ผมเป็นคนหนึ่งที่เวลาไปต่างประเทศกับครอบครัวมักจะนิยมซื้อแพ็คเกจทัวร์เพื่อความสะดวกสบาย โปรแกรมเที่ยวอาจไม่ตรงใจเราทั้งหมด แต่เรื่องกินเรื่องอยู่นี่ไม่ต้องมานั่งปวดหัว ไม่ว่าจะขึ้นรถลงเรือ กิน เดิน นั่ง นอน ที่ไหน บริษัททัวร์เขาก็จะจัดให้เราครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศที่ไม่ค่อยเต็มใจสื่อสารกับเราด้วยภาษาสากลเท่าใดนัก ใช้บริการแพ็คเกจทัวร์นี่แหละสบายใจสุด
2-3 วันก่อน ผมกับครอบครัวเดินทางหนีลมร้อนไปสูดอากาศเย็นๆ ที่มณฑลหูหนานของจีน เมืองนี้ค่อนข้างชนบทและยังไม่ค่อยมีทัวร์ไทยไปลงบ่อยนัก นี่เป็นการไปเมืองจีนครั้งที่สองของพวกเรา ทราบดีว่าถ้าไปทัวร์จีนมีหวังจะต้องเผื่อเวลาและเผื่อใจสำหรับการแวะตามร้านรัฐบาล 4-5 ร้านซึ่งเป็นภาคบังคับอยู่แล้ว เพราะเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้ราคาทัวร์ถูกลงจากการอุดหนุนค่าเดินทางและค่าไกด์จากร้านค้าเหล่านี้ ซึ่งก็หนีไม่พ้นสินค้าประเภท หยก ยา ชา ไหม มุก สุดแล้วแต่ว่าเมืองไหนจะโปรโมทสินค้าใดเป็นพิเศษ
แน่นอนว่าแต่ละร้านที่เรา (ถูกบังคับให้) เข้าไปเยี่ยมชมต่างจะต้องงัดกลเม็ดเด็ดพรายว่าด้วยกลยุทธการขายที่หาอ่านได้ยากตามตำราการตลาดทั่วไป ตั้งแต่บริการนวดเท้าฟรี แต่ในขณะที่กำลังนวดพนักงานก็พยายามบรรยายสรรพคุณบัวหิมะเป็นภาษาไทยให้เราฟัง หรือโปรโมชั่นผ้าไหม 6 ซีรี่ย์ เลียนแบบไอโฟน ซื้อซีรีย์ 3 แถมซี่รีย์ 1 ซื้อซีรี่ 5 แถมซีรี่ย์ 4 และสำหรับซีรี่ย์ล่าสุดตอนนี้ ซื้อซีรี่ย์ 6 รับไปเลยซีรี่ย์ 6 ตัวแพงสุดอีกหนึ่งชุดทันทีพร้อมปลอกหมอนผ้าปูที่นอนครบเซ็ต ใครมันจะไปสนใจซีรีย์ 1-5 ราคาถูกล่ะครับ สุดท้ายก็ตกลงปลงใจควักเงินให้ซีรี่ย์ 6 ไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่พัฒนาการทางการขายขั้นสูงสุดที่ผมภูมิใจนำเสนอในวันนี้เป็นสุดยอดกลยุทธการขายในร้านหยก เธอสามารถถลุงเงินคนไทยในกรุ๊ปผมไปได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทในช่วงเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ถ้าจะเปรียบเทียบกับวิธีการขายเมื่อสามปีก่อน ต้องยอมรับเลยว่าเธอและทีมงานเบื้องหลังคงทำการบ้านและศึกษาหลักจิตวิทยามาอย่างหนักถึงได้สะกดใจลูกค้าได้ถึงขนาดนี้
คณะทัวร์ 26 คนเดินลงจากรถบัส บางท่านเตรียมช๊อปที่ร้านหยกแห่งนี้เต็มที่เพราะเป็นรายการช้อปปิ้งเกือบสุดท้ายที่จะได้ใช้จ่ายในเงินสกุลหยวน พนักงานต้อนรับประจำร้านพาพวกเราเข้าไปนั่งในห้องรับรองพร้อมกับกล่าวต้อนรับเป็นภาษาไทยที่สำเนียงฟังแล้วไม่ค่อยระรื่นหูนัก เธอไม่ได้แนะนำชื่อเสียงเรียงนาม แต่เพื่อความเข้าใจง่ายผมขอตั้งชื่อให้เธอเสียใหม่ว่าเจ๊หง
