เป็นที่ทราบ และไปมาก็หลายประเทศ ออสเตรเลีย อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ ประเทศที่เจริญแล้ว ประชาชนทั่วไป หรือ คนมียศตำแหน่ง เข้าโรงพยาบาล ได้คุณภาพเท่ากันหมด หรือ ภรรยารัฐมนตรีไปซื้อโดนัทซักชิ้น ก็ต้องต่อแถว แม้นแต่ ลูกชายประธานาธิบดี ดื่มสุราเมา ขับรถผิดกฏจราจร ถูกตำรวจจับ ติดคุกเหมือนประชาชนทุกอย่าง นายกฯรัฐมนตรี เวลาไปดูฟุตบอลก็ต้องซื้อตั๋วไปนั่งตามเลขที่ที่ตั๋วกำหนดไว้ ลูกของอดีตนายกฯ อยากเข้า โรงเรียนดัง หรือโรงเรียนนายร้อย ก็ต้องสอบตามขั้นตอน ไม่มีการฝากหรือโค้วต้าผู้มีอุปการคุณ
นี้คือคุณภาพชีวิตของประเทศที่มีประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งประเทศเรากำลังจะไปถึงจุดนั้น โดยประชาชนต้องช่วยกันล้มระบอบอภิสิทธิชน ที่เคยมีอำนาจ แต่ทำตัว เมื่อเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลรัฐ ต้องได้ห้องพิเศษ แซงคิวประชาชนด้วยสิทธิพิเศษ เพราะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนี้ เคยเชิญ ท่านอำมาตฯ ไปเป็นประธานแต่งงานลูกชาย หรือ ลูกของ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง มีตำแหน่งถาวรด้วยระบอบแต่งตั้ง ขับรถฝ่าไฟแดง แต่ตำรวจไม่กล้าจับ เพราะหน้ารถติดตราสังกัดของคุณพ่อ หลานชายอยากเข้าโรงเรียนนายทหาร พ่อโทรศัพท์ถึง ผบ. แต่งชุดเข้าเรียนได้เลย ส่วนลูกตาสี ตาสา ต้องขยันเรียน ใช้ความสามารถสอบเข้า จบออกมา ลูกคน นามสกุลถูกระเบียบ สนิทกับท่านพระยา ได้รับการดูแล จากท่าน ๆ วางตัวตำแหน่งที่สูงสุด รอไว้ได้เลย ลูกตาสีตาสา ไปไกล ๆ ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนแค่ไหน ถ้าไม่มาตบเท้า ทำตัวเป็นเด็กในสังกัดท่าน ถึงประชาชนจะชื่นชอบ แต่สำหรับผู้มีอำนาจแบบเส้นสาย คงพูดว่า “ ผมไม่ได้เกลียดเขา แต่เขาไม่เหมาะ”
และเมื่อใดที่ประเทศมีประชาธิปไตยสมบูรณ์อย่าง ดังนานาอารยประเทศ ซึ่งเป็นที่ยอมไม่ได้แน่ สำรับ อำมาตฯ พระยา เจ้าพระยา ที่ต้องสูญเสียสิทธิพิเศษไป เพราะ นึกถึง ลูกหลาน ที่ตนเองเลี้ยงเป็นเทวดา มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น จะอยู่อย่างไง แล้ว มองดูตัวตน ใครจะมากราบเท้าเรา เพื่อขอตำแหน่ง คงไม่แคล้วที่จะต้องกลายเป็นคนแก่ไร้ประโยชน์ที่ลูกหลานทิ้งด้วยเพราะไม่มีอำนาจ
ฉะนั้นจึงต้องพยายามให้คำว่า ประชานิยม ดูว่าเป็นนโยบายที่ แย่ เลว ไม่ดีในสายตาประชาชน เหลือไว้แต่ นโยบาย อำมาตฯนิยม ที่เคยได้ เคยใช้มาตั้งแต่สมัยรุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย โดย รู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือประชาชน โดยทั่วไป
องคมนตรีคนนึ่ง บอกว่าประเทศที่เกิดปัญหา เพราะนโยบายประชาชนนิยม แต่จะพยายามรักษาระบอบ อำมาต ฯ นิยม หรืออย่างไร
นี้คือคุณภาพชีวิตของประเทศที่มีประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งประเทศเรากำลังจะไปถึงจุดนั้น โดยประชาชนต้องช่วยกันล้มระบอบอภิสิทธิชน ที่เคยมีอำนาจ แต่ทำตัว เมื่อเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลรัฐ ต้องได้ห้องพิเศษ แซงคิวประชาชนด้วยสิทธิพิเศษ เพราะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนี้ เคยเชิญ ท่านอำมาตฯ ไปเป็นประธานแต่งงานลูกชาย หรือ ลูกของ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง มีตำแหน่งถาวรด้วยระบอบแต่งตั้ง ขับรถฝ่าไฟแดง แต่ตำรวจไม่กล้าจับ เพราะหน้ารถติดตราสังกัดของคุณพ่อ หลานชายอยากเข้าโรงเรียนนายทหาร พ่อโทรศัพท์ถึง ผบ. แต่งชุดเข้าเรียนได้เลย ส่วนลูกตาสี ตาสา ต้องขยันเรียน ใช้ความสามารถสอบเข้า จบออกมา ลูกคน นามสกุลถูกระเบียบ สนิทกับท่านพระยา ได้รับการดูแล จากท่าน ๆ วางตัวตำแหน่งที่สูงสุด รอไว้ได้เลย ลูกตาสีตาสา ไปไกล ๆ ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนแค่ไหน ถ้าไม่มาตบเท้า ทำตัวเป็นเด็กในสังกัดท่าน ถึงประชาชนจะชื่นชอบ แต่สำหรับผู้มีอำนาจแบบเส้นสาย คงพูดว่า “ ผมไม่ได้เกลียดเขา แต่เขาไม่เหมาะ”
และเมื่อใดที่ประเทศมีประชาธิปไตยสมบูรณ์อย่าง ดังนานาอารยประเทศ ซึ่งเป็นที่ยอมไม่ได้แน่ สำรับ อำมาตฯ พระยา เจ้าพระยา ที่ต้องสูญเสียสิทธิพิเศษไป เพราะ นึกถึง ลูกหลาน ที่ตนเองเลี้ยงเป็นเทวดา มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น จะอยู่อย่างไง แล้ว มองดูตัวตน ใครจะมากราบเท้าเรา เพื่อขอตำแหน่ง คงไม่แคล้วที่จะต้องกลายเป็นคนแก่ไร้ประโยชน์ที่ลูกหลานทิ้งด้วยเพราะไม่มีอำนาจ
ฉะนั้นจึงต้องพยายามให้คำว่า ประชานิยม ดูว่าเป็นนโยบายที่ แย่ เลว ไม่ดีในสายตาประชาชน เหลือไว้แต่ นโยบาย อำมาตฯนิยม ที่เคยได้ เคยใช้มาตั้งแต่สมัยรุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย โดย รู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือประชาชน โดยทั่วไป