ปลายเดือน พ.ค. 57 เจ้าลูกชายตัวน้อยก็จะอายุ 3 ขวบเต็มแล้ว
ฝากเนอสเซอรี่ตั้งแต่ 1 ขวบ พัฒนาการดีเป็นที่น่าพอใจ
เมื่อวันก่อนที่เนอสเซอรี่ มีงานแสดงปิดภาคเรียน 2556
ก่อนหน้านี้คุณครูก็โพสต์คลิปที่ซ้อมเต้นกันให้ดูบน FB เจ้าลูกชายเต้นสะบัดช่อ
เพลง ขอใจเธอแลกเบอร์โทร เต้นทำคอด๊อกแด๊ก ๆ มีท่าชี้นิ้วเหมือนยิ่งยง ยอดบัวงามด้วย
อิแม่เห็นแล้วแอบคิดไม่ได้ว่า วันเต้นจริงไม่มีทางได้แบบนี้หรอก ลูกชั้น ชั้นรู้ ขี้อายยังกะไรดี
แล้ววันแสดงก็มาถึง มีเด็ก ๆ ร่วมชะตากรรมทั้งหมด 6 คน (ทั้งเนอสฯมีแค่นี้)
คุณครูตั้งใจมาก จัดเวทีซะสวยงาม แม่ไปถึง 5 โมงเย็น รอข้างนอก ได้ยินเสียงคุณครูปลุกขวัญ เสียงโต้ตอบจากเด็ก ๆ ดังลั่น
ปู่กับย่า ของเจ้าลูกชายก็ไปด้วย อารมณ์อยากเห็นหลานแสดง อยากมาให้กำลังใจหลาน
มาถึงคุณย่าก็เดินเข้าไปในห้อง เอาของฝากไปให้คุณครูที่กำลังเตรียมเด็ก ๆ อยู่
พอเจ้าลูกชายเห็นหน้าย่าเท่านั้นล่ะ ก็ร้องเสียงหลง "มาได้ไงเนี่ย !!!!" แต่ ณ ตรงนั้น ยังไม่เห็นจำนวนพ่อแม่ที่มารอด้านนอก
พอเริ่มเท่านั้นล่ะ คุณครูพาเด็ก ๆ ออกมา เข้าแถว บนเวที เปิดเพลง เตรียมเต้น
เจ้าลูกชาย พอเห็นคนเยอะก็ทำหน้าตาเหมือนปวดขรี้มาก ดูก็รู้ว่าเค้าเกร็ง อาย แบบสุด ๆ ท่าทางเค้าเครียดพอสมควร หน้านิ่วคิ้วขมวดไปหมด
แม่ไม่ผิดคาดเท่าไหร่ เพราะเตรียมใจไว้แล้ว เนื่องจากตอนอยู่บ้าน แค่บอกให้เต้นให้ดู หรือ จะเปิดคลิปที่เต้นที่โรงเรียนดู เค้ายังไม่ยอม
อายแม่... บุคลิกตอนที่อยู่เนอสฯกับที่บ้านราวกับคนละคน อยู่ที่เนอสฯจะเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ คอยสั่งน้องๆ เด็กใหม่ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
แต่อยู่บ้านจะกลายเป็นเด็กพัฒนาการถดถอยทันที อ้อนแม่ ขอนอนตักแม่ดูดขวดนม ขอให้แม่นอนตบตูดให้
กลับมาบนเวทีต่อ ตอนนั้นเราเห็นเค้าหน้าเครียดมาก เราก็เริ่มใจเสีย เริ่มสงสาร เค้ายืนนิ่ง โยกตัวไปมาแก้เขินนิดหน่อย ทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้
ตอนนั้นใจอยากเข้าไปอุ้มลูกลงมามาก ๆ แต่เกรงใจคุณครู ก็เลยปล่อยเลยตามเลย
แต่ใจเราก็จินตนาการไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากเป็นลูกคนแรก ไม่เคยเห็นประสบการณ์ที่เค้าถูกทำให้อับอายต่อหน้าคนมาก ๆ
เราก็เริ่มกังวลว่า เค้าจะเป็นไรรึเปล่าหนอ จะเป็นแผลใจรึเปล่า จะเครียดไปจนแย่รึเปล่า
สรุปเค้าเต้นกันไปทั้งหมด 5 เพลง เกือบ 30 นาที น้องยืนแข็งทื่อพร้อมด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตรงนั้น
พอเต้นเสร็จ (เอ่อ จะเรียกว่าเต้นได้รึเปล่าหนอ กับอาการยืนนิ่ง ๆ โยกไปมานิด ๆ แบบนั้น)
คุณครูก็ให้เด็กทุกคนเอาดอกมะลิประดิษฐ์ไปกราบแม่ น้องเดินเข้ามาแบบสีหน้าเรียบเฉยเกือบร้องไห้ เราก็กอดเค้า เค้าก็ทำหน้าเบะ ๆ
พอเลิกจากตรงนั้น เราพาเค้ากลับบ้าน ระหว่างทางเดินไปขึ้นรถ เค้าก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า "แม่ ทำไมกลับแล้วอ่ะ"
เราหันไปมองเค้า เค้าทำหน้าทะเล้นใส่ พูดต่อ "แม่รีบกลับไปไหนอ่ะ" เราอึ้ง เด็กอะไรเนี้ย เมื่อกี้ยังทำหน้าจะเป็นจะตายอยู่เลย
ปู่ย่า ยิ้มออกมาได้ พาหลานขึ้นรถ แล้วก็คุยเล่นไปตลอดทาง ...
