เมฆ ซ่อน ตะวัน บทนำ

กระทู้สนทนา
เมฆ  ซ่อน  ตะวัน
                                                           บทนำ...เมฆบดบัง

          กลางปี ของปี พ.ศ.2474   รถ wolseley   วิ่งฝาความมืดครึ้ม ซึ่งช่วงนี้ กำลังมีฝนฟ้าคะนอง ทำให้ช่วง
เย็น ของ ถนนที่จะเข้า นครสวรรค์ มืดเป็นพิเศษ  ชายหนุ่มอายุ ประมาณ สามสิบเศษ  ใส่ชุดสีขาว กระดุม
ติดถึงคอ เป็นชุดของข้าราชการใส่เพื่อออกงานทั่วไป  เขาหันหน้ามองเด็กชาย ที่นั่งหลับบนเบาะนั่งข้าง  
จากการคำนวณ  อีกประมาณไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง ก็จะถึงที่หมาย เขามองไปด้านหลัง  รถที่ติดตามยังคงขับ
ตามมาไม่ห่าง ชายผู้นั้นยิ้ม แล้วส่ายศีรษะ  ก่อนที่เขามองไปข้างหน้า ที่เห็นคือรถ บรรทุก เครื่องเวชภัณฑ์
ที่ใช้ในวงการทหาร ขวางทางอยู่ ที่สำคัญมันมีสัญลักษณ์รูปพยัคฆ์เหยียบเมฆ ชายผู้นั้น  โบกมือ ทำสัญมือ
เพื่อให้รถด้านหลังที่ตามมา หลบลงข้างถนน   เมื่อรถติดตาม เห็นสัญญาณมือ  จึงปิดไฟหน้า  แล้วชลอความเร็ว
เข้าข้างทางหลบหลังต้นไม้ใหญ่  ชายสองคนที่อยู่ในรถ หยิบอาวุธปืนออกมาในท่าเตรียมพร้อม

รถของเขาไปจอด ข้างรถ บรรทุกที่จอดขวางถนน  ทำให้เด็กชายตื่น  เขามองไปข้างหน้าเอ่ยถามออกมา

"ถึงแล้วหรือครับคุณพ่อ..."

เขาไม่พูดอะไร  ก่อนจะบอกกับบุตรชายมิให้ตามออกไป  แล้วเขาก็เดินลงไป เพื่อเจรจากับกลุ่มนายทหาร
ที่ถืออาวุธครบมือ  ซึ่งดูแล้วมีไม่ต่ำกว่า 7 นาย หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น

"ท่านหาญครับ  ท่านเจ้าพระยา อยากพบท่านในตอนนี้  ได้โปรดไปกับ
พวกเราเถอะครับ รับรองว่า ทุกคนจะปลอดภัย"

"มีอะไรฉันจะไปพบท่านเจ้าพระยาเอง  ตอนนี้คงไม่เหมาะกระมัง นี่อีกสักประเดี๊ยว
ฉันก็ถึงที่พักแล้ว  บอกท่านเจ้าพระยาว่า  กลับจากเชียงใหม่ จะไปเข้าพบท่าน"

"ไม่ได้ขอรับ  ต้องไปเดี๊ยวนี้ อย่าบังคับให้กระผมต้องใช้กำลังกับท่านเลย นะขอรับ"

นายทหารผู้นั้น  ดึงปืนเมาเซอร์ออกจากกระเป๋าข้างเอว   จ่อปืนมาที่ ร่างของชายผู้นั้น เพื่อเป็นการควบคุมตัว
ซึ่งเขายืนนิ่ง มือข้างหนึ่งที่ไพล่หลัง แบมือแล้วโบกลง  เพื่อมิให้ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลัง กระทำการใดๆ  
จากนั้นจึง ตวาดออกมา  ด้วยเสียงอันดัง

"บังอาจนัก เป็นแค่ พลทหาร มากระทำการอุกอาจกับเราที่มียศเป็น พลจัตวา  ที่คุมกองเรือ
แกนี่ช่างไม่รู้จักอะไรคืออะไรจริง ๆ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน ในภายหลัง
ก็ล่าถอยไป  เราจะไม่เอาความ!!!..."