ใบหน้าของเจ๊หงดูเป็นสาวชนบทที่ค่อนข้างน่าสงสาร เหมือนทำงานด้วยความกดดันอะไรบางอย่าง สำเนียงไทยที่เหมือนเพิ่งหัดมาไม่นานทำให้เราต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ เธอพยายามแนะนำประวัติความเป็นมาของร้านหยกแห่งนี้อยู่ประมาณ 5 นาที อยู่ดีๆ พนักงานสาวอีกคนหนึ่งก็เคาะประตูเข้ามาพร้อมกับส่งภาษาจีนสื่อสารกับเจ๊หงว่ามีเรื่องสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น
เจ๊หงพยักหน้ารับเรื่องไว้ หันมาบอกพวกเราที่นั่งอยู่ในห้องว่าวันนี้โชคดีเป็นพิเศษที่ผู้จัดการร้านหยกเดินทางมาที่ร้านพอดี พอรู้ว่าเป็นกรุ๊ปคนไทยเธอก็อยากจะมาต้อนรับด้วยตัวเอง ก่อนเจ๊หงจะยกเวทีให้กับผู้จัดการ เธอได้กำชับพวกเราให้ปรบมือต้อนรับผู้จัดการดังๆ และถ้าผู้จัดการถามว่าเธออธิบายรู้เรื่องไหม ให้ช่วยตอบว่าอธิบายดีมาก ไม่งั้นเธออาจโดนตัดคะแนนได้
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มีพนักงานในชุดสูทเดินนำมา 2-3 คน ตามด้วยหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาดูมีราศี แต่งตัวภูมิฐานที่สุด คนนี้แหละครับผู้จัดการร้านหยก พวกเราปรบมือต้อนรับด้วยความดีใจ
เหมือนเตี๊ยมกันไว้ไม่มีผิด ผู้จัดการแนะนำตัวเองสั้นๆ ก่อนที่จะถามว่าเมื่อกี้เจ๊หงอธิบายรู้เรื่องไหม พวกเราก็ช่วยกันตอบเสียงดังว่าดีมากๆ แล้วเธอก็ให้พนักงานทุกคนออกไปจากห้อง เธอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่าชืออาหลิว จริงๆ แล้วไม่ใช่ผู้จัดการอะไรหรอก ตัวเธอเองเป็นแค่ลูกสาวเจ้าของร้าน ปกติอาศัยอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ เมื่อวานนี้พอดีคุณพ่อมาเปิดโรงเรียนบนภูเขาเลยตามมาด้วย พอได้ข่าวว่าจะมีกรุ๊ปคนไทยแวะมาที่ร้านเธอจึงอยากมาต้อนรับด้วยตัวเองเพราะเธอมีความผูกพันกับเมืองไทยเป็นพิเศษ ทั้งยังขอเลี้ยงรับรองพวหเราด้วยชาจีนสูตรพิเศษที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี
สำเนียงภาษาไทยของอาหลิวดูเหมือนจะชัดกว่าเจ๊หงอย่างผิดหูผิดตา เธอบอกกับเราว่าเธอเกิดและโตที่เมืองไทยจนถึงอายุ 9 ขวบก่อนจะย้ายกลับมาที่เมืองจีน ตอนนั้นพ่อของเธอเป็นพ่อค้าขายหยกเดินทางไปทำธุรกิจอยู่ที่กาญจนบุรี วันนี้เธอเห็นว่ามีคนไทยมา จึงอยากเข้ามาทักทายเพราะแผ่นดินไทยก็เหมือนบ้านเกิดของเธอ อยากจะตอบแทนบุญคุณคนไทยบ้าง
