สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
(สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี)
ประวัติและการสร้างสมเด็จองค์ปฐม (พระพุทธเจ้าพระองค์แรก) จากหนังสือของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
สมเด็จองค์ปฐม ท่านเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี
เนื่องจากพระพุทธ เจ้า ได้ตรัสรู้แล้วมากมายนับได้แสนองค์ ฉะนั้นพระนามของพระองค์จึงซ้ำกัน
โดยเฉพาะพระนามสมเด็จพระพุทธสิกขี มีด้วยกัน 5 พระองค์ จึงได้ขนานนามของสมเด็จองค์ปฐมว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1
จึงนับได้ว่า พระพุทธองค์ ทรงเป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง
สมัยที่พระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ซึ่งขณะนั้น คนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี
พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี หลังจากผนวชได้ 2 หมื่นปี จึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ
ตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงโปรดเวไนยสัตว์ ประมาณ 2 หมื่นปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพาน
พระพุทธองค์ ทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัปเศษ ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ
ด้วยพระองค์เองทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก
จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุ พระโพธิญาณ
ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมี จึงใช้ ถึง 40 อสงไขยกัปเศษ
การพบสมเด็จองค์ปฐม ครั้งแรกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อประมาณ พ.ศ. 2511
คืนหนึ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำ ก็ได้ทำสมาธิ ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน ปรากฏขึ้น
คือเห็นพระพุทธเจ้าในปางพระนิพพานทรงยืน สองแถวยาวเหยียดไป
ข้างหน้าแล้ว ก็พนมมือ พระเดชพระคุณหลวง พ่อมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็น อุปาทาน
เพราะว่า พระพุทธเจ้า ไม่เคยก้มศรีษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือน เล็กๆ หลังคา ตํ่าๆ หาก พระพุทธองค์เสด็จเข้าไป หลังคาก็จะสูงขึ้นเอง
แต่เวลานี้เห็น พระพุทธเจ้ายืนพนมมือ เมื่อนึกเพียงนี้ ก็เห็นภาพหลวงปู่ปาน ปรากฏขึ้นข้างหน้า
หลวงปู่ปานท่านบอกว่า
" คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา "
อีกประมาณ 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าอีกองค์ รูปร่างท่านใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูป ของปางพระนิพพาน
เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
ก้มศรีษะ แสดงความเคารพ พอพระองค์ เดินไปถึง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทรงตรัสว่า
" ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า... ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน "
พระพุทธองค์ ก็เลยนั่งบนหัว ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วทรงตรัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า
"นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนพระกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมก็ดี บอกฉันก่อน ฉันจะให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหนให้ว่าตามนั้น"
เป็นอันว่าเมื่อใดก็ตาม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์ก็ดี สอนพระกรรมฐานก็ดี สอนธรรมก็ดี
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่เคยได้พูดตามใจคิดเลย เป็นเพราะพระพุทธองค์ ท่านดลใจ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูด และแนะนำธรรม
ซึ่งบางครั้ง อาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของทุกคน เพราะพระพุทธองค์ ท่านอาจจี้จุด เฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่บางคน อาจจะไม่ถูกใจก็ได้
นี่เป็นเรื่องธรรมดา พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คิดว่า เมื่อพระพุทธองค์ท่านมีบุญคุณอย่างนี้ จึงคิดที่จะหล่อรูปของท่าน
ต่อมาเมื่อ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เจริญพระกรรมฐานแล้ว จึงได้อาราธนาสมเด็จองค์ปฐม ขอพบพระพุทธองค์ท่าน ก็ปรากฏให้เห็น
ทรวดทรงสวยงามมาก หน้าของท่านอิ่ม เหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ทรงยิ้มน้อยๆ ริมฝีปาก ไม่บุ๋ม ไม่เหมือน พระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกัน
จะพบว่าช่างเขาปั้นแก้มตรงปากจะบุ๋มลงไป
แล้วสมเด็จองค์ปฐม ก็แสดงรูปร่าง สมัยเป็นมนุษย์ และก็เปลี่ยนมาเป็น ปางพระนิพพาน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์ จะให้ปั้นแบบไหน จะให้ ปั้นปางพระนิพพานหรือมนุษย์
พระพุทธองค์บอกว่า ให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน พระพุทธองค์ทรงแสดงภาพให้ดู เป็นเหมือนกับ พระพุทธรูป และมีเรือนแก้ว แบบพระพุทธชินราช
รูปที่ทรงให้ปั้น ไม่เหมือนกับ รูปจริงของท่าน แต่พระองค์ท่านต้องการ ให้ปั้น แบบที่ท่านต้องการ
พระพุทธองค์ได้มาแสดงภาพ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อดูถึง 3 วัน ติดๆ กัน วันละประมาณ 1 ชั่วโมง
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ได้ดูอย่างละเอียด แต่ก็คิดในใจว่า ช่างเขาปั้น แต่เขาไม่เห็นภาพ เขาจะปั้นได้ไม่เหมือน
จึงได้ขอบารมีพระองค์ท่าน เวลาช่างปั้น ขอได้โปรดดลใจ ให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ พระองค์ท่านก็ยอมรับ
คัดย่อจากหนังสือ มรดกของพ่อ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทราราม ( วัดท่าซุง ) จ.อุทัยธานี
(สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี)
ประวัติและการสร้างสมเด็จองค์ปฐม (พระพุทธเจ้าพระองค์แรก) จากหนังสือของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
สมเด็จองค์ปฐม ท่านเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี
เนื่องจากพระพุทธ เจ้า ได้ตรัสรู้แล้วมากมายนับได้แสนองค์ ฉะนั้นพระนามของพระองค์จึงซ้ำกัน