นายทหารทั้ง 7 ยืนกันนิ่ง ในที่สุดก็เอ่ยออกมา  ด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก

"ถึงยังไง พวกเราก็ต้องทำตามคำสั่ง ที่สั่งการลงมาว่า...ถ้าท่านยังคงขัดขืน
ก็ให้พวกกระผม สังหารบุตรชายของท่านหาญเสีย
ท่านหาญครับ  พวกเราก็ไม่อยากกระทำเช่นนี้  แต่เราขัดคำสั่งไม่ได้จริงๆ.."

นายทหารทั้งหกที่คุมเชิงอยู่ ก็เล็งปืนไปที่รถ เหมือนพร้อมที่จะยิง คนที่อยู่ในรถทันทีที่มีคำสั่ง  เขาจึงได้แต่
ถอนลมหายใจ ก่อนเดินไปที่รถ เพื่อพาบุตรชายออกมา  

"งั้นฉันจะไปกับพวกแก  แต่พวกแก จงจำไว้  พวกแกจะไม่มีวันไปถึง  ค่ายทองพยัคฆ์อย่างเด็ดขาด"

นายทหารเหล่านั้นต่างงงงันที่  ชายผู้นี้ทราบได้อย่างไรว่า พวกเขาจะพานายทหารผู้นี้ไปที่ใด  ชายผู้นั้นถูก
พาตัวไปนั่งที่รถ ที่ใช้ในราชการทหารโดยมี พลทหารนั่งประกบด้านละคน  เด็กชายกระซิบถามบิดาด้วย
น้ำเสียงปกติ  เหมือนเด็กชายไม่ตื่นตกใจ ในเหตุการณ์นี้

"คุณพ่อ...เราจะไปไหนกันหรือครับ..."

"ชาญ  ลูกเป็นสุริยแสง ลูกไม่ต้องกลัว...ตอนนี้เปลี่ยนแผนนิดหน่อย  เรากำลังจะไป
กาญจนบุรี  เพื่อพบท่านปู่น่ะ!!...ไม่มีอะไรหรอก!!!..."

เด็กชายรู้ดีว่า  นี่คือคำปลอบขวัญ เพื่อไม่ให้ตัวเขาตื่นตระหนกเกินไป  เด็กชายควบคุมสติได้อย่างดียิ่ง
ถึงจะมีอายุได้เพียง 9  ปี  แต่ความคิดอ่านนั้นเด็กชายมีไม่ด้อยไปกว่า ชายหนุ่มอายุ 20 สิบเศษ เด็กชาย
มีชื่อว่า  ชาญ  สุริยแสง  โดยบิดาของเด็กชายคือ  พลจัตวา หาญ  สุริยแสง  ผู้บังคับการกองพลน้อย
แห่งกองทัพเรือ.. การที่หาญ ตวาดด้วยเสียงอันดัง ก็เพราะ เขาต้องการให้ผู้ติดตามทั้งสองได้ยิน
และติดต่อไปที่  พรรคพวกของเขา  ชายสองคนนี้รีบนำเครื่องสื่อสารด้านท้ายส่งข้อความไปที่
ศูนย์บัญชาการของเขา เพื่อแจ้งข่าวว่า

'ตอนนี้ ฉลามดำ ถูกต้อน เพื่อไปที่ค่ายทองพยัคฆ์  กาญจนบุรี ขอย้ำ...ค่ายทองพยัคฆ์  กาญจนบุรี'

เมื่อส่งข้อความเสร็จ ขณะที่จะติดตาม กระสุนปืนไม่ทราบขนาด พุ่งใส่ทั้งสองโดยไม่ทันตั้งตัว  เสียชีวิตทันที
ชายแต่งตัวคล้ายนายพราน  ออกมาจากรถบรรทุก  เดินเข้ามาตรวจสอบ และยึดอาวุธ  แล้วใช้น้ำมันเผา
ทั้งรถ ทั้งคนจนไหม้ ไม่เหลือซาก   จากนั้นก็ขึ้นรถบรรทุก และเคลื่อนตามรถอีกคันไปทันที...
...............................