อาหลิวบอกว่าตัวเธอเองทำธุรกิจโรงแรมห้าดาวอยู่ในเซี่ยงไฮ้ เธอแจกนามบัตรให้พวกเราทุกคน บอกว่าถ้ามีโอกาสไปเซี่ยงไฮ้ โทรมาบอกได้เลย กินฟรี อยู่ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ด้านหลังนามบัตรของเธอเป็นรูปพระพรหมเอราวัณ เธอบอกพวกเราว่านับถือพระพรหมมาก ทุกปีจะบินกลับมาที่เมืองไทยเพื่อสักการะพระพรหมเพราะถือว่าท่านมีส่วนทำให้เธอประสบความสำเร็จในเรื่องธุรกิจ และในฐานะที่เธอเองก็นับถือสิ่งที่คนไทยนับถือ ก็อยากจะมอบของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ จากเมืองจีนให้พวกเรากลับไปบูชาด้วย เป็นหยกแกะสลักรูปปี่เซียะ (สัตว์ในเทพนิยายจีนชนิดหนึ่ง) ชิ้นเล็กๆ เธอให้พนักงานเดินไปหยิบมาแจกพวกเราทุกคน พอได้รับก็รีบเปิดดูด้วยความตื่นเต้น
อาหลิวถามพวกเราว่าก่อนที่เธอจะเข้ามาในห้อง มีใครซื้อหยกในร้านนี้ไปบ้างหรือยัง ถ้ามีให้บอกนะ ไม่ใช่ว่าเธอจะลดราคาให้ แต่เธอจะคืนเงินให้ทั้งหมด เธอบอกว่าร้านนี้ตั้งมาเพื่อที่จะขายพวกคนเกาหลีโดยเฉพาะ จึงตั้งราคาแพงเป็นพิเศษ เพราะคนเกาหลีที่อายุเกิน 48 ปี จะได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาลจีนให้บินฟรีหนึ่งครั้ง จึงต้องหาทุนคืนด้วยกลไกทางเศรษฐกิจแบบนี้ แถมยังยอมรับอีกว่าหยกที่นี่ไม่ใช่หยกจีน เป็นหยกจากพม่า เพราะหยกจีนคุณภาพต่ำ เพราะฉะนั้นคนไทยไปซื้อหยกพม่าโดยตรงดีกว่า ไม่ต้องมาซื้อที่นี่หรอก เสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุ
โชคดีที่ยังไม่มีใครซื้อหยกก่อนที่อาหลิวจะเข้ามา แต่ไหนๆ แวะมาที่นี่แล้วอาหลิวเลยจะถือโอกาสแนะนำคนไทยไปในตัวถึงวิธีดูหยกว่าเป็นหยกจีนหรือหยกพม่าต้องดูตรงไหน จะรู้ได้ยังไงว่าหยกชิ้นไหนเป็นหยกแท้หรือเป็นแค่หินสีเขียว เธอสอนพวกเราให้เอาหยกมาขูดกับกระจก หยกแท้ท้องทำกระจกเป็นรอย แต่ที่เนื้อหยกจะไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ และถ้าอยากรู้ว่าหยกจีนหรือหยกพม่าให้ใช้ไฟฉายส่องดู หยกทั้งสองที่มีลักษณะการกระเจิงแสงที่ต่างกัน พวกเราทุกคนรู้สึกขอบอกขอบใจอาหลิวเป็นพิเศษที่ไม่ยอมให้คนไทยเสียรู้ซื้อของถูกในราคาแพงกลับไป อย่างน้อยแวะมาที่นี่นอกจากไม่เสียรู้แล้วยังได้ความรู้กลับไปด้วย
ไฮไลท์อยู่ตรงช่วงสุดท้ายนี่แหละ อาหลิวหยิบสร้อยขึ้นมาเส้นหนึ่ง บอกว่าหยกนี้เป็นรุ่นที่ฮิตที่สุดที่พวกเกาหลีนิยมซื้อกลับไป ติดราคาไว้คิดเป็นเงินไทย 12,500 บาท เธอให้พวกเราลองนับดูมีหยกทั้งหมด 50 เม็ด เธอบอกว่าต้นทุนของหยกประเภทนี้ตกประมาณเม็ดละ 25 บาท ถ้าคิดต้นทุนจริงๆ ทั้งเส้นก็เป็นเงินไทย 1,250 บาท ค่าแรงไม่ต้องคิดหรอกเพราะหยกพวกนี้เธอส่งไปให้นักโทษในคุกร้อยเป็นรายได้พิเศษ ค่าแรงถูกมาก ลองคิดดู ติดราคา 12,500 บาท แต่ต้นทุนจริงๆ แค่ 1,250 บาท กำไรตั้ง 90% แน่ะ รู้อย่างนี้ใครซื้อราคาเต็มก็บ้าแล้ว มีแต่พวกเกาหลีเท่านั้นแหละที่ซื้อพวกนี้กลับไป ที่ร้านลดราคาให้อย่างมากก็แค่ 30%