โดยเฉพาะพระนามสมเด็จพระพุทธสิกขี มีด้วยกัน 5 พระองค์ จึงได้ขนานนามของสมเด็จองค์ปฐมว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1
จึงนับได้ว่า พระพุทธองค์ ทรงเป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง
สมัยที่พระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ซึ่งขณะนั้น คนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี
พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี หลังจากผนวชได้ 2 หมื่นปี จึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ
ตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงโปรดเวไนยสัตว์ ประมาณ 2 หมื่นปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพาน
พระพุทธองค์ ทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัปเศษ ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ
ด้วยพระองค์เองทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก
จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุ พระโพธิญาณ
ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมี จึงใช้ ถึง 40 อสงไขยกัปเศษ
การพบสมเด็จองค์ปฐม ครั้งแรกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อประมาณ พ.ศ. 2511
คืนหนึ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำ ก็ได้ทำสมาธิ ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน ปรากฏขึ้น
คือเห็นพระพุทธเจ้าในปางพระนิพพานทรงยืน สองแถวยาวเหยียดไป
ข้างหน้าแล้ว ก็พนมมือ พระเดชพระคุณหลวง พ่อมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็น อุปาทาน
เพราะว่า พระพุทธเจ้า ไม่เคยก้มศรีษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือน เล็กๆ หลังคา ตํ่าๆ หาก พระพุทธองค์เสด็จเข้าไป หลังคาก็จะสูงขึ้นเอง
แต่เวลานี้เห็น พระพุทธเจ้ายืนพนมมือ เมื่อนึกเพียงนี้ ก็เห็นภาพหลวงปู่ปาน ปรากฏขึ้นข้างหน้า
หลวงปู่ปานท่านบอกว่า
" คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา "
อีกประมาณ 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าอีกองค์ รูปร่างท่านใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูป ของปางพระนิพพาน
เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
ก้มศรีษะ แสดงความเคารพ พอพระองค์ เดินไปถึง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทรงตรัสว่า
" ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า... ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน "
พระพุทธองค์ ก็เลยนั่งบนหัว ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วทรงตรัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า
"นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนพระกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมก็ดี บอกฉันก่อน ฉันจะให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหนให้ว่าตามนั้น"
เป็นอันว่าเมื่อใดก็ตาม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์ก็ดี สอนพระกรรมฐานก็ดี สอนธรรมก็ดี
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่เคยได้พูดตามใจคิดเลย เป็นเพราะพระพุทธองค์ ท่านดลใจ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูด และแนะนำธรรม
ซึ่งบางครั้ง อาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของทุกคน เพราะพระพุทธองค์ ท่านอาจจี้จุด เฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่บางคน อาจจะไม่ถูกใจก็ได้
นี่เป็นเรื่องธรรมดา พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คิดว่า เมื่อพระพุทธองค์ท่านมีบุญคุณอย่างนี้ จึงคิดที่จะหล่อรูปของท่าน
ต่อมาเมื่อ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เจริญพระกรรมฐานแล้ว จึงได้อาราธนาสมเด็จองค์ปฐม ขอพบพระพุทธองค์ท่าน ก็ปรากฏให้เห็น
ทรวดทรงสวยงามมาก หน้าของท่านอิ่ม เหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ทรงยิ้มน้อยๆ ริมฝีปาก ไม่บุ๋ม ไม่เหมือน พระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกัน
จะพบว่าช่างเขาปั้นแก้มตรงปากจะบุ๋มลงไป
แล้วสมเด็จองค์ปฐม ก็แสดงรูปร่าง สมัยเป็นมนุษย์ และก็เปลี่ยนมาเป็น ปางพระนิพพาน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์ จะให้ปั้นแบบไหน จะให้ ปั้นปางพระนิพพานหรือมนุษย์
พระพุทธองค์บอกว่า ให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน พระพุทธองค์ทรงแสดงภาพให้ดู เป็นเหมือนกับ พระพุทธรูป และมีเรือนแก้ว แบบพระพุทธชินราช
รูปที่ทรงให้ปั้น ไม่เหมือนกับ รูปจริงของท่าน แต่พระองค์ท่านต้องการ ให้ปั้น แบบที่ท่านต้องการ
พระพุทธองค์ได้มาแสดงภาพ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อดูถึง 3 วัน ติดๆ กัน วันละประมาณ 1 ชั่วโมง
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ได้ดูอย่างละเอียด แต่ก็คิดในใจว่า ช่างเขาปั้น แต่เขาไม่เห็นภาพ เขาจะปั้นได้ไม่เหมือน
จึงได้ขอบารมีพระองค์ท่าน เวลาช่างปั้น ขอได้โปรดดลใจ ให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ พระองค์ท่านก็ยอมรับ
คัดย่อจากหนังสือ มรดกของพ่อ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทราราม ( วัดท่าซุง ) จ.อุทัยธานี
ความคิดเห็นที่ 15
ขนาดเคยยกตัวอย่างคำพูดของพระอริยะสงห์ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ที่เคยพูดยกย่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เอาไว้มาให้อ่าน ก็ยังไม่หายโง่กันอีก
พวกโง่เง่าเด็กติดตำรา วันๆคัดลอกแต่ตำรามาแปะ (แค่ปฐมฌาน เคยได้หรือยัง? คิดจะมาวิจารณ์พระอรหันต์?) โง่แท้ๆ
อะไรที่ไม่มีในพระไตรปิฏก อะไรที่ตัวเองไม่เคยรู้จัก อะไรที่ตัวเองรู้ไม่ถึง ก็ตีว่ามั่วไว้ก่อน ทั้งๆที่ไม่เคยศึกษาคำสอนของท่าน
คุณไม่คิดบ้างหรอว่า มีพระอริยะสงฆ์ที่สามารถติดต่อพระพุทธเจ้าได้ และได้ความรู้เพิ่มมานอกเหนือจากที่มีเขียนไว้ในพระไตรปิฏก?
การที่จะดูว่าใครพูดมั่ว พูดโม้ อย่างไร คุณจะต้องดูว่าคำสอนของคนๆนั้น เมื่อเอาไปเทียบเคียงกับพระไตรปิฏกแล้ว ธรรมะมันขัดแย้งกันหรือเปล่า?