          เพื่อนสนิทของหาญ  ได้รับข้อความจากฝ่ายสื่อสาร  จึงรีบมาเข้าห้องลับ   มีชาย 15 คนที่ยืนอยู่  ชาย
ผู้นั้น ร้องให้ลูกน้องเอาแผนที่ออกมากางบนโต๊ะ   แล้วเอ่ยขึ้น

"ตอนเวลา  18.20  เหยี่ยวคู่  รายงานว่า  ท่านจอมพลถูก  ลักพาตัวที่
ถนนก่อนเข้า นครสวรรค์ 20 กิโลเมตร  แล้วทราบแน่ชัดว่า  มันจะพาท่านไป  ค่ายทองพยัคฆ์  
คือค่ายที่ ทองผาภูมิ กาญจนบุรี
ตอนนี้ เวลา 18.40 ผ่านไปแล้ว 20 นาที  จากการคำนวณ
ถ้ามันขับแบบไม่พัก  จะถึงค่ายทองพยัคฆ์ ประมาณ  6 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น
พวกเราจะไปรอต้อนรับพวกมัน ที่ถนนเส้นนี้  ในเวลา  03.30 พวกเราต้องทำให้สำเร็จ
ช่วยท่านจอมพล  ออกมาให้ได้...."

ชายผู้หนึ่งพูดแทรกขึ้น  เป็นน้ำเสียงราบเรียบ แต่เด็ดขาด

"ถ้าไม่สามารถ นำท่านกลับมาได้  ก็ต้องสังหารคนในรถ ให้สิ้น  ท่านจอมพลเคยกล่าวไว้
จะให้ท่านไปถึงค่ายใดๆ ก็ตาม  ในขณะมีชีวิตอยู่  ไม่ได้โดยเด็ดขาด
จงจำไว้  ต้องสำเร็จ  ห้ามล้มเหลว"

แล้วทั้งหมดก็ออกไปขึ้นรถ พุ่งฝ่าความมืดออกไป ในขณะที่ฝนตกหนัก เป้าหมายนั้นคือ บริเวณ ก่อนถึง
ทางเข้าสู่บริเวณค่าย ทองพยัคฆ์  ทั้ง สิบห้าคน มีอาวุธครบมือ ระเบิดสังหารแบบใหม่ล่าสุด ปืนสั้น ปืน
เล็กยาว  ชุดพรางตัวสีดำ   พวกเขาถึงที่หมาย ประมาณ ตีสามตรง  จึงกระจายกำลังออกเป็นรูปโพงพาง
ชายหนุ่มเริ่มนับในใจ  สิบ แปด หก  ห้า  สี่ สาม หนึ่ง แสงไฟ จากรถบรรทุก  และตามด้วยรถยนต์  ชายหนุ่ม
ผู้น้น กระชับปืน แล้วสั่งยิง!!!....  

ลูกกระสุนพุ่งถูกคนขับรถบรรทุก เข้ากลางศีรษะ  สิ้นใจในทันที  รถบรรทุกเสียหลัก ชนเข้ากับต้นไม้ข้างทาง
แล้วกระสุนจากสองฟากฝั่งถูกยิง เข้าผ้าใบ จนเป็นรูพรุนไปทั้งคัน และคนในรถบรรทุก ตายสิ้นไม่เหลือแม้
สักชีวิต  ส่วนรถยนต์ที่มี หาญ นั่งอยู่ เด็กชายสอบถามพ่อของเขาอย่างปกติว่า

"วันนี้ เราคงต้องตายด้วยกัน...ใช่ไหมครับคุณพ่อ..."

"ไม่หรอกชาญ  พ่ออยากให้ลูกกำเหรียญนี้ไว้  ความรักของพ่อและแม่ จะช่วยคุ้มครองลูกเสมอ..."

