เราได้เห็นข้อความตามด้านล่างนี้
==================================================================================
น้ำมันพืช
อันตรายระดับชาติ !!!
คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเสียเงินซื้อยาฝรั่ง ต้นเหตุเพียงแค่น้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึม
อดีตเมื่อก่อน 30 ปีที่แล้ว คนไทยใช้น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำกับข้าว จู่ ๆ โฆษณาฝรั่ง มากล่าวโทษวิถีไทยเดิม ๆ อ้างว่าน้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำให้คลอเลสเตอรอลสูง เพราะจับตัวเป็นไข วิธีแก้คือ การใช้น้ำมันพืช
ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช เพราะความเชื่อที่ถูกฝรั่งฝังหัวมา แต่ปรากฏว่า อัตราการเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น … ไขมันในเลือดสูง, โรคหัวใจ, โรคไต, ภูมิแพ้…เป็นต้น
วงการสุขภาพของตะวันตก เพิ่งจะมาตาสว่างเมื่อค้นพบโทษของน้ำมัน พืช สหรัฐ ฯ ได้ออกมาตรการลด ละ เลิก ใช้ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (transfat oil) ในหลาย ๆ รัฐ
ท่านสามารถอ่านข่าวเหล่านี้ได้ เช่น
อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู่ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…”
บันทึก #1 18 ก.พ. 2553 09:51:24
http://gov.ca.gov/press-release/10291/
รัฐเท็กซัส…พระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชแปรรูปให้หมดจากร้านอาหาร ภายใน สิงหาคม 2553
http://dallas.bizjournals.com/dallas/stories/2009/05/04/daily72.html
KFC เริ่มเห็นโทษของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ออกเมนูไร้น้ำมันพืช Transfat
http://abcnews.go.com/Health/OnCall/story?id=2615217
McDonald ประกาศเริ่มใช้น้ำมันชนิดอื่น แทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเมื่อปี 2007 เริ่มต้นที่ 1,200 สาขา
http://www.msnbc.msn.com/id/16873869/
Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืช ผ่านกรรมวิธีตั้งแต่ปี 2550
https://www.dunkindonuts.com/aboutus/press/PressRelease.aspx?viewtype=current&id=100102
เว๊บไซท์ ต่อต้าน transfat
http://www.bantransfats.com/
โรคที่มากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี…ระบบ เผาผลาญอาหารเสื่อม, เบาหวาน, ธัยรอยด์, เสื่อสมรรถภาพทางเพศ, โรคหัวใจ, โรคอ้วน, โรคไต
http://transfatdisease.com/why.html
อาหารที่พบอยู่ทั่วไป มีน้ำมันพืชเสมอ… ก๋วยเตี๋ยว, ผัดไท, หอยทอด, ราดหน้า, ผัดผักทุกชนิด, ไก่ทอด, ปาท่องโก๋, ข้าวผัด ขนมอบ เบเกอรี่… สรุปรวมว่าอาหารทุกชนิดที่ใช้กะทะ (ผัด ทอด) ใช้น้ำมันพืชทั้งนั้น
น้ำมันพืชเกือบทุกชนิด ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ซึ่งราคาถูก แต่ขวางระบบดูดซึม น้ำซึมผ่านไม่ได้ หากใช้วัสดุอื่นตามที่โฆษณาจริง เหตุใดจึงยังขายได้ในราคาถูกเช่นนั้น
อย่าให้คำว่า ‘ไม่เป็นไข’ มาหลอกท่านได้อีก
บันทึก #2 18 ก.พ. 2553 09:51:54
น้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศา จะดูสวยงาม ไม่เป็นไข ผิดกับน้ำมันหมูที่เมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำ จะเป็นไข แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้าไป อยู่ในร่างกาย อุณหภูมิ 37 องศา จะกลายเป็นกาวเหนียว เกาะติดลำไส้ ตั้งแต่ลำคอลงมาถึงลำไส้ใหญ่ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยพืชผักที่เราทาน เข้าไป และ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำ ชาธรรมดา
แต่น้ำมันจากสัตว์ และ น้ำมันมะพร้าว เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกาย จะไม่มีทางเป็นไข และ จะละลายกับน้ำได้ สารอาหารต่าง ๆ ยังซึมเข้าร่างกายได้