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วอุตส่าห์มาถึงแหล่งขายหยก พวกพี่ๆ น่าจะมีของฝากติดไม้ติดมือกลับไปฝากญาติสนิทมิตรสหายที่เมืองไทยบ้าง ว่าแล้วก็หยิบถาดสร้อยข้อมือขึ้นมาถาดหนึ่ง บอกว่าอันนี้เป็นสร้อยข้อมือชุดเดียวกับที่บอกราคาไปเมื่อสักครู่ ถ้าใครอยากได้เธอไม่คิดแม้แต่ต้นทุน ถือว่าให้กันฟรีๆ เลยแล้วกัน ขอแค่ค่าภาษีส่งให้รัฐบาล ตกเป็นเงินไทยเส้นละ 100 บาท แต่มีข้อแม้ว่าซื้อกลับไปใส่เองได้ เป็นของฝากได้ แต่อย่าไปขายต่อให้ใคร ไม่อย่างงั้นซื้อกันเป็นร้อยๆ เส้นกลับไปทางร้านคนขาดทุน
เท่านั้นแหละ แต่ละคนรีบคว้ามันขึ้นมาดู บางคนเริ่มนับว่าต้องฝากใครบ้าง บางคนคว้าไปเป็นสิบๆ เส้น หยิบเครื่องคิดเลขมากดคูณร้อยเข้าไปไม่แพงเลย หลายคนเริ่มถามถึงเครื่องประดับชิ้นอื่นที่อยู่ในตู้ อาหลิวทำท่าเหมือนยอมตัดใจ ขอแค่ค่าภาษีแล้วกัน เส้นนั้นติดราคาไว้ห้าหมื่น ถ้าอยากได้จริงขอค่าภาษีส่งรัฐบาลแค่สองพันพอ ธุรกิจเริ่มดำเนินไปเรื่อยๆ นอกจากสร้อยข้อมือเส้นละ 100 บาทแล้ว หลายคนเริ่มเกิดอาการอุปทานหมู่ เลือกต่างหู แหวน ในตู้ขึ้นมา เรียกอาหลิวไปถามราคา (ค่าภาษี) อาหลิวยินดีลดให้ทุกคนที่อยู่ในห้อง บางคนเห็นแหวนหยกที่อาหลิวใส่อยากได้มาก ถึงขนาดถอดจากนิ้วของเธอไปลองใส่ก็มี พยายามอ้อนวอนให้เธอขายให้ สุดท้ายทั้งกรุ๊ปหมดเงินไปร่วมหนึ่งแสนบาท
ผมและครอบครัวออกมานั่งคุยกันนอกห้องจิวเวอรี่ห้องนั้น สร้าอยข้อมือที่ขายให้คนไทยราคาถูกแสนถูกเพียงเส้นละร้อยแท้จริงแล้วขายอยู่ตลาดนัดบ้านเราเส้นละ 20 บาท แต่พอมาอยู่ในสภาพแวดล้อมท่ามกลางเครื่องประดับระยิบระดับประกอบกับเรื่องราวที่ร้อยเรียงมาเป็นอย่างดีสามารถเพิ่มมูลค่าของมันได้ 5 เท่าตัวเลยทีเดียว
ผมกลับมาค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตด้วยคีย์เวิร์ดง่ายๆ เช่น ทัวร์จีน ร้านหยก ก็พบกับบรรดาบล็อกเกอร์ที่ออกมาตีแผ่เรื่องราวเช่นเดียวกันนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกุ๊ยหลิน เซี่ยงไฮ้ กวางเจา ฯลฯ ล้วนมีพล๊อตเรื่องคล้ายๆ กันนั่นคือลูกสาวเจ้าของร้านที่มีความหลังผูกพันกับเมืองไทยเป็นพิเศษและพร้อมที่จะตอบแทนบุญคุณแผ่นดินทุกครั้งที่มีกรุ๊ปทัวร์คนไทยไปเหยียบที่นั่น
ผมไม่ถือว่าเรื่องแบบนี้เป็นการหลอกลวง ต้มตุ๋น หรือกลโกงอะไรหรอกครับ เพราะไม่มีใครในครอบครัวผมที่เสียเงินให้กับเรื่องอุปโลกเรื่องนี้ไปแม้แต่บาทเดียว แต่ผมกลับชื่นชอบในเนื้อเรื่องที่ปรุงแต่งขึ้นมาอย่างมีรสชาติ ตัวละครที่มีที่มา เรื่องราวที่โยงเข้ากับคติความเชื่อและจิตวิทยาความคิดที่ค่อยสอดแทรกมาตลอด 1 ชั่วโมงเต็ม และฝีไม้ลายมือด้านการแสดงที่ทุกคนต่างตีบทแตกจนผู้ชมเข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงได้อย่างไม่รู้ตัว