หาญหยิบเอาเหรียญรูปธนู ง้างคันสร ขึ้นสู่เบื้องบนให้เด็กชาย  กำไว้ในมือ  เด็กชายแม้จะกล้าหาญ  แต่เมื่อ
ทราบว่าตนต้องตายนั้น ก็อดหลั่งน้ำตาออกมามิได้  เพราะความจริงยังมีคนที่เขาอยากพบอีกมากมาย  
แม่ของเขา  น้องสาวของเขา  เพื่อนของเขา  ที่ทำได้ในขณะนี้คือสวดมนต์อ้อนวอน ให้เหตุการณ์มันผ่านไป
โดยเร็ว  พลขับรถยนต์นั้น มีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง  สามารถขับหลบคมกระสุน ที่พุ่งเข้ามา หมายสังหาร
ทหารคุ้มกัน ที่ประจำอยู่ด้านหน้า ยกปืนยิงสู้กับมือปืนอย่างบ้าคลั่ง  แล้วกระสุนจาก ฝ่ายตรงข้ามก็พุ่งเข้าใส่
บนร่างจนตกลงมาจากรถ  แล้วรถ ก็หลุดจากกับดัก  พุ่งไปข้างหน้าเพื่อไปฐานทัพ  เมื่อรถหลุดวงล้อม คำสั่ง
ของชายคนที่สอง ก็ดังขึ้น  

"ยิงให้หมดทุกคน...อย่าให้ใครหนีรอดไปได้!!!!!..."

แล้วปืนเล็กยาวทุกกระบอก ก็แผดใส่ด้านหลังรถ กระสุนพุ่งถูกท้ายทอยของพลขับ ล้มฟุบไปกับพวงมาลัย
หาญผวาเข้ากอดร่างของลูกชายไว้แน่น กระสุนทะลุโดนเข้าร่าง หาญหลายนัด จนเลือดออกจากจมูก
รวมทั้ง  นายทหารที่นั่งประกบทั้งสองสิ้นใจไปก่อนหน้า รถยนต์ พุ่งกระแทกท่อนซุงข้างทางจนรถตะแครงเหิร
ร่างของหาญ ถูกเหวี่ยงตกลงมาบนพื้นพร้อมทหารที่นั่งข้าง ส่วนเด็กชาย ถูกแรงเหวี่ยง จนกระเด็นไปอีก
ทาง  ร่างน้อย ๆ ลอยละลิ่ว ตกลงไปในลำธารน้ำตกอย่างแรง ส่วนรถยนต์ หล่นกระแทกพื้นหินด้านล่างพัง
ยับเยิน  ผู้บังคัญบัญชา ทั้งสองเข้ามาที่ ร่างของหาญ  ที่กำลังสิ้นใจ ด้วยคมกระสุน เอ่ยออกมา  

"ข้า...จะ..ตายที่นี่  ไม่ได้  พวกเอ็ง ....ต้องเอาร่าง...ของข้า  กับชาญ  ไปที่...เชียงใหม่
ทำให้เป็น...อุ..บัติเหตุ...เอ็ง...ต้องเป็น...จอม..พลเงา...แทน...แล้ว  ดูแล...มิชิ..โกะ กับ...."

กล่าวไม่ทันจบ เขาก็สิ้นใจ ทั้งที่ดวงตายังคงค้างอยู  หาญ  สุริยแสง...ตำแหน่งจอมพลเงา ได้เสียชีวิต ในขณะที่เขาคิดว่า  บุตรชาย
ได้ตายไปแล้ว...แต่เด็กชาย  ก็ยังไม่ตาย......และกำลังมีชีวิตใหม่...อีกครั้ง....
.....................................

          ร่างของชาญ ถูกแรงของน้ำพัด จากอีกที่ ไปอีกที่  ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุ เป็น 10 กิโล  เด็กชายเสื้อผ้า
ถูกแรงดันน้ำ จนไม่เหลือเสื้อผ้าติดกาย แต่มือด้านขวายังคงกำเหรียญที่บิดาให้ไว้แน่น  แต่แขนซ้ายจิก
เกาะต้นกล้วยป่า ที่ถูกแรงน้ำหักโค่น เด็กชายใบหน้าพ้นน้ำ ลอยไปจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ชายสูงอายุ กำลัง
วางที่ดักปลา ในลำธาร  แล้วสายตาของชายผู้นั้น ก็เห็นร่างของเด็กชายที่ลอยติด กับต้นกล้วยมา  ชายผู้นั้นรีบนำ
เด็กชายขึ้นมาจากน้ำ  เขาจับชีพจรเด็กชายที่ใต้คาง และที่ข้อมือ  ยังมีชีพจรที่เต้น ไม่เป็นจังหวะ  ที่ศีรษะ
มีรอยแผลค่อนข้างลึก  ชายร่างเล็ก จึงอุ้มเด็กชาย ที่ร่างกายเปลือยเปล่า  เขารีบพากลับที่พักทันที....