หากท่านลองนำน้ำมันพืช ใส่ภาชนะ แล้วไปตั้งทิ้งไว้กลางแดดสัก 10 นาที อุณภูมิจะประมาณ 30 กว่าองศา ใกล้เคียงร่างกายมนุษย์
ท่านเช็ดน้ำมันพืชออกได้ยากมาก เหมือนกับที่เขม่ากาวติดกะทะ เครื่องครัว เขม่ากาวเหนียวนั่นคือผลของน้ำมันพืชโดนความร้อน จำเป็นต้องใช้กรดมาล้างเท่านั้น
แต่หากท่านลองใช้น้ำมันหมู หรือ น้ำมันมะพร้าว ใส่ภาชนะแล้วตากแดด จะพบว่าล้างออกได้โดยง่าย
เมื่อน้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึมท่านทั้งหมด น้ำก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน เมื่อท่านทานน้ำ น้ำก็จะถูกพาไปที่ไต พาไปที่กระเพาะ ปัสสาวะโดยเร็ว เสมือนกับท่านทานน้ำ 100% น้ำไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าไปใช้ ในอวัยวะต่าง ๆ เลย กลับเป็นภาระให้ไตนำไปทิ้ง 100% นี่คือเหตุผลว่าทำไมท่านทานน้ำแล้วฉี่บ่อย เป็นโรคไต และโรคกระเพาะปัสสาวะตามมา
เมื่อน้ำซึมเข้าตัวไม่ได้ วิตามินที่มากับน้ำ เช่น วิตามินบี และ ซี ก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน ขาดวิตามินบี ทำให้สมองมีปัญหา เฉื่อยชา ความจำสั้น หากหญิงกำลังตั้งครรค์ มีโอกาสทำให้ลูกคลอดมาเป็นออทิสติค ขาดวิตามินซี ทำให้ภูมิคุ้นกันมีปัญหาเป็น ภูมิแพ้ หวัด ไวรัส
บันทึก #3 18 ก.พ. 2553 09:52:36
เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา ท่านก็จะติดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายมาก จบลงด้วยการเสียเงินซื้อยาฝรั่ง เงินทองไหลออกนอกประเทศ เพราะเพียงแค่ท่านหลงเชื่อว่าน้ำมันพืชสมัยใหม่ไม่เป็นอันตราย
น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ
- ฟอกสี (bleached) เพื่อให้สีดูสวย สดใส
- แต่งกลิ่น (deodorized) เพื่อให้ไม่มีกลิ่นหืน มีกลิ่นตามที่ต้องการ
- ใส่ไฮโดรเจน (hydrogenated) เพื่อทำให้ทอดอาหารอร่อย
- กระบวนการเหล่านี้ ทำให้สารเคมี เปลี่ยน เมื่อทานเข้าไปแล้ว เป็นพิษต่อร่างกายโดยตรง
เมื่อใดที่เห็นข้างกล่องผลิตภัณฑ์ว่า มีน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ขอให้รู้ว่านั่นคือยาพิษ โยนทิ้งขยะทันที …
…Trans fats do not exist in nature. They are laboratory-designed and have adverse health consequences. They interfere with the body’s production of beneficial fatty acids and promote heart disease. As trans fatty acids offer no benefits and only clear adverse metabolic consequences, when you see the words partially hydrogenated on the side of a box, consider it poisonous and throw it in the trash. (Ascherio, A., and W. C. Willett. 1997. Health effects of trans fatty acids. Am. J. Clin. Nutr. 66 (4 supp.): 1006S–10S.)
http://www.diseaseproof.com/archives/hurtful-food-dunkin-donuts-kills-trans-fat.html
ถึงเวลาล้างได้แล้ว
ท่านจำเป็นต้องล้างน้ำมันพืชในร่างกาย ที่สะสมมาตั้งแต่เกิดเสียที ด้วยสูตรตามธรรมชาติ ที่ท่านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มี 2 สูตร ที่ได้รับการทดสอบจากประชาชนทั่วไป มากกว่า ห้าหมื่นคน และได้ผล
สูตรที่เร็วที่สุดคือ น้ำชามะละกอ (ล้างอย่างเดียว แต่เร็ว)
วิธีทำ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเดือด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ)
สูตร นมสดโยเกิร์ตน้ำผึ้งมะนาว (ล้างและบำรุง ค่อย ๆ ล้าง)
บันทึก #4 18 ก.พ. 2553 09:53:14
นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และบีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
คุณสมบัติ : ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อยน้ำมันพืช, นมสดให้แคลเซียม
ขอให้ท่านมองดูคนป่วยรอบกายท่าน คนป่วยในสังคม แล้วถามตัวเองว่า
- คนเหล่านั้น ทานน้ำมันพืชแล้ว ภูมิคุ้มกันมีปัญหา ป่วย แต่ไปรักษา ปลายเหตุ ใช่หรือไม่ ?