ถ้ามันสอดคล้อง และไม่ขัดแย้งกัน นั่นแสดงว่าพระองค์นั้นสอนถูก แถมยังมีเรื่องพิเศษที่เกินมา นั่นแสดงว่าคุณกำลังได้ของดีเพิ่มมา
พระไตรปิฏก เป็นของตายตัวหนังสือไม่เพิ่มขึ้น แต่ความรู้จากพระอริยะสงฆ์ เป็นของเป็น เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ
แทนที่จะคิดว่าตัวเองโชคดีได้เจอของดี ได้เจอความรู้ที่หาอ่านที่ไหนไม่ได้ ดันคิดว่าเป็นของปลอมซะงั้น ไม่โง่จะเรียกว่าอะไร
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
และพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตรัสรู้ในสิ่งเดียวกัน นั่นคือ "อริยสัจ" หรือการเห็นทุกข์จากการมีร่างกาย หรือว่า ขันธ์5
เพราะฉนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ จะมีอรรถอันเดียวกัน ก็คือการตัดละร่างกาย หรือขันธ์5
หรือจะพูดได้ง่ายๆว่า ถ้าเอาตำราของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ มารวมกัน จะผสานเป็นเนื้อเดียวกัน อรรถเดียวกัน อย่างไม่มีข้อใดแย้งกัน
เพราะฉนั้นคุณไม่ต้องกลัวว่า อาการสองจิตสองใจจะปรากฏ เพราะมันมีอรรถอันเดียวกันทั้งหมด (คือการตัดละร่างกาย)
เพราะว่า "ร่างกายคุณมีร่างเดียว" ไม่ว่าคุณจะฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ากี่องค์พร้อมกันก็ตาม ท่านก็สอนให้คุณตัดละในสิ่งเดียวกัน ก๋็คือขันธ์5
-เพราะฉนั้นไอ้อาการสองจิตสองใจปรากฏ นั่นมันสำหรับคนที่รู้ไม่ถึง
-ความตั้งมั่นหยั่งลงใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สับสน นั่นมันสำหรับคนที่รู้ไม่ถึง
-และโอกาสที่จะบรรลุธรรมน้อยลง นั่นมันสำหรับคนที่รู้ไม่ถึง
หรือจะเปรียบเทียบง่ายๆเลยก็คือ ถ้าคุณเริ่มต้นอ่านหนังสือธรรมะของหลวงปู่มั่นก่อนอันดับแรก ต่อมาศึกษาหนังสือธรรมะของหลวงปู่ชา
ถัดมาศึกษาหนังสือธรรมะของหลวงปู่สด ถัดมาศึกษาหนังสือธรรมะของหลวงปู่ปาน ถัดมาศึกษาหนังสือธรรมะของหลวงพ่อฤาษี
ถัดมาศึกษาหนังสือธรรมะของสมเด็จพระสังฆราช ถัดมาศึกษาพระไตรปิฏก
ผมถามว่า คุณศึกษามาหลายหลวงพ่อ ทำไมอารมณ์ไม่ขัดกัน?
นั่นก๋็เพราะว่าคุณศึกษาหนังสือธรรมะ ที่มีอรรถอันเดียวกันน่ะเอง
ถ้าผมเอาหนังสือคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม มาวางให้คุณอ่าน โดยที่ไม่มีอะไรเขียนบอกไว้ว่าเป็นหนังสือคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
เชื่อมั้ยว่า คุณอ่านจบเล่มแล้ว คุณยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า กำลังอ่านหนังสือคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นอยู่
เพียงแต่คุณจะรู้สึกว่า หนังสือเล่มนี้เขียนสอนธรรมะได้กระชับรัดกุมเหลือเกิน หาอ่านที่ไหนไม่ได้เลย สุดยอดมาก
เพราะสมเด็จองค์ปฐม ท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก ตรัสรู้โดยไม่มีครูเลย และท่านก็เป็นต้นทางของความรู้ของพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆมา
(พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้องค์ต่อๆมาในภายหลัง สามารถระลึกย้อนอดีตชาติไปถึงยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์แรกๆได้ จึงรู้ว่ามีการสอนแบบไหน)
ของดี-ของวิเศษ อยู่ตรงหน้าไม่รู้ตัว กลับคิดว่าเป็นของปลอมซะงั้น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
และควรจะต้องระมัดระวังการปรามาสพระรัตนตรัย
การติดกริยาปากไว วิจารณ์พระสงฆ์ ทั้งๆที่ตัวเองไม่รู้จัก รู้จักแต่ชื่อ ผมถือว่าคนๆนั้นโง่มาก
เพราะเรื่องที่ท่านสอนจะเป็นอย่างไร ยังไม่ทันรู้ ยังไม่ทันศึกษา ก็เหมาสรุปว่าไม่ดีเสียแล้ว จะรีบพูดให้ตัวเองเสี่ยงนรกไปทำไมกัน?