นี่คงเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่โปรแกรมทัวร์จีนทุกแพ็คเกจสมนาคุณให้กับคนไทยอย่างเราๆ ลองคิดอีกมุมหนึ่งก็บันเทิงดีเหมือนกัน
ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเองนะครับ
หยก ยา ชา ไหม มุก - ละครฉากใหญ่ในร้านหยกเมืองจีน
2-3 วันก่อน ผมกับครอบครัวเดินทางหนีลมร้อนไปสูดอากาศเย็นๆ ที่มณฑลหูหนานของจีน เมืองนี้ค่อนข้างชนบทและยังไม่ค่อยมีทัวร์ไทยไปลงบ่อยนัก นี่เป็นการไปเมืองจีนครั้งที่สองของพวกเรา ทราบดีว่าถ้าไปทัวร์จีนมีหวังจะต้องเผื่อเวลาและเผื่อใจสำหรับการแวะตามร้านรัฐบาล 4-5 ร้านซึ่งเป็นภาคบังคับอยู่แล้ว เพราะเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้ราคาทัวร์ถูกลงจากการอุดหนุนค่าเดินทางและค่าไกด์จากร้านค้าเหล่านี้ ซึ่งก็หนีไม่พ้นสินค้าประเภท หยก ยา ชา ไหม มุก สุดแล้วแต่ว่าเมืองไหนจะโปรโมทสินค้าใดเป็นพิเศษ
แน่นอนว่าแต่ละร้านที่เรา (ถูกบังคับให้) เข้าไปเยี่ยมชมต่างจะต้องงัดกลเม็ดเด็ดพรายว่าด้วยกลยุทธการขายที่หาอ่านได้ยากตามตำราการตลาดทั่วไป ตั้งแต่บริการนวดเท้าฟรี แต่ในขณะที่กำลังนวดพนักงานก็พยายามบรรยายสรรพคุณบัวหิมะเป็นภาษาไทยให้เราฟัง หรือโปรโมชั่นผ้าไหม 6 ซีรี่ย์ เลียนแบบไอโฟน ซื้อซีรีย์ 3 แถมซี่รีย์ 1 ซื้อซีรี่ 5 แถมซีรี่ย์ 4 และสำหรับซีรี่ย์ล่าสุดตอนนี้ ซื้อซีรี่ย์ 6 รับไปเลยซีรี่ย์ 6 ตัวแพงสุดอีกหนึ่งชุดทันทีพร้อมปลอกหมอนผ้าปูที่นอนครบเซ็ต ใครมันจะไปสนใจซีรีย์ 1-5 ราคาถูกล่ะครับ สุดท้ายก็ตกลงปลงใจควักเงินให้ซีรี่ย์ 6 ไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่พัฒนาการทางการขายขั้นสูงสุดที่ผมภูมิใจนำเสนอในวันนี้เป็นสุดยอดกลยุทธการขายในร้านหยก เธอสามารถถลุงเงินคนไทยในกรุ๊ปผมไปได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทในช่วงเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ถ้าจะเปรียบเทียบกับวิธีการขายเมื่อสามปีก่อน ต้องยอมรับเลยว่าเธอและทีมงานเบื้องหลังคงทำการบ้านและศึกษาหลักจิตวิทยามาอย่างหนักถึงได้สะกดใจลูกค้าได้ถึงขนาดนี้
คณะทัวร์ 26 คนเดินลงจากรถบัส บางท่านเตรียมช๊อปที่ร้านหยกแห่งนี้เต็มที่เพราะเป็นรายการช้อปปิ้งเกือบสุดท้ายที่จะได้ใช้จ่ายในเงินสกุลหยวน พนักงานต้อนรับประจำร้านพาพวกเราเข้าไปนั่งในห้องรับรองพร้อมกับกล่าวต้อนรับเป็นภาษาไทยที่สำเนียงฟังแล้วไม่ค่อยระรื่นหูนัก เธอไม่ได้แนะนำชื่อเสียงเรียงนาม แต่เพื่อความเข้าใจง่ายผมขอตั้งชื่อให้เธอเสียใหม่ว่าเจ๊หง