- คนป่วยเหล่านี้มากพอหรือยัง เงินที่คนป่วยเหล่านี้ต้องจ่ายซื้อยา เงินนั้นอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ ?
- เศรษฐกิจพอเพียงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากคนไทยยังไม่ดูแลสุขภาพตนเอง ต้องพึ่งพายาฝรั่งไปเรื่อย ๆ ?
หมายเหตุ : การทานอะไรก็ตาม แม้จะเป็นสมุนไพรก็ดี ควนทานแต่พอเหมาะ เพราะจะเกิดการสะสมตกค้างในอวัยวะ ภายในต่างๆ เช่นกัน
==================================================================================
กับอันนี้ที่เราเคยเรียนผ่านมา
==================================================================================
เรื่อง ไขมันอิ่มตัวกับไม่อิ่มตัว
นักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งชนิดของไขมันได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ไขมันอิ่มตัว กับ ไขมันไม่อิ่มตัว
ไขมันอิ่มตัว
ไขมันอิ่มตัว ได้จากสัตว์ ไขมันชนิดนี้มักจะอยู่ในเนื้อสัตว์หรือหนังสัตว์ น้ำมันหมู ไข่แดง สัตว์ปีก ผลิตภัณฑ์จากนม และน้ำมันบางชนิดที่ได้จากพืชด้วย เช่น กรดไขมัน พาลมิติก ที่มีมากในน้ำมันปาล์ม และ น้ำมันมะพร้าว
ไขมันไม่อิ่มตัว
ไขมันไม่อิ่มตัวแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. ไขมันไม่อิ่มตัว เชิงซ้อน (หลายตำแหน่ง) ได้จากพืช
2. ไขมันไม่อิ่มตัว เชิงเดี่ยว (ตำแหน่งเดียว)ได้จากพืช และสัตว์น้ำ
ในไขมันไม่อิ่มตัวทั้ง 2 ประเภทนั้นเราพบว่า ไขมันที่ได้มักจะมีผสมกันทั้ง 2 ประเภท ในอัตราส่วนที่ ต่างกัน อาจจะมากบ้างน้อยบ้างในน้ำมันแต่ละชนิด เช่น ในน้ำมันถั่วเหลืองมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนมากกว่าเชิงเดี่ยว ขณะที่น้ำมันมะกอกและผลเปลือกแข็งและเมล็ดเช่นงา มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากกว่าเชิงซ้อนเป็นต้น
สรุปเรื่องไขมัน
1. ไขมันทรานส์ (เช่นเค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบ ครีมเทียม เนยเทียม) และไขมันอิ่มตัว (เช่นไขมันสัตว์อย่างหมู วัว น้ำมันปาล์ม) ทำให้เป็นโรคมากขึ้น ควรหลีกเลี่ยง (เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน หัวใจ ฯลฯ)
2. ไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยป้องกันโรคได้ (เช่นน้ำมันพืชตามธรรมชาติยกเว้นพืชสกุลปาลม์) จึงควรบริโภคแทนไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัว
3. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (เช่นน้ำมันมะกอก) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (เช่นน้ำมันถั่วเหลือง) มีอยู่ด้วยกันในอาหารธรรมชาติและดีทั้งคู่ ควรบริโภคควบกันไป ไม่มีข้อมูลสรุปได้เด็ดขาดว่าอะไรดีกว่าอะไร
4. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเช่นน้ำมันมะกอกทนความร้อนได้ดีกว่าไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน จึงเหมาะแก่การใช้ปรุงอาหารด้วยความร้อนเช่นการผัดหรือทอดมากกว่า
5. สำหรับคนเป็นเบาหวานที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งเพิ่ม HDL ได้ อาจจะเอื้อต่อการรักษาโรคเบาหวานได้ดีกว่าแหล่งพลังงานอื่นเช่นคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
่k-man
http://sukkhaphab.blogspot.com/2012/12/fats-type.html
==================================================================================
เราอยากรู้ว่านี่เป็นความรู้ใหม่ รึเปล่าคะ แล้วเราควรบริโภคน้ำมันหมูหรือน้ำมันพืชดี
เห็นแชร์กันในเฟซบุค เลยอยากเข้ามาถามว่าตกลงควรบริโภคน้ำมันหมูหรือน้ำมันพืชคะ
==================================================================================
น้ำมันพืช
อันตรายระดับชาติ !!!
คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเสียเงินซื้อยาฝรั่ง ต้นเหตุเพียงแค่น้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึม
อดีตเมื่อก่อน 30 ปีที่แล้ว คนไทยใช้น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำกับข้าว จู่ ๆ โฆษณาฝรั่ง มากล่าวโทษวิถีไทยเดิม ๆ อ้างว่าน้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำให้คลอเลสเตอรอลสูง เพราะจับตัวเป็นไข วิธีแก้คือ การใช้น้ำมันพืช
ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช เพราะความเชื่อที่ถูกฝรั่งฝังหัวมา แต่ปรากฏว่า อัตราการเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น … ไขมันในเลือดสูง, โรคหัวใจ, โรคไต, ภูมิแพ้…เป็นต้น
วงการสุขภาพของตะวันตก เพิ่งจะมาตาสว่างเมื่อค้นพบโทษของน้ำมัน พืช สหรัฐ ฯ ได้ออกมาตรการลด ละ เลิก ใช้ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (transfat oil) ในหลาย ๆ รัฐ
ท่านสามารถอ่านข่าวเหล่านี้ได้ เช่น
อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู่ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…”
บันทึก #1 18 ก.พ. 2553 09:51:24
http://gov.ca.gov/press-release/10291/
รัฐเท็กซัส…พระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชแปรรูปให้หมดจากร้านอาหาร ภายใน สิงหาคม 2553
http://dallas.bizjournals.com/dallas/stories/2009/05/04/daily72.html
KFC เริ่มเห็นโทษของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ออกเมนูไร้น้ำมันพืช Transfat
http://abcnews.go.com/Health/OnCall/story?id=2615217
McDonald ประกาศเริ่มใช้น้ำมันชนิดอื่น แทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเมื่อปี 2007 เริ่มต้นที่ 1,200 สาขา
http://www.msnbc.msn.com/id/16873869/
Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืช ผ่านกรรมวิธีตั้งแต่ปี 2550
https://www.dunkindonuts.com/aboutus/press/PressRelease.aspx?viewtype=current&id=100102
เว๊บไซท์ ต่อต้าน transfat
http://www.bantransfats.com/
โรคที่มากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี…ระบบ เผาผลาญอาหารเสื่อม, เบาหวาน, ธัยรอยด์, เสื่อสมรรถภาพทางเพศ, โรคหัวใจ, โรคอ้วน, โรคไต
http://transfatdisease.com/why.html
อาหารที่พบอยู่ทั่วไป มีน้ำมันพืชเสมอ… ก๋วยเตี๋ยว, ผัดไท, หอยทอด, ราดหน้า, ผัดผักทุกชนิด, ไก่ทอด, ปาท่องโก๋, ข้าวผัด ขนมอบ เบเกอรี่… สรุปรวมว่าอาหารทุกชนิดที่ใช้กะทะ (ผัด ทอด) ใช้น้ำมันพืชทั้งนั้น
น้ำมันพืชเกือบทุกชนิด ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ซึ่งราคาถูก แต่ขวางระบบดูดซึม น้ำซึมผ่านไม่ได้ หากใช้วัสดุอื่นตามที่โฆษณาจริง เหตุใดจึงยังขายได้ในราคาถูกเช่นนั้น
อย่าให้คำว่า ‘ไม่เป็นไข’ มาหลอกท่านได้อีก
บันทึก #2 18 ก.พ. 2553 09:51:54
น้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศา จะดูสวยงาม ไม่เป็นไข ผิดกับน้ำมันหมูที่เมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำ จะเป็นไข แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้าไป อยู่ในร่างกาย อุณหภูมิ 37 องศา จะกลายเป็นกาวเหนียว เกาะติดลำไส้ ตั้งแต่ลำคอลงมาถึงลำไส้ใหญ่ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยพืชผักที่เราทาน เข้าไป และ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำ ชาธรรมดา
แต่น้ำมันจากสัตว์ และ น้ำมันมะพร้าว เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกาย จะไม่มีทางเป็นไข และ จะละลายกับน้ำได้ สารอาหารต่าง ๆ ยังซึมเข้าร่างกายได้
หากท่านลองนำน้ำมันพืช ใส่ภาชนะ แล้วไปตั้งทิ้งไว้กลางแดดสัก 10 นาที อุณภูมิจะประมาณ 30 กว่าองศา ใกล้เคียงร่างกายมนุษย์
