบ่ายสองโมง ฉันรู้ตัวแล้วว่า เหนื่อยและล้าที่สุด แทบจะไม่สามารถก้าวขาได้เลย จังหวะที่เดินอยู่นั้น ฉันคิดถึงแม่กับพ่อ ฉันคิดถึงความตั้งใจของฉันว่าจะยืนอยู่บนขาของตัวเองให้ตลอดเวลา 10 ชั่วโมง ฉันหยุดไม่ได้ ฉันจึงถอดรองเท้าเดินอีกครั้ง แต่ขาฉันสั่นๆ จนก้าวไม่ออก และฉันก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกับฝนโปรยปราย

เพื่อนคู่ซ้อมบอกฉันว่า อย่าเพิ่งดราม่า อย่าเพิ่งร้องไห้ แล้วเธอก็ออกเดินเป็นเพื่อนฉัน แต่สุดท้ายฉันก็ต้องล้มลงนั่งทันที

เพื่อนฉันทั้งนวดคลาย ถามว่าไหวไหม ฉันก้มดูนาฬิกาจับระยะแล้วพบว่า เหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง ฉันเหลือระยะทาง 8 ก.ม. ที่ต้องผ่านคุณสมบัติ คือ 63 ก.ม. ฉันจึงบอกเพื่อนว่า ฉันจะลองวิ่งอีกครั้ง

ในจังหวะสุดท้ายของ 10 ชั่วโมง ฉันลืมความล้าชั่วคราว ออกตัววิ่งในจังหวะที่เร็วกว่าเดิม เพซ 5 และ 6 เพื่อนฉันคอยเอาน้ำเย็นสาดขาให้ฉัน ค่อยวิ่งเป็นจังหวะเดียวกัน

แต่ในรอบสุดท้ายก่อนหมดเวลา ฉันบอกเพื่อนฉันว่า ฉันรู้สึกหน้ามืด แต่ฉันต้องวิ่งอีก 1 รอบ จึงกัดฟันวิ่งต่อไป และฉันก็จบการวิ่งในเวลา 9 ชั่วโมง 53 นาที นาฬิกาฉันบอกระยะ 64.90 ก.ม. ใช่...ถ้าวัดจากนาฬิกาของฉัน ถือว่าผ่านคุณสมบัติระยะทาง 63 ก.ม.

ฉันกดหยุดนาฬิกา แล้วก็ร้องไห้แบบลืมอาย ฉันรู้ว่า ฉันผ่านอุปสรรคและความทรมานทุกอย่างมาแล้ว ฉันทำสำเร็จ ฉันผ่านสนามอัลตร้ามาราธอนมาได้แล้ว

ฉันโทรไปหาแม่กับพ่อ เพื่อบอกความสำเร็จของฉัน เพื่อนๆ นักวิ่งของฉันหลายคนร่วมยินดีกับฉัน กอดฉัน และฉันก็ยินดีกับพวกเขาที่วิ่งยาวนาน 10 ชั่วโมงมาเหมือนกัน หลายคนก็จบด้วยการติด 1 ใน Top 100 ได้เสื้อ Finisher

และของขวัญสำหรับวันเกิดของฉันปีนี้ คือ ถ้วยรางวัลพิเศษ ของผู้ที่ทำระยะทางมากกว่า 63 ก.ม. (ในสถิติของ Championchip จะลงระยะทางที่ 65.10 ก.ม.)

ฉันอาจผ่านสนามอัลตร้ามาราธอนไม่ได้เลยถ้าไม่มีบุคคลเหล่านี้
การดูแลตลอด 10 ชั่วโมง ของพี่ป๊อก พี่แจง พี่ดา พี่ปู พี่สู พี่ป้อม ฝน
เสียงกำลังใจ จาก พี่โอ พี่ลิป พี่ฮั้ว พี่บอย พี่กุ๊ก พี่เอก และกลุ่ม Crazy Running รวมทั้งกระแสความห่วงใยทั้งก่อนและหลังแข่งของลุงมาด
สำคัญที่สุดที่ฉันจะไม่ลืมเลยคือ หนู เพื่อนคู่ซ้อมวิ่ง ที่ไม่ทิ้งฉันเลยใน 1 ชั่วโมงสุดท้ายของอัลตร้ามาราธอน
และครอบครัวของฉัน แม่ พ่อ และน้องชาย

ฉันได้รับบทเรียนสำคัญจากการลงสนามอัลตร้ามาราธอนครั้งนี้คือ ระยะทางวิ่งที่เกินขีดจำกัดของมนุษย์มันต้องเจออุปสรรคความเหนื่อย ล้า และเจ็บปวด ฉันเข้าใจแล้วว่ามันเป็นอย่างไร (ทานอาหารมื้อเย็นไม่ค่อยลง หิวน้ำตลอดเวลา และง่วงนอน) ซึ่งฉันคงจะไม่ลงสนามอัลตร้ามาราธอนบ่อยครั้งนัก เพราะฉันคิดว่า มันทำลายสุขภาพ (ถึงแม้ว่า สภาพหลังวิ่ง ฉันเดินได้ มีอาการตึงข้อพับเล็กน้อยเท่านั้น และทดลองวิ่งช้าเบาๆ แล้วไม่มีปัญหา)

แต่ฉันภูมิใจที่อย่างน้อยได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และท้าทายตัวเองสำเร็จแล้ว

รูปนี้ เพื่อนของฉันถ่ายให้ ตอนที่วิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่