ใบหน้าของเจ๊หงดูเป็นสาวชนบทที่ค่อนข้างน่าสงสาร เหมือนทำงานด้วยความกดดันอะไรบางอย่าง สำเนียงไทยที่เหมือนเพิ่งหัดมาไม่นานทำให้เราต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ เธอพยายามแนะนำประวัติความเป็นมาของร้านหยกแห่งนี้อยู่ประมาณ 5 นาที อยู่ดีๆ พนักงานสาวอีกคนหนึ่งก็เคาะประตูเข้ามาพร้อมกับส่งภาษาจีนสื่อสารกับเจ๊หงว่ามีเรื่องสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น
เจ๊หงพยักหน้ารับเรื่องไว้ หันมาบอกพวกเราที่นั่งอยู่ในห้องว่าวันนี้โชคดีเป็นพิเศษที่ผู้จัดการร้านหยกเดินทางมาที่ร้านพอดี พอรู้ว่าเป็นกรุ๊ปคนไทยเธอก็อยากจะมาต้อนรับด้วยตัวเอง ก่อนเจ๊หงจะยกเวทีให้กับผู้จัดการ เธอได้กำชับพวกเราให้ปรบมือต้อนรับผู้จัดการดังๆ และถ้าผู้จัดการถามว่าเธออธิบายรู้เรื่องไหม ให้ช่วยตอบว่าอธิบายดีมาก ไม่งั้นเธออาจโดนตัดคะแนนได้
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มีพนักงานในชุดสูทเดินนำมา 2-3 คน ตามด้วยหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาดูมีราศี แต่งตัวภูมิฐานที่สุด คนนี้แหละครับผู้จัดการร้านหยก พวกเราปรบมือต้อนรับด้วยความดีใจ
เหมือนเตี๊ยมกันไว้ไม่มีผิด ผู้จัดการแนะนำตัวเองสั้นๆ ก่อนที่จะถามว่าเมื่อกี้เจ๊หงอธิบายรู้เรื่องไหม พวกเราก็ช่วยกันตอบเสียงดังว่าดีมากๆ แล้วเธอก็ให้พนักงานทุกคนออกไปจากห้อง เธอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่าชืออาหลิว จริงๆ แล้วไม่ใช่ผู้จัดการอะไรหรอก ตัวเธอเองเป็นแค่ลูกสาวเจ้าของร้าน ปกติอาศัยอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ เมื่อวานนี้พอดีคุณพ่อมาเปิดโรงเรียนบนภูเขาเลยตามมาด้วย พอได้ข่าวว่าจะมีกรุ๊ปคนไทยแวะมาที่ร้านเธอจึงอยากมาต้อนรับด้วยตัวเองเพราะเธอมีความผูกพันกับเมืองไทยเป็นพิเศษ ทั้งยังขอเลี้ยงรับรองพวหเราด้วยชาจีนสูตรพิเศษที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี
สำเนียงภาษาไทยของอาหลิวดูเหมือนจะชัดกว่าเจ๊หงอย่างผิดหูผิดตา เธอบอกกับเราว่าเธอเกิดและโตที่เมืองไทยจนถึงอายุ 9 ขวบก่อนจะย้ายกลับมาที่เมืองจีน ตอนนั้นพ่อของเธอเป็นพ่อค้าขายหยกเดินทางไปทำธุรกิจอยู่ที่กาญจนบุรี วันนี้เธอเห็นว่ามีคนไทยมา จึงอยากเข้ามาทักทายเพราะแผ่นดินไทยก็เหมือนบ้านเกิดของเธอ อยากจะตอบแทนบุญคุณคนไทยบ้าง
อาหลิวบอกว่าตัวเธอเองทำธุรกิจโรงแรมห้าดาวอยู่ในเซี่ยงไฮ้ เธอแจกนามบัตรให้พวกเราทุกคน บอกว่าถ้ามีโอกาสไปเซี่ยงไฮ้ โทรมาบอกได้เลย กินฟรี อยู่ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ด้านหลังนามบัตรของเธอเป็นรูปพระพรหมเอราวัณ เธอบอกพวกเราว่านับถือพระพรหมมาก ทุกปีจะบินกลับมาที่เมืองไทยเพื่อสักการะพระพรหมเพราะถือว่าท่านมีส่วนทำให้เธอประสบความสำเร็จในเรื่องธุรกิจ และในฐานะที่เธอเองก็นับถือสิ่งที่คนไทยนับถือ ก็อยากจะมอบของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ จากเมืองจีนให้พวกเรากลับไปบูชาด้วย เป็นหยกแกะสลักรูปปี่เซียะ (สัตว์ในเทพนิยายจีนชนิดหนึ่ง) ชิ้นเล็กๆ เธอให้พนักงานเดินไปหยิบมาแจกพวกเราทุกคน พอได้รับก็รีบเปิดดูด้วยความตื่นเต้น