พระอริยะเจ้ามีหลายระดับ ความรู้ในการเข้าถึงธรรมในแต่ละระดับไม่เท่ากัน
และแม้แต่ระดับสูงสุด พระอรหันต์ก็ยังมีหลายหมวด มีความรู้พิเศษเพิ่มไม่เท่ากันในแต่ละหมวด
และพระสงฆ์ผู้ที่แต่เดิมท่านปรารถนาพุทธภูมิ เป็นพระโพธิสัตว์บารมีปลาย สะสมบารมีมายาวนานถึง 16 อสงไขยแล้ว (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
มีบารมีใกล้เต็มจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะยิ่งมีความพิเศษมาก รู้มาก เก่งมาก รู้ครอบคลุมมาก
(เวลาคุณอ่านเรื่องของพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า แล้วเห็นว่ามีความเหลือเชื่อเกินจินตนาการมาก พอคุณอ่านเรื่องของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่มีบารมีใกล้จะเต็มเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะเห็นว่ามีเรื่องเหลือเชื่อเกินจินตนาการมากเหมือนกัน เพราะฉนั้นอย่าได้แปลกใจ)
เพราะฉนั้นถ้าคุณเห็นพระสงฆ์รูปไหน สอนเยอะ สอนเรื่องที่คุณหาอ่านที่ไหนไม่ได้ คุณควรจะต้องพิจารณาระมัดระวังการวิจารณ์ให้มาก
เพราะการที่ท่านสอนเยอะ และพูดสอนได้หลากหลายเรื่องราวมาก อาจจะเป็นเพราะว่าท่านพิเศษมาก (คุณยิ่งต้องระวังมาก)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อย่างเช่นแต่ก่อนมาเรามักจะไม่เคยได้ยินหรือไม่เคยได้อ่านบทสนทนาระหว่างพระสงฆ์ ที่พูดสนทนา กับ พระพุทธเจ้าได้มาก่อนในยุคปัจจุบัน
ถ้ามีคนบอกว่า มีพระสงฆ์รูปนึง ที่เล่าบันทึกเรื่องราวการสนทนากับพระพุทธเจ้า เอาไว้ในหนังสือ-ในเทป ให้เราไปลองหาอ่านดูนะ
-ถ้าเป็นคนที่อยากจะได้แต่ความจริง และถือดีน้อย คนๆนั้นจะรีบแจ้นไปหาหนังสือเล่มนั้นมาอ่าน (เพราะว่าหาอ่านจากที่ไหนไม่ได้)
ถ้าอ่านแล้ว พิจารณาเห็นว่าดีจริงถูกต้องจริง ก็ถือว่าตัวเองโชคดีมหาศาล ได้เจอข้อมูลที่เป็นของดี-ของวิเศษหายาก ที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้
-แต่ถ้าคนนั้นมีความโง่ และถือดีมาก ก็อาจจะรีบสรุปไปเลยทันทีว่าโม้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้อ่าน ยังไม่ได้ศึกษา ยังไม่ได้รู้จักดีพอ
-แต่ถ้าคนไหนมีจิตใจเป็นกลางๆ เมื่อยังไม่รู้จักดีพอ ก็อาจจะอยู่เฉยๆไว้ก่อน เสมอตัว ไว้มีโอกาสได้ศึกษาแล้วค่อยออกความเห็น
เพราะฉนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนแบบไหน?
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขนาดเคยยกตัวอย่างคำพูดของพระอริยะสงห์ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ที่เคยพูดยกย่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เอาไว้มาให้อ่าน ก็ยังไม่หายโง่กันอีก
พวกโง่เง่าเด็กติดตำรา วันๆคัดลอกแต่ตำรามาแปะ (แค่ปฐมฌาน เคยได้หรือยัง? คิดจะมาวิจารณ์พระอรหันต์?) โง่แท้ๆ
อะไรที่ไม่มีในพระไตรปิฏก อะไรที่ตัวเองไม่เคยรู้จัก อะไรที่ตัวเองรู้ไม่ถึง ก็ตีว่ามั่วไว้ก่อน ทั้งๆที่ไม่เคยศึกษาคำสอนของท่าน
คุณไม่คิดบ้างหรอว่า มีพระอริยะสงฆ์ที่สามารถติดต่อพระพุทธเจ้าได้ และได้ความรู้เพิ่มมานอกเหนือจากที่มีเขียนไว้ในพระไตรปิฏก?
การที่จะดูว่าใครพูดมั่ว พูดโม้ อย่างไร คุณจะต้องดูว่าคำสอนของคนๆนั้น เมื่อเอาไปเทียบเคียงกับพระไตรปิฏกแล้ว ธรรมะมันขัดแย้งกันหรือเปล่า?
ถ้ามันสอดคล้อง และไม่ขัดแย้งกัน นั่นแสดงว่าพระองค์นั้นสอนถูก แถมยังมีเรื่องพิเศษที่เกินมา นั่นแสดงว่าคุณกำลังได้ของดีเพิ่มมา
พระไตรปิฏก เป็นของตายตัวหนังสือไม่เพิ่มขึ้น แต่ความรู้จากพระอริยะสงฆ์ เป็นของเป็น เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ
แทนที่จะคิดว่าตัวเองโชคดีได้เจอของดี ได้เจอความรู้ที่หาอ่านที่ไหนไม่ได้ ดันคิดว่าเป็นของปลอมซะงั้น ไม่โง่จะเรียกว่าอะไร
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
และพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตรัสรู้ในสิ่งเดียวกัน นั่นคือ "อริยสัจ" หรือการเห็นทุกข์จากการมีร่างกาย หรือว่า ขันธ์5
เพราะฉนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ จะมีอรรถอันเดียวกัน ก็คือการตัดละร่างกาย หรือขันธ์5
หรือจะพูดได้ง่ายๆว่า ถ้าเอาตำราของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ มารวมกัน จะผสานเป็นเนื้อเดียวกัน อรรถเดียวกัน อย่างไม่มีข้อใดแย้งกัน
เพราะฉนั้นคุณไม่ต้องกลัวว่า อาการสองจิตสองใจจะปรากฏ เพราะมันมีอรรถอันเดียวกันทั้งหมด (คือการตัดละร่างกาย)
เพราะว่า "ร่างกายคุณมีร่างเดียว" ไม่ว่าคุณจะฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ากี่องค์พร้อมกันก็ตาม ท่านก็สอนให้คุณตัดละในสิ่งเดียวกัน ก๋็คือขันธ์5
-เพราะฉนั้นไอ้อาการสองจิตสองใจปรากฏ นั่นมันสำหรับคนที่รู้ไม่ถึง
-ความตั้งมั่นหยั่งลงใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สับสน นั่นมันสำหรับคนที่รู้ไม่ถึง
-และโอกาสที่จะบรรลุธรรมน้อยลง นั่นมันสำหรับคนที่รู้ไม่ถึง
หรือจะเปรียบเทียบง่ายๆเลยก็คือ ถ้าคุณเริ่มต้นอ่านหนังสือธรรมะของหลวงปู่มั่นก่อนอันดับแรก ต่อมาศึกษาหนังสือธรรมะของหลวงปู่ชา
ถัดมาศึกษาหนังสือธรรมะของหลวงปู่สด ถัดมาศึกษาหนังสือธรรมะของหลวงปู่ปาน ถัดมาศึกษาหนังสือธรรมะของหลวงพ่อฤาษี
ถัดมาศึกษาหนังสือธรรมะของสมเด็จพระสังฆราช ถัดมาศึกษาพระไตรปิฏก
ผมถามว่า คุณศึกษามาหลายหลวงพ่อ ทำไมอารมณ์ไม่ขัดกัน?