ท่านเช็ดน้ำมันพืชออกได้ยากมาก เหมือนกับที่เขม่ากาวติดกะทะ เครื่องครัว เขม่ากาวเหนียวนั่นคือผลของน้ำมันพืชโดนความร้อน จำเป็นต้องใช้กรดมาล้างเท่านั้น
แต่หากท่านลองใช้น้ำมันหมู หรือ น้ำมันมะพร้าว ใส่ภาชนะแล้วตากแดด จะพบว่าล้างออกได้โดยง่าย
เมื่อน้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึมท่านทั้งหมด น้ำก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน เมื่อท่านทานน้ำ น้ำก็จะถูกพาไปที่ไต พาไปที่กระเพาะ ปัสสาวะโดยเร็ว เสมือนกับท่านทานน้ำ 100% น้ำไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าไปใช้ ในอวัยวะต่าง ๆ เลย กลับเป็นภาระให้ไตนำไปทิ้ง 100% นี่คือเหตุผลว่าทำไมท่านทานน้ำแล้วฉี่บ่อย เป็นโรคไต และโรคกระเพาะปัสสาวะตามมา
เมื่อน้ำซึมเข้าตัวไม่ได้ วิตามินที่มากับน้ำ เช่น วิตามินบี และ ซี ก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน ขาดวิตามินบี ทำให้สมองมีปัญหา เฉื่อยชา ความจำสั้น หากหญิงกำลังตั้งครรค์ มีโอกาสทำให้ลูกคลอดมาเป็นออทิสติค ขาดวิตามินซี ทำให้ภูมิคุ้นกันมีปัญหาเป็น ภูมิแพ้ หวัด ไวรัส
บันทึก #3 18 ก.พ. 2553 09:52:36
เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา ท่านก็จะติดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายมาก จบลงด้วยการเสียเงินซื้อยาฝรั่ง เงินทองไหลออกนอกประเทศ เพราะเพียงแค่ท่านหลงเชื่อว่าน้ำมันพืชสมัยใหม่ไม่เป็นอันตราย
น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ
- ฟอกสี (bleached) เพื่อให้สีดูสวย สดใส
- แต่งกลิ่น (deodorized) เพื่อให้ไม่มีกลิ่นหืน มีกลิ่นตามที่ต้องการ
- ใส่ไฮโดรเจน (hydrogenated) เพื่อทำให้ทอดอาหารอร่อย
- กระบวนการเหล่านี้ ทำให้สารเคมี เปลี่ยน เมื่อทานเข้าไปแล้ว เป็นพิษต่อร่างกายโดยตรง
เมื่อใดที่เห็นข้างกล่องผลิตภัณฑ์ว่า มีน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ขอให้รู้ว่านั่นคือยาพิษ โยนทิ้งขยะทันที …
…Trans fats do not exist in nature. They are laboratory-designed and have adverse health consequences. They interfere with the body’s production of beneficial fatty acids and promote heart disease. As trans fatty acids offer no benefits and only clear adverse metabolic consequences, when you see the words partially hydrogenated on the side of a box, consider it poisonous and throw it in the trash. (Ascherio, A., and W. C. Willett. 1997. Health effects of trans fatty acids. Am. J. Clin. Nutr. 66 (4 supp.): 1006S–10S.)
http://www.diseaseproof.com/archives/hurtful-food-dunkin-donuts-kills-trans-fat.html
ถึงเวลาล้างได้แล้ว
ท่านจำเป็นต้องล้างน้ำมันพืชในร่างกาย ที่สะสมมาตั้งแต่เกิดเสียที ด้วยสูตรตามธรรมชาติ ที่ท่านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มี 2 สูตร ที่ได้รับการทดสอบจากประชาชนทั่วไป มากกว่า ห้าหมื่นคน และได้ผล
สูตรที่เร็วที่สุดคือ น้ำชามะละกอ (ล้างอย่างเดียว แต่เร็ว)
วิธีทำ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเดือด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ)
สูตร นมสดโยเกิร์ตน้ำผึ้งมะนาว (ล้างและบำรุง ค่อย ๆ ล้าง)
บันทึก #4 18 ก.พ. 2553 09:53:14
นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และบีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
คุณสมบัติ : ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อยน้ำมันพืช, นมสดให้แคลเซียม
ขอให้ท่านมองดูคนป่วยรอบกายท่าน คนป่วยในสังคม แล้วถามตัวเองว่า
- คนเหล่านั้น ทานน้ำมันพืชแล้ว ภูมิคุ้มกันมีปัญหา ป่วย แต่ไปรักษา ปลายเหตุ ใช่หรือไม่ ?