สำหรับคนอื่นที่ยังไม่เคยมีลูกอาจจะเฉย ๆ แต่สำหรับคนที่เป็นแม่ คงเข้าใจความรู้สึกเรา การเห็นลูกตัวน้อยไม่มีความสุข หรือ เครียด
แม่ก็เครียดไปด้วย เนื่องจากสงสารเค้าจับใจ แต่พอเหตุการณ์ผ่านไป เค้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราดีใจ มาถึงตรงนี้แล้วเราก็ได้ข้อคิดบางอย่าง
ตัวเราเองผ่านโลกมาสามสิบกว่าปี หากจะลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีรับมือกับสถานการณ์ วิธีบริหารความเครียดให้เหมือนเด็กตัวน้อยนี้จะดีไหมหนอ
สิ่งที่มันเกิดขึ้น ก่อให้เกิดความเครียด อารมณ์ขุ่นมัว และ สร้างความกดดันให้กับร่างกาย
พอมันผ่านไป เราจะไม่เก็บมาคิด ไม่เก็บให้มันกลับมาทำร้ายเราซ้ำ ๆ ด้วยความคิดของเราเอง จะได้ไหมหนอ
เหมือนเด็กน้อยที่ให้ข้อคิดกับแม่ของเขา เมื่อผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว เขาจบมันเสีย ราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และลืมมันไป
สมองที่พัฒนาเพิ่มขึ้นตามอายุ แต่บางทีถ้าเราเก็บวิธีคิดแบบเด็ก ๆ มาบ้างก็คงจะดี
ถ้าเราทำได้แบบเขา ชีวิตคงมีความสุขมากขึ้น โลกก็จะสวยงามขึ้นแน่ ๆ ^^
## บันทึกช่วยจำ ข้อคิดที่ได้จากการเลี้ยงเด็กอายุ 3 ขวบ
ฝากเนอสเซอรี่ตั้งแต่ 1 ขวบ พัฒนาการดีเป็นที่น่าพอใจ
เมื่อวันก่อนที่เนอสเซอรี่ มีงานแสดงปิดภาคเรียน 2556
ก่อนหน้านี้คุณครูก็โพสต์คลิปที่ซ้อมเต้นกันให้ดูบน FB เจ้าลูกชายเต้นสะบัดช่อ
เพลง ขอใจเธอแลกเบอร์โทร เต้นทำคอด๊อกแด๊ก ๆ มีท่าชี้นิ้วเหมือนยิ่งยง ยอดบัวงามด้วย
อิแม่เห็นแล้วแอบคิดไม่ได้ว่า วันเต้นจริงไม่มีทางได้แบบนี้หรอก ลูกชั้น ชั้นรู้ ขี้อายยังกะไรดี
แล้ววันแสดงก็มาถึง มีเด็ก ๆ ร่วมชะตากรรมทั้งหมด 6 คน (ทั้งเนอสฯมีแค่นี้)
คุณครูตั้งใจมาก จัดเวทีซะสวยงาม แม่ไปถึง 5 โมงเย็น รอข้างนอก ได้ยินเสียงคุณครูปลุกขวัญ เสียงโต้ตอบจากเด็ก ๆ ดังลั่น
ปู่กับย่า ของเจ้าลูกชายก็ไปด้วย อารมณ์อยากเห็นหลานแสดง อยากมาให้กำลังใจหลาน
มาถึงคุณย่าก็เดินเข้าไปในห้อง เอาของฝากไปให้คุณครูที่กำลังเตรียมเด็ก ๆ อยู่
พอเจ้าลูกชายเห็นหน้าย่าเท่านั้นล่ะ ก็ร้องเสียงหลง "มาได้ไงเนี่ย !!!!" แต่ ณ ตรงนั้น ยังไม่เห็นจำนวนพ่อแม่ที่มารอด้านนอก
พอเริ่มเท่านั้นล่ะ คุณครูพาเด็ก ๆ ออกมา เข้าแถว บนเวที เปิดเพลง เตรียมเต้น
เจ้าลูกชาย พอเห็นคนเยอะก็ทำหน้าตาเหมือนปวดขรี้มาก ดูก็รู้ว่าเค้าเกร็ง อาย แบบสุด ๆ ท่าทางเค้าเครียดพอสมควร หน้านิ่วคิ้วขมวดไปหมด
แม่ไม่ผิดคาดเท่าไหร่ เพราะเตรียมใจไว้แล้ว เนื่องจากตอนอยู่บ้าน แค่บอกให้เต้นให้ดู หรือ จะเปิดคลิปที่เต้นที่โรงเรียนดู เค้ายังไม่ยอม
อายแม่... บุคลิกตอนที่อยู่เนอสฯกับที่บ้านราวกับคนละคน อยู่ที่เนอสฯจะเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ คอยสั่งน้องๆ เด็กใหม่ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