นั่นก๋็เพราะว่าคุณศึกษาหนังสือธรรมะ ที่มีอรรถอันเดียวกันน่ะเอง
ถ้าผมเอาหนังสือคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม มาวางให้คุณอ่าน โดยที่ไม่มีอะไรเขียนบอกไว้ว่าเป็นหนังสือคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
เชื่อมั้ยว่า คุณอ่านจบเล่มแล้ว คุณยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า กำลังอ่านหนังสือคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นอยู่
เพียงแต่คุณจะรู้สึกว่า หนังสือเล่มนี้เขียนสอนธรรมะได้กระชับรัดกุมเหลือเกิน หาอ่านที่ไหนไม่ได้เลย สุดยอดมาก
เพราะสมเด็จองค์ปฐม ท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก ตรัสรู้โดยไม่มีครูเลย และท่านก็เป็นต้นทางของความรู้ของพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆมา
(พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้องค์ต่อๆมาในภายหลัง สามารถระลึกย้อนอดีตชาติไปถึงยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์แรกๆได้ จึงรู้ว่ามีการสอนแบบไหน)
ของดี-ของวิเศษ อยู่ตรงหน้าไม่รู้ตัว กลับคิดว่าเป็นของปลอมซะงั้น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
และควรจะต้องระมัดระวังการปรามาสพระรัตนตรัย
การติดกริยาปากไว วิจารณ์พระสงฆ์ ทั้งๆที่ตัวเองไม่รู้จัก รู้จักแต่ชื่อ ผมถือว่าคนๆนั้นโง่มาก
เพราะเรื่องที่ท่านสอนจะเป็นอย่างไร ยังไม่ทันรู้ ยังไม่ทันศึกษา ก็เหมาสรุปว่าไม่ดีเสียแล้ว จะรีบพูดให้ตัวเองเสี่ยงนรกไปทำไมกัน?
พระอริยะเจ้ามีหลายระดับ ความรู้ในการเข้าถึงธรรมในแต่ละระดับไม่เท่ากัน
และแม้แต่ระดับสูงสุด พระอรหันต์ก็ยังมีหลายหมวด มีความรู้พิเศษเพิ่มไม่เท่ากันในแต่ละหมวด
และพระสงฆ์ผู้ที่แต่เดิมท่านปรารถนาพุทธภูมิ เป็นพระโพธิสัตว์บารมีปลาย สะสมบารมีมายาวนานถึง 16 อสงไขยแล้ว (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
มีบารมีใกล้เต็มจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะยิ่งมีความพิเศษมาก รู้มาก เก่งมาก รู้ครอบคลุมมาก
(เวลาคุณอ่านเรื่องของพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า แล้วเห็นว่ามีความเหลือเชื่อเกินจินตนาการมาก พอคุณอ่านเรื่องของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่มีบารมีใกล้จะเต็มเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะเห็นว่ามีเรื่องเหลือเชื่อเกินจินตนาการมากเหมือนกัน เพราะฉนั้นอย่าได้แปลกใจ)
เพราะฉนั้นถ้าคุณเห็นพระสงฆ์รูปไหน สอนเยอะ สอนเรื่องที่คุณหาอ่านที่ไหนไม่ได้ คุณควรจะต้องพิจารณาระมัดระวังการวิจารณ์ให้มาก
เพราะการที่ท่านสอนเยอะ และพูดสอนได้หลากหลายเรื่องราวมาก อาจจะเป็นเพราะว่าท่านพิเศษมาก (คุณยิ่งต้องระวังมาก)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อย่างเช่นแต่ก่อนมาเรามักจะไม่เคยได้ยินหรือไม่เคยได้อ่านบทสนทนาระหว่างพระสงฆ์ ที่พูดสนทนา กับ พระพุทธเจ้าได้มาก่อนในยุคปัจจุบัน
ถ้ามีคนบอกว่า มีพระสงฆ์รูปนึง ที่เล่าบันทึกเรื่องราวการสนทนากับพระพุทธเจ้า เอาไว้ในหนังสือ-ในเทป ให้เราไปลองหาอ่านดูนะ
-ถ้าเป็นคนที่อยากจะได้แต่ความจริง และถือดีน้อย คนๆนั้นจะรีบแจ้นไปหาหนังสือเล่มนั้นมาอ่าน (เพราะว่าหาอ่านจากที่ไหนไม่ได้)
ถ้าอ่านแล้ว พิจารณาเห็นว่าดีจริงถูกต้องจริง ก็ถือว่าตัวเองโชคดีมหาศาล ได้เจอข้อมูลที่เป็นของดี-ของวิเศษหายาก ที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้
-แต่ถ้าคนนั้นมีความโง่ และถือดีมาก ก็อาจจะรีบสรุปไปเลยทันทีว่าโม้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้อ่าน ยังไม่ได้ศึกษา ยังไม่ได้รู้จักดีพอ
-แต่ถ้าคนไหนมีจิตใจเป็นกลางๆ เมื่อยังไม่รู้จักดีพอ ก็อาจจะอยู่เฉยๆไว้ก่อน เสมอตัว ไว้มีโอกาสได้ศึกษาแล้วค่อยออกความเห็น
เพราะฉนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนแบบไหน?