- คนป่วยเหล่านี้มากพอหรือยัง เงินที่คนป่วยเหล่านี้ต้องจ่ายซื้อยา เงินนั้นอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ ?
- เศรษฐกิจพอเพียงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากคนไทยยังไม่ดูแลสุขภาพตนเอง ต้องพึ่งพายาฝรั่งไปเรื่อย ๆ ?
หมายเหตุ : การทานอะไรก็ตาม แม้จะเป็นสมุนไพรก็ดี ควนทานแต่พอเหมาะ เพราะจะเกิดการสะสมตกค้างในอวัยวะ ภายในต่างๆ เช่นกัน
==================================================================================
กับอันนี้ที่เราเคยเรียนผ่านมา
==================================================================================
เรื่อง ไขมันอิ่มตัวกับไม่อิ่มตัว
นักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งชนิดของไขมันได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ไขมันอิ่มตัว กับ ไขมันไม่อิ่มตัว
ไขมันอิ่มตัว
ไขมันอิ่มตัว ได้จากสัตว์ ไขมันชนิดนี้มักจะอยู่ในเนื้อสัตว์หรือหนังสัตว์ น้ำมันหมู ไข่แดง สัตว์ปีก ผลิตภัณฑ์จากนม และน้ำมันบางชนิดที่ได้จากพืชด้วย เช่น กรดไขมัน พาลมิติก ที่มีมากในน้ำมันปาล์ม และ น้ำมันมะพร้าว
ไขมันไม่อิ่มตัว
ไขมันไม่อิ่มตัวแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. ไขมันไม่อิ่มตัว เชิงซ้อน (หลายตำแหน่ง) ได้จากพืช
2. ไขมันไม่อิ่มตัว เชิงเดี่ยว (ตำแหน่งเดียว)ได้จากพืช และสัตว์น้ำ
ในไขมันไม่อิ่มตัวทั้ง 2 ประเภทนั้นเราพบว่า ไขมันที่ได้มักจะมีผสมกันทั้ง 2 ประเภท ในอัตราส่วนที่ ต่างกัน อาจจะมากบ้างน้อยบ้างในน้ำมันแต่ละชนิด เช่น ในน้ำมันถั่วเหลืองมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนมากกว่าเชิงเดี่ยว ขณะที่น้ำมันมะกอกและผลเปลือกแข็งและเมล็ดเช่นงา มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากกว่าเชิงซ้อนเป็นต้น
สรุปเรื่องไขมัน
1. ไขมันทรานส์ (เช่นเค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบ ครีมเทียม เนยเทียม) และไขมันอิ่มตัว (เช่นไขมันสัตว์อย่างหมู วัว น้ำมันปาล์ม) ทำให้เป็นโรคมากขึ้น ควรหลีกเลี่ยง (เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน หัวใจ ฯลฯ)
2. ไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยป้องกันโรคได้ (เช่นน้ำมันพืชตามธรรมชาติยกเว้นพืชสกุลปาลม์) จึงควรบริโภคแทนไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัว
3. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (เช่นน้ำมันมะกอก) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (เช่นน้ำมันถั่วเหลือง) มีอยู่ด้วยกันในอาหารธรรมชาติและดีทั้งคู่ ควรบริโภคควบกันไป ไม่มีข้อมูลสรุปได้เด็ดขาดว่าอะไรดีกว่าอะไร
4. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเช่นน้ำมันมะกอกทนความร้อนได้ดีกว่าไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน จึงเหมาะแก่การใช้ปรุงอาหารด้วยความร้อนเช่นการผัดหรือทอดมากกว่า
5. สำหรับคนเป็นเบาหวานที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งเพิ่ม HDL ได้ อาจจะเอื้อต่อการรักษาโรคเบาหวานได้ดีกว่าแหล่งพลังงานอื่นเช่นคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
่k-man
http://sukkhaphab.blogspot.com/2012/12/fats-type.html
==================================================================================
เราอยากรู้ว่านี่เป็นความรู้ใหม่ รึเปล่าคะ แล้วเราควรบริโภคน้ำมันหมูหรือน้ำมันพืชดี