แต่อยู่บ้านจะกลายเป็นเด็กพัฒนาการถดถอยทันที อ้อนแม่ ขอนอนตักแม่ดูดขวดนม ขอให้แม่นอนตบตูดให้
กลับมาบนเวทีต่อ ตอนนั้นเราเห็นเค้าหน้าเครียดมาก เราก็เริ่มใจเสีย เริ่มสงสาร เค้ายืนนิ่ง โยกตัวไปมาแก้เขินนิดหน่อย ทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้
ตอนนั้นใจอยากเข้าไปอุ้มลูกลงมามาก ๆ แต่เกรงใจคุณครู ก็เลยปล่อยเลยตามเลย
แต่ใจเราก็จินตนาการไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากเป็นลูกคนแรก ไม่เคยเห็นประสบการณ์ที่เค้าถูกทำให้อับอายต่อหน้าคนมาก ๆ
เราก็เริ่มกังวลว่า เค้าจะเป็นไรรึเปล่าหนอ จะเป็นแผลใจรึเปล่า จะเครียดไปจนแย่รึเปล่า
สรุปเค้าเต้นกันไปทั้งหมด 5 เพลง เกือบ 30 นาที น้องยืนแข็งทื่อพร้อมด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตรงนั้น
พอเต้นเสร็จ (เอ่อ จะเรียกว่าเต้นได้รึเปล่าหนอ กับอาการยืนนิ่ง ๆ โยกไปมานิด ๆ แบบนั้น)
คุณครูก็ให้เด็กทุกคนเอาดอกมะลิประดิษฐ์ไปกราบแม่ น้องเดินเข้ามาแบบสีหน้าเรียบเฉยเกือบร้องไห้ เราก็กอดเค้า เค้าก็ทำหน้าเบะ ๆ
พอเลิกจากตรงนั้น เราพาเค้ากลับบ้าน ระหว่างทางเดินไปขึ้นรถ เค้าก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า "แม่ ทำไมกลับแล้วอ่ะ"
เราหันไปมองเค้า เค้าทำหน้าทะเล้นใส่ พูดต่อ "แม่รีบกลับไปไหนอ่ะ" เราอึ้ง เด็กอะไรเนี้ย เมื่อกี้ยังทำหน้าจะเป็นจะตายอยู่เลย
ปู่ย่า ยิ้มออกมาได้ พาหลานขึ้นรถ แล้วก็คุยเล่นไปตลอดทาง ...
สำหรับคนอื่นที่ยังไม่เคยมีลูกอาจจะเฉย ๆ แต่สำหรับคนที่เป็นแม่ คงเข้าใจความรู้สึกเรา การเห็นลูกตัวน้อยไม่มีความสุข หรือ เครียด
แม่ก็เครียดไปด้วย เนื่องจากสงสารเค้าจับใจ แต่พอเหตุการณ์ผ่านไป เค้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราดีใจ มาถึงตรงนี้แล้วเราก็ได้ข้อคิดบางอย่าง
ตัวเราเองผ่านโลกมาสามสิบกว่าปี หากจะลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีรับมือกับสถานการณ์ วิธีบริหารความเครียดให้เหมือนเด็กตัวน้อยนี้จะดีไหมหนอ
สิ่งที่มันเกิดขึ้น ก่อให้เกิดความเครียด อารมณ์ขุ่นมัว และ สร้างความกดดันให้กับร่างกาย
พอมันผ่านไป เราจะไม่เก็บมาคิด ไม่เก็บให้มันกลับมาทำร้ายเราซ้ำ ๆ ด้วยความคิดของเราเอง จะได้ไหมหนอ
เหมือนเด็กน้อยที่ให้ข้อคิดกับแม่ของเขา เมื่อผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว เขาจบมันเสีย ราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และลืมมันไป
สมองที่พัฒนาเพิ่มขึ้นตามอายุ แต่บางทีถ้าเราเก็บวิธีคิดแบบเด็ก ๆ มาบ้างก็คงจะดี
ถ้าเราทำได้แบบเขา ชีวิตคงมีความสุขมากขึ้น โลกก็จะสวยงามขึ้นแน่ ๆ ^^