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 14
ผมจะยกเรื่องหลวงปู่ทั้งหลายพูดถึงหลวงพ่อฤาษีลิงดำ มาให้คุณอ่าน ถ้าใครคิดจะปรามาสหลวงพ่อฤาษีลิงดำ คุณคิดใหม่ได้
หลวงปู่ดาบส สุมโณ
หลวงตาวัชรชัย วัดเขาวงศ์ถ้ำนารายณ์ จ.สระบุรี พูดเล่าว่าหลวงปู่ดาบส สุมโณ พูดถึงหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ว่าอย่างไรบ้าง
ลูกหลานเอย..หลวงตาต้องกล้าเขียนต่อ บอกแล้วว่ามันยากที่จะเล่าให้ฟังตามตรง ๆ ที่หลวงปู่พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า
"พระคุณเจ้าองค์นั้นเป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลกในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี
จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน
ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียว
ก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้
จำไว้นะ ! กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน ฟังเทปของท่าน ดูวีดีโอของท่าน ให้ส่งจิตคิดตามเสียงท่านประหนึ่งว่าเป็นเสียงในใจเรา ก็อาจจะบรรลุมรรคผลได้ตามที่ตัดสินใจ ตามเสียงนั้นเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ องค์นี้หาใครสอนได้เสมือนท่านยากนักหนาแล้ว" นี่หลวงตาเล่าให้ฟังตามที่ได้พบเห็นได้ยินมาเฉพาะตัวหลวงตาเอง ท่านใดจะชื่นชมสมใจหรือแหนงหน่าย อึดอัดก็โปรดเป็นไปตามกฎธรรมดา ตามปรารถนาเถิด..
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโรมหาเถระ)
วัดสามพระยา ปรารภกับหลวงพี่ ท่านพระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาส วัดท่าซุง
ว่า " คำสอนของท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ใช้เป็นตำราได้ทั้งหมดนะ "
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร มหาเถระ)
บอกว่า "หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ท่านเป็นโลกวิทู แจ้งทั้งโลก แจ้งทั้งธรรม"
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่บุดดา ถาวโร ยังปรารภถึงหลวงพ่อว่า " หลวงปู่น่ะเหมือนหิ่งห้อย
หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) นั้นเหมือนพระอาทิตย์"
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ครูบาคำแสนเล็ก ท่านบอกว่า “หลวงปู่ บวชมา 60 กว่าพรรษาเข้านี่แล้วยังไม่เคยพบ
พระองค์ไหนเหมือนหลวงพ่อ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก
พระบุญรัตน์ กันตจาโร
พระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อผู้เปี่ยมไปด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ไพศาล
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒
ในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร กำลังสนทนาธรรมกันที่วัดป่าดอนมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้เขียนกำลังรับฟังธรรม จากพระเดชพระคุณท่านฯ ทั้งสองอยู่ หลวงปู่ชุ่มก็หันหน้ามาบอกผู้เขียนว่า
“ท่านบุญรัตน์ ให้ไปกราบหลวงพ่อใหญ่ วัดท่าซุงหน่อย ท่านเป็นพระทอง หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ท่านเปี่ยมด้วยเมตตาบารมี ใครได้กราบไหว้ก็เป็นบุญกุศลใหญ่นัก”
หลวงปู่คำแสนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็กล่าวเสริมขึ้นว่า
“เออ ดีมาก หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นผู้ประกอบไปด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่ง
เหมือนกับครูบาศรีวิชัย หาที่ไหนไม่ได้แล้ว”
ผู้เขียนได้รับฟังหลวงปู่ทั้งสององค์บอกกล่าว ดังนั้นก็ก้มกราบเท้าทั้งสองหลวงปู่ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจจนน้ำตาไหล
หลังจากนั้นมา ผู้เขียนก็หาเวลาไปกราบเท้านมัสการพระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อหลายครั้งหลายหน เมื่อไปกราบคราวใดก็รู้สึกอิ่มใจ และได้ฟังธรรมจากพระเดชพระคุณท่านฯ จึงทำให้เกิดศรัทธามากขึ้น เพราะว่าคำสอนของพระเดชพระคุณท่านฯ ฟังง่าย ปฏิบัติก็ง่าย ฟังได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตลอดถึงปี พ.ศ.๒๕๑๗ ผู้เขียนได้ลงไปพักวัดอภัยทายาราม (วัดมะกอก) ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ ก็หาเวลาไปกราบฟังธรรมที่ซอยสายลมมิได้ขาด
เมื่อผู้เขียนกลับไปเชียงใหม่ก็ไปนมัสการหลวงปู่ชุ่ม และกราบเรียนเรื่องราวที่ได้มีโอกาสไปนมัสการและสดับฟังธรรมจากพระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อฯ ถวายแด่หลวงปู่ชุ่มฟัง หลวงปู่ท่านก็บอกว่า “ดีมาก ท่านบุญรัตน์ได้พบของดีแล้ว”
นอกจากนั้นหลวงปู่ท่านเมตตาเล่าให้ผู้เขียนฟังอีกว่า
“พระเดชพระคุณหลวงพ่อวีระ วัดท่าซุงนี่ท่านเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอันสูงมาก บารมีสูง
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่าน ท่านจะไม่มาอีกแล้ว จะเข้าสู่พระนิพพาน
เพราะฉะนั้นท่านจึงสั่งสอนให้ลูกหลานและศิษย์ท่านปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพานกันหมด”
หลวงปู่ชุ่มบอกกับผู้เขียนว่า
“ขอให้ท่านจงได้ปฏิบัติติดตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเถอะ จะได้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=34508&start=15
หลวงปู่ดาบส สุมโณ
หลวงตาวัชรชัย วัดเขาวงศ์ถ้ำนารายณ์ จ.สระบุรี พูดเล่าว่าหลวงปู่ดาบส สุมโณ พูดถึงหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ว่าอย่างไรบ้าง
ลูกหลานเอย..หลวงตาต้องกล้าเขียนต่อ บอกแล้วว่ามันยากที่จะเล่าให้ฟังตามตรง ๆ ที่หลวงปู่พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า
"พระคุณเจ้าองค์นั้นเป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลกในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี
จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน
ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียว
ก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้
จำไว้นะ ! กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน ฟังเทปของท่าน ดูวีดีโอของท่าน ให้ส่งจิตคิดตามเสียงท่านประหนึ่งว่าเป็นเสียงในใจเรา ก็อาจจะบรรลุมรรคผลได้ตามที่ตัดสินใจ ตามเสียงนั้นเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ องค์นี้หาใครสอนได้เสมือนท่านยากนักหนาแล้ว" นี่หลวงตาเล่าให้ฟังตามที่ได้พบเห็นได้ยินมาเฉพาะตัวหลวงตาเอง ท่านใดจะชื่นชมสมใจหรือแหนงหน่าย อึดอัดก็โปรดเป็นไปตามกฎธรรมดา ตามปรารถนาเถิด..