เด็กชายสลบไป สองวันเต็มๆ  เมื่อฟื้นขึ้นมา  เขามองเห็นชายอายุประมาณ 40-50 ปี ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม  
กล่าวออกมา ด้วยสำเนียงที่ ไม่ค่อยชัด

"อาตี๋  ลื้อฟื้นเลี่ยว  หิวไหม...อั๊วมีข้าวต้มเกลืออยู่  ลื้อพอเจี่ยะ ได้ใช่ไหม..."

เด็กชายพยักหน้าขึ้นลง แบบเด็กๆ ที่กำลังหิวโซ  ชายชาวจีน เดินไปตักข้าวต้ม มาให้เด็กชาย พร้อมตะเกียบ  
เด็กชายมองตะเกียบ แล้ววางลง ยกข้าวต้มขึ้นทาน อย่างหิวโหย ท่าทางของเด็กชายนั้น เหมือนเด็กสองปี
มากกว่าเด็กชายที่เห็นในขณะนี้ เด็กชาย ทานแล้ว ทานอีก จนอิ่มหน่ำ ใบหน้าบ่งบอกว่า เขามีความสุข ที่ได้ทาน
อาหารจนอิ่ม  ชายชาวจีน เข้ามานั่งใกล้ๆ  เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

"ลื้อชื่ออะไร...อาตี๋...ลื้อลอยน้ำมา  แล้วอั๊วก็ช่วยลื้อขึ้นมา  ในตัวลื้อมีแต่เหรียญ
อันนี้ อันเดียว ...แล้วลื้อจำอะไรล่ายไหม..."

เด็กชาย กลืนน้ำลายอย่างเด็กไม่รู้ความ  เขาหยิบเหรียญขึ้นมาดู แลัวเขาก็ปาลงบนพื้น หัวเราะเสียงดังแล้ว
หงายหลังลงนอนบนเตียงของชายชาวจีน  ซึ่งเดินไปเก็บเหรียญนั้น ขึ้นมาพิจารณา  เมื่อเห็นข้อความ
ถนัดตา  เขาอุทานออกมา  

"ภาษาญี่ปุ่น  แปลว่า นิจนิรันดร์...ลื้อเป็นคนญี่ปุ่นหรือนี่!!..."

เด็กชายยังคงกลิ้งตัวไปมา เหมือนกำลังเล่นสนุก  ชายชาวจีนหรี่ตามองดูภาพของเหรียญนั้น มันเป็นภาพธนู
ง้างคันสรขึ้นสู่ด้านบน แล้วมีภาษาญี่ปุน ล้อมเอาไว้  งานสลักเหรียญ ปรานีตบรรจงอย่างยิ่ง  แล้วไม่ใช่
เหรียญกษาปณ์ธรรมดา เพราะมิใช่การหล่อ แต่เป็นการแกะสลัก  ชายชาวจีนถอนหายใจ  ก่อนจะรำพึง
ออกมา  

"สวรรค์มอบลูกชาย ให้ตาแกหรือนี่  แต่ทำไม ไม่ให้เด็กที่สมประกอบกว่านี้  น่าเสียดายจริงๆ...น่าเสียดายจริงๆ
เอาล่ะ  ต่อไปอั๊วจะตั้งชื่อลื้อว่า  อาฮก  อาฮก ที่แปลว่า ร่ำรวย โชคดี  ลื้อจำได้ใช่ไหม
ส่วนชื่อไทย  ของลื้อ คงต้องชื่อ...ชื่อ.."

สายตาของเขาก็เหลือบมอง เหรียญที่อยู่ในมือ  แล้วหัวเราะออกมา

"ฮาๆๆ..ลื้อจะมีชื่อไทยว่า...ธนู...ลื้อต้องชื่อ  ธนู  แล้วลื้อ ต้องเรียกอั๊วว่า
อาแปะซา...เข้าใจไหม  อาฮก...อั๊วคือ อาแปะซาของลื้อ"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่