อาหลิวถามพวกเราว่าก่อนที่เธอจะเข้ามาในห้อง มีใครซื้อหยกในร้านนี้ไปบ้างหรือยัง ถ้ามีให้บอกนะ ไม่ใช่ว่าเธอจะลดราคาให้ แต่เธอจะคืนเงินให้ทั้งหมด เธอบอกว่าร้านนี้ตั้งมาเพื่อที่จะขายพวกคนเกาหลีโดยเฉพาะ จึงตั้งราคาแพงเป็นพิเศษ เพราะคนเกาหลีที่อายุเกิน 48 ปี จะได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาลจีนให้บินฟรีหนึ่งครั้ง จึงต้องหาทุนคืนด้วยกลไกทางเศรษฐกิจแบบนี้ แถมยังยอมรับอีกว่าหยกที่นี่ไม่ใช่หยกจีน เป็นหยกจากพม่า เพราะหยกจีนคุณภาพต่ำ เพราะฉะนั้นคนไทยไปซื้อหยกพม่าโดยตรงดีกว่า ไม่ต้องมาซื้อที่นี่หรอก เสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุ
โชคดีที่ยังไม่มีใครซื้อหยกก่อนที่อาหลิวจะเข้ามา แต่ไหนๆ แวะมาที่นี่แล้วอาหลิวเลยจะถือโอกาสแนะนำคนไทยไปในตัวถึงวิธีดูหยกว่าเป็นหยกจีนหรือหยกพม่าต้องดูตรงไหน จะรู้ได้ยังไงว่าหยกชิ้นไหนเป็นหยกแท้หรือเป็นแค่หินสีเขียว เธอสอนพวกเราให้เอาหยกมาขูดกับกระจก หยกแท้ท้องทำกระจกเป็นรอย แต่ที่เนื้อหยกจะไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ และถ้าอยากรู้ว่าหยกจีนหรือหยกพม่าให้ใช้ไฟฉายส่องดู หยกทั้งสองที่มีลักษณะการกระเจิงแสงที่ต่างกัน พวกเราทุกคนรู้สึกขอบอกขอบใจอาหลิวเป็นพิเศษที่ไม่ยอมให้คนไทยเสียรู้ซื้อของถูกในราคาแพงกลับไป อย่างน้อยแวะมาที่นี่นอกจากไม่เสียรู้แล้วยังได้ความรู้กลับไปด้วย
ไฮไลท์อยู่ตรงช่วงสุดท้ายนี่แหละ อาหลิวหยิบสร้อยขึ้นมาเส้นหนึ่ง บอกว่าหยกนี้เป็นรุ่นที่ฮิตที่สุดที่พวกเกาหลีนิยมซื้อกลับไป ติดราคาไว้คิดเป็นเงินไทย 12,500 บาท เธอให้พวกเราลองนับดูมีหยกทั้งหมด 50 เม็ด เธอบอกว่าต้นทุนของหยกประเภทนี้ตกประมาณเม็ดละ 25 บาท ถ้าคิดต้นทุนจริงๆ ทั้งเส้นก็เป็นเงินไทย 1,250 บาท ค่าแรงไม่ต้องคิดหรอกเพราะหยกพวกนี้เธอส่งไปให้นักโทษในคุกร้อยเป็นรายได้พิเศษ ค่าแรงถูกมาก ลองคิดดู ติดราคา 12,500 บาท แต่ต้นทุนจริงๆ แค่ 1,250 บาท กำไรตั้ง 90% แน่ะ รู้อย่างนี้ใครซื้อราคาเต็มก็บ้าแล้ว มีแต่พวกเกาหลีเท่านั้นแหละที่ซื้อพวกนี้กลับไป ที่ร้านลดราคาให้อย่างมากก็แค่ 30%
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วอุตส่าห์มาถึงแหล่งขายหยก พวกพี่ๆ น่าจะมีของฝากติดไม้ติดมือกลับไปฝากญาติสนิทมิตรสหายที่เมืองไทยบ้าง ว่าแล้วก็หยิบถาดสร้อยข้อมือขึ้นมาถาดหนึ่ง บอกว่าอันนี้เป็นสร้อยข้อมือชุดเดียวกับที่บอกราคาไปเมื่อสักครู่ ถ้าใครอยากได้เธอไม่คิดแม้แต่ต้นทุน ถือว่าให้กันฟรีๆ เลยแล้วกัน ขอแค่ค่าภาษีส่งให้รัฐบาล ตกเป็นเงินไทยเส้นละ 100 บาท แต่มีข้อแม้ว่าซื้อกลับไปใส่เองได้ เป็นของฝากได้ แต่อย่าไปขายต่อให้ใคร ไม่อย่างงั้นซื้อกันเป็นร้อยๆ เส้นกลับไปทางร้านคนขาดทุน