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโรมหาเถระ)
วัดสามพระยา ปรารภกับหลวงพี่ ท่านพระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาส วัดท่าซุง
ว่า " คำสอนของท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ใช้เป็นตำราได้ทั้งหมดนะ "
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร มหาเถระ)
บอกว่า "หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ท่านเป็นโลกวิทู แจ้งทั้งโลก แจ้งทั้งธรรม"
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่บุดดา ถาวโร ยังปรารภถึงหลวงพ่อว่า " หลวงปู่น่ะเหมือนหิ่งห้อย
หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) นั้นเหมือนพระอาทิตย์"
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ครูบาคำแสนเล็ก ท่านบอกว่า “หลวงปู่ บวชมา 60 กว่าพรรษาเข้านี่แล้วยังไม่เคยพบ
พระองค์ไหนเหมือนหลวงพ่อ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก
พระบุญรัตน์ กันตจาโร
พระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อผู้เปี่ยมไปด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ไพศาล
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒
ในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร กำลังสนทนาธรรมกันที่วัดป่าดอนมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้เขียนกำลังรับฟังธรรม จากพระเดชพระคุณท่านฯ ทั้งสองอยู่ หลวงปู่ชุ่มก็หันหน้ามาบอกผู้เขียนว่า
“ท่านบุญรัตน์ ให้ไปกราบหลวงพ่อใหญ่ วัดท่าซุงหน่อย ท่านเป็นพระทอง หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ท่านเปี่ยมด้วยเมตตาบารมี ใครได้กราบไหว้ก็เป็นบุญกุศลใหญ่นัก”
หลวงปู่คำแสนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็กล่าวเสริมขึ้นว่า
“เออ ดีมาก หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นผู้ประกอบไปด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่ง
เหมือนกับครูบาศรีวิชัย หาที่ไหนไม่ได้แล้ว”
ผู้เขียนได้รับฟังหลวงปู่ทั้งสององค์บอกกล่าว ดังนั้นก็ก้มกราบเท้าทั้งสองหลวงปู่ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจจนน้ำตาไหล
หลังจากนั้นมา ผู้เขียนก็หาเวลาไปกราบเท้านมัสการพระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อหลายครั้งหลายหน เมื่อไปกราบคราวใดก็รู้สึกอิ่มใจ และได้ฟังธรรมจากพระเดชพระคุณท่านฯ จึงทำให้เกิดศรัทธามากขึ้น เพราะว่าคำสอนของพระเดชพระคุณท่านฯ ฟังง่าย ปฏิบัติก็ง่าย ฟังได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตลอดถึงปี พ.ศ.๒๕๑๗ ผู้เขียนได้ลงไปพักวัดอภัยทายาราม (วัดมะกอก) ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ ก็หาเวลาไปกราบฟังธรรมที่ซอยสายลมมิได้ขาด
เมื่อผู้เขียนกลับไปเชียงใหม่ก็ไปนมัสการหลวงปู่ชุ่ม และกราบเรียนเรื่องราวที่ได้มีโอกาสไปนมัสการและสดับฟังธรรมจากพระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อฯ ถวายแด่หลวงปู่ชุ่มฟัง หลวงปู่ท่านก็บอกว่า “ดีมาก ท่านบุญรัตน์ได้พบของดีแล้ว”
นอกจากนั้นหลวงปู่ท่านเมตตาเล่าให้ผู้เขียนฟังอีกว่า
“พระเดชพระคุณหลวงพ่อวีระ วัดท่าซุงนี่ท่านเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอันสูงมาก บารมีสูง
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่าน ท่านจะไม่มาอีกแล้ว จะเข้าสู่พระนิพพาน
เพราะฉะนั้นท่านจึงสั่งสอนให้ลูกหลานและศิษย์ท่านปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพานกันหมด”
หลวงปู่ชุ่มบอกกับผู้เขียนว่า
“ขอให้ท่านจงได้ปฏิบัติติดตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเถอะ จะได้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=34508&start=15
ความคิดเห็นที่ 4
(สมเด็จองค์ปฐม ปางนิพพาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี)
(((((คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม)))))
ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็น เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่าน จงอย่าลืมความตาย
นั่นหมายถึงว่า การจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง
จงดูภาพมนุษย์ว่า มนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์
เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวังทุกอย่าง
ต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความ ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ
ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด
ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้ง หลายจงอย่ามัวเมา
จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ตลอดสมัย
ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้อง จุติ คือ ตาย
แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้าที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก
จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย "
(พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามาก เป็นอันว่า ทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มา เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเอง เวลานั้น ร่างกายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)
" ภิกขุเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่า ทุกท่าน มีบาป ติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อย ก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิด บนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่า ท่านจุติเมื่อไร โน่น..นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลาย จะต้องพุ่งหลาว ลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะ ได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า เป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ ได้ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดีพรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพานเป็น อันว่า ท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น นิพพาน "
(ท่านยกมือชี้ขึ้น ให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพาน ไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้ว แพรวพราว เป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหนมี ความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมดแล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)
" ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ถ้าบุญวาสนาบารมี ของเรานี้ สิ้นสุดลงเราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์เรา จะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และ การไป นิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วง ก็เป็นห่วง เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลิน ในความเป็นทิพย์ ยังมี ความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อนอันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่ เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะ ตายเมื่อไหร่ก็ ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่ เป็นของไม่เที่ยง
เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดี ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่าน ทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่าน มีความศรัทธา มีความเคารพ ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการ ขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็น ศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม
(พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวช ที่ไหนองค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)
" ฤาษี.. เทวดา เขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดา ชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้ เขามีศีลครบถ้วน บริบูรณ์ทั้ง 227 เหมือนกับ ความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วย ธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุขเขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี "
(แล้วท่านก็กลับ หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)
" ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ ได้ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดีเป็นนางฟ้าก็ดีมีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้ายในเมื่อการจุติเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่า เราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์
ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวายมนุษย์เต็มไปด้วยความ โสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วย การงานต่างๆ มนุษย์ มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตามในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เรา ก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็น พระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหนคนภายนอกเข้าไม่ได้เข้า ได้แต่คนภายใน แต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้ว กลับไปเกิดเป็นคน หากว่า ท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์ เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่าน สร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดิน มาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความ จำเป็นต้องหาเงิน (ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)
จงอย่าคิดเป็น มนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสียเลิกความหมาย ความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์ เป็นทุกข์ มนุษย์มี สภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของ รักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดาอยาก เป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับ พรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน
เมื่อมีความเกิดขึ้นไนเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไปตั้งใจ ไว้เสมอว่า
เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือ พระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวัน ข้างหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจบรรดาท่านพุทธ บริษัทหมายถึงว่าเขาปฏิบัติได้นี่คือ อารมณ์พระโสดาบัน กับ อารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่า ความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดีใน เมื่อจุติความเป็นเทวดา หรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่า ขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารักมัน ไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานเราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคน อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคย เป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน
จงดูภาพพระนิพพาน ให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพาน ไม่มีที่สิ้นสุด... (เมื่อพระองค์ตรัสเพียงเท่านี้พระองค์ก็จบ)
คัดย่อจาก หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535
เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน
(สมเด็จองค์ปฐม ปางนิพพาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี)
(((((คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม)))))
ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็น เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่าน จงอย่าลืมความตาย
นั่นหมายถึงว่า การจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง
จงดูภาพมนุษย์ว่า มนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์
เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวังทุกอย่าง
ต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความ ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ
ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด
ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้ง หลายจงอย่ามัวเมา
จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ตลอดสมัย
ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้อง จุติ คือ ตาย
แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้าที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก
จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย "
(พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามาก เป็นอันว่า ทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มา เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเอง เวลานั้น ร่างกายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)
" ภิกขุเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่า ทุกท่าน มีบาป ติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อย ก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิด บนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่า ท่านจุติเมื่อไร โน่น..นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลาย จะต้องพุ่งหลาว ลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะ ได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า เป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ ได้ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดีพรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพานเป็น อันว่า ท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น นิพพาน "
(ท่านยกมือชี้ขึ้น ให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพาน ไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้ว แพรวพราว เป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหนมี ความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมดแล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)
" ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ถ้าบุญวาสนาบารมี ของเรานี้ สิ้นสุดลงเราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์เรา จะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และ การไป นิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วง ก็เป็นห่วง เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลิน ในความเป็นทิพย์ ยังมี ความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อนอันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่ เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะ ตายเมื่อไหร่ก็ ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่ เป็นของไม่เที่ยง
เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดี ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่าน ทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่าน มีความศรัทธา มีความเคารพ ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการ ขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็น ศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม
(พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวช ที่ไหนองค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)
" ฤาษี.. เทวดา เขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดา ชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้ เขามีศีลครบถ้วน บริบูรณ์ทั้ง 227 เหมือนกับ ความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วย ธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุขเขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี "
(แล้วท่านก็กลับ หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)
" ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ ได้ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดีเป็นนางฟ้าก็ดีมีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้ายในเมื่อการจุติเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่า เราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์
ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวายมนุษย์เต็มไปด้วยความ โสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วย การงานต่างๆ มนุษย์ มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตามในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เรา ก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็น พระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหนคนภายนอกเข้าไม่ได้เข้า ได้แต่คนภายใน แต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้ว กลับไปเกิดเป็นคน หากว่า ท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์ เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่าน สร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดิน มาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความ จำเป็นต้องหาเงิน (ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)
จงอย่าคิดเป็น มนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสียเลิกความหมาย ความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์ เป็นทุกข์ มนุษย์มี สภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของ รักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดาอยาก เป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับ พรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน
เมื่อมีความเกิดขึ้นไนเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไปตั้งใจ ไว้เสมอว่า
เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือ พระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวัน ข้างหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจบรรดาท่านพุทธ บริษัทหมายถึงว่าเขาปฏิบัติได้นี่คือ อารมณ์พระโสดาบัน กับ อารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่า ความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดีใน เมื่อจุติความเป็นเทวดา หรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่า ขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารักมัน ไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานเราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคน อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคย เป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน
จงดูภาพพระนิพพาน ให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพาน ไม่มีที่สิ้นสุด... (เมื่อพระองค์ตรัสเพียงเท่านี้พระองค์ก็จบ)
คัดย่อจาก หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535
เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน
แสดงความคิดเห็น
สมเด็จองค์ปฐม มีที่มาอย่างไรครับ
เกี่ยวกับสมเด็จองค์ปฐมครับ มีใครนับถือศรัทธา
หรือว่าทราบข้อมูลเกี่ยวกับสมเด็จองค์ปฐม ผมขอรบกวนช่ยตอบหน่อยครับ
1 เรื่องราวสมเด็จองค์ปฐม มีที่มาอย่างไร นับถือกันมานานแค่ไหนแล้ว จุดเริ่มต้นมาจากไหนครับ
2 สมเด็จองค์ปฐม ผมพอจะทราบคร่าวๆว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จริงเท็จอย่างไร
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบครับ ผมเพิ่งสมัครสมาชิกใหม่ ผิดพลาดอย่างไรขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