เท่านั้นแหละ แต่ละคนรีบคว้ามันขึ้นมาดู บางคนเริ่มนับว่าต้องฝากใครบ้าง บางคนคว้าไปเป็นสิบๆ เส้น หยิบเครื่องคิดเลขมากดคูณร้อยเข้าไปไม่แพงเลย หลายคนเริ่มถามถึงเครื่องประดับชิ้นอื่นที่อยู่ในตู้ อาหลิวทำท่าเหมือนยอมตัดใจ ขอแค่ค่าภาษีแล้วกัน เส้นนั้นติดราคาไว้ห้าหมื่น ถ้าอยากได้จริงขอค่าภาษีส่งรัฐบาลแค่สองพันพอ ธุรกิจเริ่มดำเนินไปเรื่อยๆ นอกจากสร้อยข้อมือเส้นละ 100 บาทแล้ว หลายคนเริ่มเกิดอาการอุปทานหมู่ เลือกต่างหู แหวน ในตู้ขึ้นมา เรียกอาหลิวไปถามราคา (ค่าภาษี) อาหลิวยินดีลดให้ทุกคนที่อยู่ในห้อง บางคนเห็นแหวนหยกที่อาหลิวใส่อยากได้มาก ถึงขนาดถอดจากนิ้วของเธอไปลองใส่ก็มี พยายามอ้อนวอนให้เธอขายให้ สุดท้ายทั้งกรุ๊ปหมดเงินไปร่วมหนึ่งแสนบาท
ผมและครอบครัวออกมานั่งคุยกันนอกห้องจิวเวอรี่ห้องนั้น สร้าอยข้อมือที่ขายให้คนไทยราคาถูกแสนถูกเพียงเส้นละร้อยแท้จริงแล้วขายอยู่ตลาดนัดบ้านเราเส้นละ 20 บาท แต่พอมาอยู่ในสภาพแวดล้อมท่ามกลางเครื่องประดับระยิบระดับประกอบกับเรื่องราวที่ร้อยเรียงมาเป็นอย่างดีสามารถเพิ่มมูลค่าของมันได้ 5 เท่าตัวเลยทีเดียว
ผมกลับมาค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตด้วยคีย์เวิร์ดง่ายๆ เช่น ทัวร์จีน ร้านหยก ก็พบกับบรรดาบล็อกเกอร์ที่ออกมาตีแผ่เรื่องราวเช่นเดียวกันนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกุ๊ยหลิน เซี่ยงไฮ้ กวางเจา ฯลฯ ล้วนมีพล๊อตเรื่องคล้ายๆ กันนั่นคือลูกสาวเจ้าของร้านที่มีความหลังผูกพันกับเมืองไทยเป็นพิเศษและพร้อมที่จะตอบแทนบุญคุณแผ่นดินทุกครั้งที่มีกรุ๊ปทัวร์คนไทยไปเหยียบที่นั่น
ผมไม่ถือว่าเรื่องแบบนี้เป็นการหลอกลวง ต้มตุ๋น หรือกลโกงอะไรหรอกครับ เพราะไม่มีใครในครอบครัวผมที่เสียเงินให้กับเรื่องอุปโลกเรื่องนี้ไปแม้แต่บาทเดียว แต่ผมกลับชื่นชอบในเนื้อเรื่องที่ปรุงแต่งขึ้นมาอย่างมีรสชาติ ตัวละครที่มีที่มา เรื่องราวที่โยงเข้ากับคติความเชื่อและจิตวิทยาความคิดที่ค่อยสอดแทรกมาตลอด 1 ชั่วโมงเต็ม และฝีไม้ลายมือด้านการแสดงที่ทุกคนต่างตีบทแตกจนผู้ชมเข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงได้อย่างไม่รู้ตัว
นี่คงเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่โปรแกรมทัวร์จีนทุกแพ็คเกจสมนาคุณให้กับคนไทยอย่างเราๆ ลองคิดอีกมุมหนึ่งก็บันเทิงดีเหมือนกัน
ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเองนะครับ