อันเนื่องมาจากกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/31885728 ผมเลยไปค้นนิตยสารต่วยตูน'พิเศษ ที่ซื้อมาจากแผงหนังสือมือสอง เก่ามาก เป็นเล่มปีที่7 ฉบับที่ 84 เดือนกุมภาพันธ์ 2525 คอลัมน์ เรื่องประหลาดไทย ชื่อตอนว่า
แขกรับเชิญ โดย วงษ์ รามัญ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หมายเหตุ หนังสือนี้เป็นปี 2525 แต่เรื่องที่ผู้เขียนส่งมา เป็นเรื่องตอนที่เค้ายังเป็นเด็กๆ คำนวนได้ว่า น่าจะเป็นปีประมาณต้นๆ 2500 ดังนั้นจึงมีภาษาโบราณเช่น อาว์ (อา) เป็นต้น
ตระกูลของผมเป็นชาวรามัญ อยู่กันมาหลายชั่วอายุคน ปู่ทวดของพวกเรามีฐานะดี จึงสะสมที่ดินไว้พอสมควร ครั้นสิ้นชีวิตลง ลูกๆผู้รับมรดก ก็ได้แบ่งที่ดินปลูกสร้างที่อยู่อาศัย อยู่ใกล้ๆกัน แลดูคล้ายหมู่บ้านเล็กๆ แต่เป็นญาติพี่น้องกันทั้งสิ้น ลูกหลานก็มากมาย จนเมื่ออยู่พร้อมหน้ากันในวันปีใหม่หรือวันสงกรานต์ ปู่ย่าตายายที่ยังมีชีวิตอยู่ มักจะถามพวกเราเสมอว่า "เอ็งชื่ออะไร?" เพราะจำชื่อไม่ไหวนั่นเอง ถ้าหากจะเรียกใช้กันก็มักจะใช้สรรพนามเรียกพวกผมว่า "ลูกนัง....นั่น" "ลูกอ้าย.....นี่" คือเรียกชื่อพ่อแม่พวกเราแทน
การอบรมสั่งสอนก็ช่วยกันประสาพ่อแม่ ลุงป้าน้าอาว์ แต่สิ่งหนึ่งที่หย่อนยานไม่เคร่งครัดเหมือนสมัยก่อน เนื่องจากสภาพแวดล้อมปัจจุบัน ทำให้พวกเรารุ่นหลัง ไม่ค่อยสนใจเคารพนับถือและขาดการระมัดระวังกัน เหมือนสมัยปู่ย่าตายายในอดีต นั่นคือการให้ความเคารพ
ผีบ้านผีเรือน เหตุที่เกิด ซึ่งทำให้พวกเราเกือบจะต้องสูญเสียน้องคนเล็กไป เกิดจากการอุตริของอาว์เขยของผมเอง ซึ่งได้พาอาว์ผู้หญิงมาเยี่ยมปู่ พร้อมกับพาเพื่อนๆหนุ่มสาว ๕ คนมาเที่ยวด้วย และมาพักที่บ้านของเรา ซึ่งมีห้องหับเหลือเฟือ แต่อยู่ใกล้บ้านปู่ที่สุด ในวันนั้นพอดีพ่อของผมไม่อยู่ ไปธุระที่กรุงเทพฯ พวกเราเลยต้องช่วยแม่ต้อนรับแขกด้วยความเต็มใจ เพราะเห่อแขกชาวกรุงที่มาเยี่ยมอยู่มิใช่น้อย
หลังอาหารเย็น อาว์ทั้งสองและเพื่อนๆนั่งคุยกันที่ระเบียงเรือน สักครู่หนึ่งอาว์เขยเกิดความคิดหาของมาเล่นกัน โดยเอากระดาษมาแผ่นใหญ่ เขียนพยัญชนะและสระไว้เต็ม วางปูไว้บนพื้นเรือน ต่อมาอาว์เขยก็จุดธูป ๑ ดอก สวดมนต์อะไรไม่ทราบอยู่สักครู่ จึงนำธูปไปปักไว้ที่ระเบียงนอกชายคาบ้าน ระหว่างนั้นผมถามเพื่อนของอาว์ ได้ความว่าจะเล่น
ทรงผีถ้วยแก้ว !!!!!
การเล่นเริ่มขึ้น โดยอาว์เขยนำแก้วมาคว่ำลงที่กลางกระดาษแผ่นนั้น ทุกคนที่นั่งล้อมวงอยู่รวมทั้งอาว์ผู้หญิงต่างเอานิ้วแตะไว้ที่ก้นแก้ว
ผมเองขณะนั้นไม่รู้จักวิธีการเล่นจึงได้แต่นั่งดูอยู่ห่างๆ บรรยากาศโดยรอบบ้านเงียบสนิท ฉับพลันนั้น แก้วที่กลางกระดาษก็เริ่มเคลื่อนไหว "คุณวิมลใช่ไหม ? " แก้วซึ่งมีนิ้วของทุกคนแตะอยู่ เคลื่อนที่ผ่านตัวอักษรต่างๆได้อย่างน่าประหลาด "ใช่ ใช่จริงๆ มาแล้ว " เสียงเพื่อนของอาว์คนหนึ่งอุทานขึ้นด้วยความตื่นเต้น "อยู่สุขสบายดีหรือ ? " การถามการตอบดำเนินไปสลับกับเสียงหัวเราะคิกคักเป็นบางคราวกับคำตอบที่ช่วยกันอ่าน
จนดึกสงัด ผมต้องตกใจตื่นเมื่อแม่มาเขย่าตัวให้ผมตื่น พร้อมกับสั่งให้ผมไปหาย่าเพื่อขอยาเขียว "อะไรกันวะไอ้เปีย ดึกดื่นป่านนี้ยังไม่หลับไม่นอน เสียงพวกอาว์ของเอ็งเงียบไปนานแล้วนี่" ย่าพูดยาวตามเคย "คนกรุงเทพฯนี่มันมีเรื่องหัวเราะกันได้ยันดึกเลยนะ เอ็งก็พลอยเห่อไปกับมันด้วยเลยไม่หลับไม่นอน หมอนมุ้งไม่มีสิท่า มาเข้ามา มาเอา ข้านึกแล้ว......." "เปล่าย่า...." ผมรีบตัดบทก่อนที่ย่าจะร่ายยาวต่อไป ผ่าซี ผมรับรองได้ว่าเรื่องบ่นไปทำไป หรือบ่นไปมือล้วงเงินแจกพวกผมไป ผู้แทนที่มาพูดที่ตลาดสู้ไม่ได้เด็ด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แสดงว่า สมัยนั้นมีการซื้อเสียงแจกเงินกันโจ๋งครึ่ม
"แม่ให้มาขอยาเขียวจ๊ะย่า ไอ้เล็กไม่สบายอีก พอดียาของแม่หมด ย่ามีเยอะแม่ให้มาขอหน่อย " ผมพูดรวบรัดรวดเดียวจบข้อความไปเลย "แม่เอ็งเลี้ยงลูกยาก เห็นไม่สบายกันอยู่เรื่อย " ย่าบ่นพร้อมกับเดินกลับเข้าไปในเรือน โดยมีผมเดินตามเข้าไปใกล้ๆ ย่าค้นเชี่ยนหมากหยิบซองยาเขียวยื่นส่งให้ผม แต่แล้วกลับชะงักมือเหมือนนึกอะไรได้ "เออ ข้าจะไปดูไอ้เล็กมันหน่อย แล้วจะเลยไปดูอาว์เอ็งด้วย มันนอนกันยังไงทั้งผู้ชายผู้หญิง " ย่าพูดอะไรต่ออะไรตลอดทางจนถึงบ้านผม ผมตักน้ำในตุ่มตีนบันได ล้างเท้าให้ย่าและส่องไฟให้ย่าขึ้นบันไดไปก่อน จึงจัดการกับตัวเองบ้างแล้วจึงตามขึ้นไปติดๆ "เมื่อเย็นข้ายังเห็นอีหนูมันยังอุ้มเล่นอยู่นี่หว่า" ย่าคงหมายถึงอาว์สาวของผมซึ่งไม่มีลูกและชอบอุ้มหลานเล็กๆเดินเที่ยวเสมอ "เอ้า อีหนู เอ็งไปน้ำซาวข้าวมา " ย่าสั่งแม่พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวไอ้เล็กซึ่งนอนกระสับกระส่ายยกมือไขว่ขว้าทำท่าคล้ายจะชี้อะไรที่เพดาน "เล็ก ไอ้เล็กเอ๊ย เป็นยังไงลูก หิวน้ำมั๊ย ? " ไอ้เล็กน้องผม อายุเกือบสองขวบ กำลังหัดพูดและซนที่สุดในกระบวนน้องๆที่ผมเลี้ยงมา หัวโนหัวปูดไม่เว้นแต่ละวัน จนแม่ต้องเอาเชือกมาผูกขาไว้กับเสาเรือนกลางบ้านในวันที่ผมและน้องๆไปโรงเรียนแต่แม่ต้องทำงานบ้านอยู่คนเดียว " ได้แล้วแม่...." เสียงแม่พูดพร้อมทรุดตัวลงนั่งข้างๆย่า ส่งแก้วน้ำสีขุ่นๆให้ย่า
" อืมม สวย ....." เสียงไอ้เล็กอ้อแอ้ จับความได้เท่านั้น มือก็ไขว่ขว้าชี้นั่นชี้นี่ไปตามเรื่อง และมีเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนขำอะไรก็ไม่รู้ ย่าผสมยาป้อนไอ้เล็กเสร็จไปนานแล้วแต่อาการไอ้เล็กไม่ดีขึ้น กลับมีอาการหอบเพิ่มขึ้นอีกด้วย แม่หน้าไม่ค่อยสบาย ส่วนย่านั่งเคี้ยวหมากหยับๆอยู่ ผมจึงหยิบกระโถนมาวางข้างๆย่า " ไปตามปู่มาสิไอ้เปีย " ย่ากล่าวกับผมเบาๆ "อย่าเลยแม่ พ่อนอนแล้ว...." แม่ท้วงขึ้น " นอนเนินอะไรกัน เพิ่งสวดมนต์จบไอ้เปียก็ไปเรียกข้ามานี่แหละ ยิ่งข้าลงบ้านมา ป่านนี้มินั่งสูบบุหรี่พ่นควันโขมงไล่ยุง......." ย่าบรรยายลักษณะปู่เหมือนมองเห็น
จริงครับ เพราะเมื่อผมไปที่บ้านปู่อีกครั้ง ปู่กำลังนั่งสูบบุหรี่ใบจากและใช้ผ้าขะม้าไล่ยุงอยู่พึ่บพั่บ " ปู่ครับ ย่าให้ไปหาหน่อย " "ใครเป็นอะไรวะ ? " "ไอ้เล็กไม่สบาย เพ้อด้วยปู่..." "อ้าว เมื่อเย็นยังเห็นดีๆอยู่นี่หว่า " ปู่ลุกขึ้นขยับโสร่ง คว้ามีดจักตอกเดินลงเรือนไปบ้านผมทันที " ฉันว่าท่าทางมันไม่ค่อยดี มันเพ้อแปลกๆ " ย่าพูดขึ้นขณะที่ปู่นั่งลงข้างๆ ปู่และย่า ทั้งคู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเรา นั่งมองดูอาการของไอ้เล็กอย่างสงบ ไอ้เล็กน้องผมกลับมีอาการหอบมากขึ้น แต่แปลก ตัวไม่ค่อยร้อนเมื่อผมลองจับตัวดู "ในครัวยังมีข้าวอยู่บ้างไม๊อีหนู " ปู่หันไปถามแม่ เออแปลก มาดูไอ้เล็กไม่สบาย ปู่ทำไมถึงเกิดหิวข้าวขึ้นมาเวลานี้ "มีจ๊ะพ่อ ข้าวก็ยังพอมี " "เออดี เอ็งเอาฝาละมีใส่ข้าวใส่กับมานะ มีอะไรใส่มาให้หมด อย่างละนิดอย่างละหน่อยก็พอ " ปู่จะทำอะไร ? ผมชักแปลกใจ สะกดใจไม่ถามอะไรปู่ แม่หายเข้าครัวไปสักครู่จึงออกมาพร้อมฝาละมี(ฝาหม้อดิน) ซึ่งบรรจุข้าวประมาณหยิบมือหนึ่ง และมีกับข้าวกองเคียงมาในฝาละมีอย่างละนิด มาทรุดตัวนั่งส่งให้ปู่ ซึ่งขณะนั้นได้เอาผ้าขะม้ามาคล้องตัวเหมือนจะไหว้พระ
ปู่รับฝาละมีซึ่งบรรจุอาหารมาถือไว้เสมออก หันหน้าไปหาไอ้เล็กพร้อมทำปากหมุบหมิบ สวดมนต์อยู่สักพักจึงยื่นมือที่ถือฝาละมีไปวนรอบตัวไอ้เล็กสามรอบแล้วจึงก้มตัวเป่าลมจากหัวไอ้เล็กลงไปทางปลายเท้า ทำเหมือนกันอย่างนั้นอยู่สามครั้ง ทันทีที่ทำเสร็จ ปู่คว้ามีดจักตอกลุกพรวดขึ้นทันที เดินดุ่มจะลงบันได ผมคว้าไฟฉายจะลุกตามปู่ ทันทีนั้นมีมือมาคว้าแขนผมไว้ ผมหันไปดู ย่านั่นเอง !!! " เอ็งไม่ต้องตามปู่ไป ไปรอปู่ที่หัวบันไดตรงข้างๆประตูนะ อย่าขวางทางปู่ เมื่อปู่ขึ้นบันไดมาบนบ้านแล้ว รีบปิดประตูบ้านทันที ห้ามพูดห้ามถามอะไรปู่นะ "
" .......??? " ผมรับคำสั่งของย่าโดยไม่มีเสียงผ่านลำคอเพราะรู้สึกตื่นเต้นชอบกล ที่บันได ผมเห็นปู่เดินดุ่มๆกลับมา พอก้าวขึ้นบันไดก็เงื้อมีดตอกฟันฉับลงที่แม่บันได และขณะก้าวขึ้นมาตามขั้นบันไดอย่างรวดเร็ว ก็ฟันแม่บันไดเรื่อยขึ้นมาอีกสองครั้งรวมสามครั้งก็พอดีขึ้นมาสุดบันได ปู่เดินผ่านผมอย่างเฉยเมยเหมือนไม่มีผมอยู่ตรงนั้น ผมรีบปิดประตูทันที ความรู้สึกในขณะนั้น กลอนประตูทำไมมันจึงฝืออย่างนั้น ทั้งๆที่ปิดอยู่ทุกวัน คล้ายกับมีใครมาดันประตูอยู่ข้างนอก !!! เสร็จแล้วผมก็รีบจ้ำอ้าวเข้าไปในเรือน ปรากฎว่ามีสมาชิกเพิ่มขึ้นคืออาว์ผู้หญิงพร้อมกับเพื่อนสาวอีกสองคนนั่งหน้าตื่นอยู่ใกล้ๆแม่ "นอนไม่หลับหรืออีหนู... แปลกที่มันก็เป็นอย่างนี้แหละ บ้านนอกมันเงียบ ไม่เหมือนในกรุง " ปู่พูดเรียบๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น "เพื่อนเค้าลุกมาเข้าห้องน้ำน่ะพ่อ เห็นไฟสว่างเลยแวะมาดู เห็นนั่งกันอยู่พร้อมหน้าเลยตกใจตาสว่างกันหมด "
"ไม่เป็นไรหรอก หายแล้ว ไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้จะได้ไปเดินเล่นกันเช้าๆ " ขณะที่ปู่พูด ผมหันไปมองไอ้เล็ก อะไรกัน เออแปลก ไอ้เล็กนอนหลับสงบ แม่กำลังเอาผ้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ "เปีย ไปเอาที่นอนมาปูให่ปู่กับย่า " แม่สั่งผม ผมหันไปมองปู่กับย่าอย่างงงๆ "ข้าจะนอนกับเอ็งสักคืนไม่ได้หรือไง " เท่านั้นเอง ผมต้องรีบถอยออกจากที่ตรงนั้นทันที เพราะขืนอยู่ต่อไป ย่าคงมีอะไรสรรเสริญให้ผมได้อายแขกชาวกรุงแน่นอน ครับ คืนนั้นบ้านผมคึกคักเป็นพิเศษ
" เอ็งอย่าลืมสิว่าเราเป็นคนมอญ จะทำจะเล่นอะไรปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน การเชิญวิญญาณใครก็ตามเข้ามาในบ้าน เวลาออกเค้าไม่ออกไปจากบ้าน ผีบ้านผีเรือนเรามี เมื่อไปไหนไม่ได้ก็มาเข้าลูกหลานที่ขวัญยังอ่อนอยู่ ป้องกันตัวเองก็ไม่ได้ มีลูกมีหลานต่อไปข้างหน้าสั่งสอนมันอย่าเล่นพิเรนอย่างนี้อีก วิญญาณเค้าอยู่ดีๆอย่าไปรบกวนเค้ามันบาป หากสิ้นพ่อไปแล้วจะลำบากเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก "
คำพูดของปู่ในวันนั้นที่พูดกับอาว์ผู้หญิงผมยังจำได้จนบัดนี้ (2525) ปู่และย่าได้จากพวกเราไปนานแล้ว และขณะนี้ ขณะที่ผมกำลังรอนายศุภชัย หรือไอ้เล็กเมื่อครั้งกระโน้น ผู้ที่กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อไปเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาในวันนี้ครับ หากปู่ยังมีชีวิตอยู่คงดีใจที่ไอ้หลานขี้โรคจะเป็นบัณฑิต ทำไมผมถึงเกิดคิดถึงปู่ขึ้นมาเวลานี้หรือครับ ก็คุณดูที่บันไดตรงแม่บันไดนั่น ยังมีรอยมีดจักตอกของปู่เกือบยี่สิบรอย ซึ่งผมกล้ารับรองได้เลยว่าบ้านญาติผมทุกหลังในบริเวณนี้ ต้องมีรอยมีดจักตอกของปู่ประทับอยู่มิใช่น้อย แต่ที่แน่ๆ
มันไม่มีรอยเพิ่มขึ้นอีกเลย
ผีมอญ
ตระกูลของผมเป็นชาวรามัญ อยู่กันมาหลายชั่วอายุคน ปู่ทวดของพวกเรามีฐานะดี จึงสะสมที่ดินไว้พอสมควร ครั้นสิ้นชีวิตลง ลูกๆผู้รับมรดก ก็ได้แบ่งที่ดินปลูกสร้างที่อยู่อาศัย อยู่ใกล้ๆกัน แลดูคล้ายหมู่บ้านเล็กๆ แต่เป็นญาติพี่น้องกันทั้งสิ้น ลูกหลานก็มากมาย จนเมื่ออยู่พร้อมหน้ากันในวันปีใหม่หรือวันสงกรานต์ ปู่ย่าตายายที่ยังมีชีวิตอยู่ มักจะถามพวกเราเสมอว่า "เอ็งชื่ออะไร?" เพราะจำชื่อไม่ไหวนั่นเอง ถ้าหากจะเรียกใช้กันก็มักจะใช้สรรพนามเรียกพวกผมว่า "ลูกนัง....นั่น" "ลูกอ้าย.....นี่" คือเรียกชื่อพ่อแม่พวกเราแทน
การอบรมสั่งสอนก็ช่วยกันประสาพ่อแม่ ลุงป้าน้าอาว์ แต่สิ่งหนึ่งที่หย่อนยานไม่เคร่งครัดเหมือนสมัยก่อน เนื่องจากสภาพแวดล้อมปัจจุบัน ทำให้พวกเรารุ่นหลัง ไม่ค่อยสนใจเคารพนับถือและขาดการระมัดระวังกัน เหมือนสมัยปู่ย่าตายายในอดีต นั่นคือการให้ความเคารพ ผีบ้านผีเรือน เหตุที่เกิด ซึ่งทำให้พวกเราเกือบจะต้องสูญเสียน้องคนเล็กไป เกิดจากการอุตริของอาว์เขยของผมเอง ซึ่งได้พาอาว์ผู้หญิงมาเยี่ยมปู่ พร้อมกับพาเพื่อนๆหนุ่มสาว ๕ คนมาเที่ยวด้วย และมาพักที่บ้านของเรา ซึ่งมีห้องหับเหลือเฟือ แต่อยู่ใกล้บ้านปู่ที่สุด ในวันนั้นพอดีพ่อของผมไม่อยู่ ไปธุระที่กรุงเทพฯ พวกเราเลยต้องช่วยแม่ต้อนรับแขกด้วยความเต็มใจ เพราะเห่อแขกชาวกรุงที่มาเยี่ยมอยู่มิใช่น้อย
หลังอาหารเย็น อาว์ทั้งสองและเพื่อนๆนั่งคุยกันที่ระเบียงเรือน สักครู่หนึ่งอาว์เขยเกิดความคิดหาของมาเล่นกัน โดยเอากระดาษมาแผ่นใหญ่ เขียนพยัญชนะและสระไว้เต็ม วางปูไว้บนพื้นเรือน ต่อมาอาว์เขยก็จุดธูป ๑ ดอก สวดมนต์อะไรไม่ทราบอยู่สักครู่ จึงนำธูปไปปักไว้ที่ระเบียงนอกชายคาบ้าน ระหว่างนั้นผมถามเพื่อนของอาว์ ได้ความว่าจะเล่น ทรงผีถ้วยแก้ว !!!!!
การเล่นเริ่มขึ้น โดยอาว์เขยนำแก้วมาคว่ำลงที่กลางกระดาษแผ่นนั้น ทุกคนที่นั่งล้อมวงอยู่รวมทั้งอาว์ผู้หญิงต่างเอานิ้วแตะไว้ที่ก้นแก้ว
ผมเองขณะนั้นไม่รู้จักวิธีการเล่นจึงได้แต่นั่งดูอยู่ห่างๆ บรรยากาศโดยรอบบ้านเงียบสนิท ฉับพลันนั้น แก้วที่กลางกระดาษก็เริ่มเคลื่อนไหว "คุณวิมลใช่ไหม ? " แก้วซึ่งมีนิ้วของทุกคนแตะอยู่ เคลื่อนที่ผ่านตัวอักษรต่างๆได้อย่างน่าประหลาด "ใช่ ใช่จริงๆ มาแล้ว " เสียงเพื่อนของอาว์คนหนึ่งอุทานขึ้นด้วยความตื่นเต้น "อยู่สุขสบายดีหรือ ? " การถามการตอบดำเนินไปสลับกับเสียงหัวเราะคิกคักเป็นบางคราวกับคำตอบที่ช่วยกันอ่าน
จนดึกสงัด ผมต้องตกใจตื่นเมื่อแม่มาเขย่าตัวให้ผมตื่น พร้อมกับสั่งให้ผมไปหาย่าเพื่อขอยาเขียว "อะไรกันวะไอ้เปีย ดึกดื่นป่านนี้ยังไม่หลับไม่นอน เสียงพวกอาว์ของเอ็งเงียบไปนานแล้วนี่" ย่าพูดยาวตามเคย "คนกรุงเทพฯนี่มันมีเรื่องหัวเราะกันได้ยันดึกเลยนะ เอ็งก็พลอยเห่อไปกับมันด้วยเลยไม่หลับไม่นอน หมอนมุ้งไม่มีสิท่า มาเข้ามา มาเอา ข้านึกแล้ว......." "เปล่าย่า...." ผมรีบตัดบทก่อนที่ย่าจะร่ายยาวต่อไป ผ่าซี ผมรับรองได้ว่าเรื่องบ่นไปทำไป หรือบ่นไปมือล้วงเงินแจกพวกผมไป ผู้แทนที่มาพูดที่ตลาดสู้ไม่ได้เด็ด [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"แม่ให้มาขอยาเขียวจ๊ะย่า ไอ้เล็กไม่สบายอีก พอดียาของแม่หมด ย่ามีเยอะแม่ให้มาขอหน่อย " ผมพูดรวบรัดรวดเดียวจบข้อความไปเลย "แม่เอ็งเลี้ยงลูกยาก เห็นไม่สบายกันอยู่เรื่อย " ย่าบ่นพร้อมกับเดินกลับเข้าไปในเรือน โดยมีผมเดินตามเข้าไปใกล้ๆ ย่าค้นเชี่ยนหมากหยิบซองยาเขียวยื่นส่งให้ผม แต่แล้วกลับชะงักมือเหมือนนึกอะไรได้ "เออ ข้าจะไปดูไอ้เล็กมันหน่อย แล้วจะเลยไปดูอาว์เอ็งด้วย มันนอนกันยังไงทั้งผู้ชายผู้หญิง " ย่าพูดอะไรต่ออะไรตลอดทางจนถึงบ้านผม ผมตักน้ำในตุ่มตีนบันได ล้างเท้าให้ย่าและส่องไฟให้ย่าขึ้นบันไดไปก่อน จึงจัดการกับตัวเองบ้างแล้วจึงตามขึ้นไปติดๆ "เมื่อเย็นข้ายังเห็นอีหนูมันยังอุ้มเล่นอยู่นี่หว่า" ย่าคงหมายถึงอาว์สาวของผมซึ่งไม่มีลูกและชอบอุ้มหลานเล็กๆเดินเที่ยวเสมอ "เอ้า อีหนู เอ็งไปน้ำซาวข้าวมา " ย่าสั่งแม่พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวไอ้เล็กซึ่งนอนกระสับกระส่ายยกมือไขว่ขว้าทำท่าคล้ายจะชี้อะไรที่เพดาน "เล็ก ไอ้เล็กเอ๊ย เป็นยังไงลูก หิวน้ำมั๊ย ? " ไอ้เล็กน้องผม อายุเกือบสองขวบ กำลังหัดพูดและซนที่สุดในกระบวนน้องๆที่ผมเลี้ยงมา หัวโนหัวปูดไม่เว้นแต่ละวัน จนแม่ต้องเอาเชือกมาผูกขาไว้กับเสาเรือนกลางบ้านในวันที่ผมและน้องๆไปโรงเรียนแต่แม่ต้องทำงานบ้านอยู่คนเดียว " ได้แล้วแม่...." เสียงแม่พูดพร้อมทรุดตัวลงนั่งข้างๆย่า ส่งแก้วน้ำสีขุ่นๆให้ย่า
" อืมม สวย ....." เสียงไอ้เล็กอ้อแอ้ จับความได้เท่านั้น มือก็ไขว่ขว้าชี้นั่นชี้นี่ไปตามเรื่อง และมีเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนขำอะไรก็ไม่รู้ ย่าผสมยาป้อนไอ้เล็กเสร็จไปนานแล้วแต่อาการไอ้เล็กไม่ดีขึ้น กลับมีอาการหอบเพิ่มขึ้นอีกด้วย แม่หน้าไม่ค่อยสบาย ส่วนย่านั่งเคี้ยวหมากหยับๆอยู่ ผมจึงหยิบกระโถนมาวางข้างๆย่า " ไปตามปู่มาสิไอ้เปีย " ย่ากล่าวกับผมเบาๆ "อย่าเลยแม่ พ่อนอนแล้ว...." แม่ท้วงขึ้น " นอนเนินอะไรกัน เพิ่งสวดมนต์จบไอ้เปียก็ไปเรียกข้ามานี่แหละ ยิ่งข้าลงบ้านมา ป่านนี้มินั่งสูบบุหรี่พ่นควันโขมงไล่ยุง......." ย่าบรรยายลักษณะปู่เหมือนมองเห็น
จริงครับ เพราะเมื่อผมไปที่บ้านปู่อีกครั้ง ปู่กำลังนั่งสูบบุหรี่ใบจากและใช้ผ้าขะม้าไล่ยุงอยู่พึ่บพั่บ " ปู่ครับ ย่าให้ไปหาหน่อย " "ใครเป็นอะไรวะ ? " "ไอ้เล็กไม่สบาย เพ้อด้วยปู่..." "อ้าว เมื่อเย็นยังเห็นดีๆอยู่นี่หว่า " ปู่ลุกขึ้นขยับโสร่ง คว้ามีดจักตอกเดินลงเรือนไปบ้านผมทันที " ฉันว่าท่าทางมันไม่ค่อยดี มันเพ้อแปลกๆ " ย่าพูดขึ้นขณะที่ปู่นั่งลงข้างๆ ปู่และย่า ทั้งคู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเรา นั่งมองดูอาการของไอ้เล็กอย่างสงบ ไอ้เล็กน้องผมกลับมีอาการหอบมากขึ้น แต่แปลก ตัวไม่ค่อยร้อนเมื่อผมลองจับตัวดู "ในครัวยังมีข้าวอยู่บ้างไม๊อีหนู " ปู่หันไปถามแม่ เออแปลก มาดูไอ้เล็กไม่สบาย ปู่ทำไมถึงเกิดหิวข้าวขึ้นมาเวลานี้ "มีจ๊ะพ่อ ข้าวก็ยังพอมี " "เออดี เอ็งเอาฝาละมีใส่ข้าวใส่กับมานะ มีอะไรใส่มาให้หมด อย่างละนิดอย่างละหน่อยก็พอ " ปู่จะทำอะไร ? ผมชักแปลกใจ สะกดใจไม่ถามอะไรปู่ แม่หายเข้าครัวไปสักครู่จึงออกมาพร้อมฝาละมี(ฝาหม้อดิน) ซึ่งบรรจุข้าวประมาณหยิบมือหนึ่ง และมีกับข้าวกองเคียงมาในฝาละมีอย่างละนิด มาทรุดตัวนั่งส่งให้ปู่ ซึ่งขณะนั้นได้เอาผ้าขะม้ามาคล้องตัวเหมือนจะไหว้พระ
ปู่รับฝาละมีซึ่งบรรจุอาหารมาถือไว้เสมออก หันหน้าไปหาไอ้เล็กพร้อมทำปากหมุบหมิบ สวดมนต์อยู่สักพักจึงยื่นมือที่ถือฝาละมีไปวนรอบตัวไอ้เล็กสามรอบแล้วจึงก้มตัวเป่าลมจากหัวไอ้เล็กลงไปทางปลายเท้า ทำเหมือนกันอย่างนั้นอยู่สามครั้ง ทันทีที่ทำเสร็จ ปู่คว้ามีดจักตอกลุกพรวดขึ้นทันที เดินดุ่มจะลงบันได ผมคว้าไฟฉายจะลุกตามปู่ ทันทีนั้นมีมือมาคว้าแขนผมไว้ ผมหันไปดู ย่านั่นเอง !!! " เอ็งไม่ต้องตามปู่ไป ไปรอปู่ที่หัวบันไดตรงข้างๆประตูนะ อย่าขวางทางปู่ เมื่อปู่ขึ้นบันไดมาบนบ้านแล้ว รีบปิดประตูบ้านทันที ห้ามพูดห้ามถามอะไรปู่นะ "
" .......??? " ผมรับคำสั่งของย่าโดยไม่มีเสียงผ่านลำคอเพราะรู้สึกตื่นเต้นชอบกล ที่บันได ผมเห็นปู่เดินดุ่มๆกลับมา พอก้าวขึ้นบันไดก็เงื้อมีดตอกฟันฉับลงที่แม่บันได และขณะก้าวขึ้นมาตามขั้นบันไดอย่างรวดเร็ว ก็ฟันแม่บันไดเรื่อยขึ้นมาอีกสองครั้งรวมสามครั้งก็พอดีขึ้นมาสุดบันได ปู่เดินผ่านผมอย่างเฉยเมยเหมือนไม่มีผมอยู่ตรงนั้น ผมรีบปิดประตูทันที ความรู้สึกในขณะนั้น กลอนประตูทำไมมันจึงฝืออย่างนั้น ทั้งๆที่ปิดอยู่ทุกวัน คล้ายกับมีใครมาดันประตูอยู่ข้างนอก !!! เสร็จแล้วผมก็รีบจ้ำอ้าวเข้าไปในเรือน ปรากฎว่ามีสมาชิกเพิ่มขึ้นคืออาว์ผู้หญิงพร้อมกับเพื่อนสาวอีกสองคนนั่งหน้าตื่นอยู่ใกล้ๆแม่ "นอนไม่หลับหรืออีหนู... แปลกที่มันก็เป็นอย่างนี้แหละ บ้านนอกมันเงียบ ไม่เหมือนในกรุง " ปู่พูดเรียบๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น "เพื่อนเค้าลุกมาเข้าห้องน้ำน่ะพ่อ เห็นไฟสว่างเลยแวะมาดู เห็นนั่งกันอยู่พร้อมหน้าเลยตกใจตาสว่างกันหมด "
"ไม่เป็นไรหรอก หายแล้ว ไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้จะได้ไปเดินเล่นกันเช้าๆ " ขณะที่ปู่พูด ผมหันไปมองไอ้เล็ก อะไรกัน เออแปลก ไอ้เล็กนอนหลับสงบ แม่กำลังเอาผ้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ "เปีย ไปเอาที่นอนมาปูให่ปู่กับย่า " แม่สั่งผม ผมหันไปมองปู่กับย่าอย่างงงๆ "ข้าจะนอนกับเอ็งสักคืนไม่ได้หรือไง " เท่านั้นเอง ผมต้องรีบถอยออกจากที่ตรงนั้นทันที เพราะขืนอยู่ต่อไป ย่าคงมีอะไรสรรเสริญให้ผมได้อายแขกชาวกรุงแน่นอน ครับ คืนนั้นบ้านผมคึกคักเป็นพิเศษ " เอ็งอย่าลืมสิว่าเราเป็นคนมอญ จะทำจะเล่นอะไรปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน การเชิญวิญญาณใครก็ตามเข้ามาในบ้าน เวลาออกเค้าไม่ออกไปจากบ้าน ผีบ้านผีเรือนเรามี เมื่อไปไหนไม่ได้ก็มาเข้าลูกหลานที่ขวัญยังอ่อนอยู่ ป้องกันตัวเองก็ไม่ได้ มีลูกมีหลานต่อไปข้างหน้าสั่งสอนมันอย่าเล่นพิเรนอย่างนี้อีก วิญญาณเค้าอยู่ดีๆอย่าไปรบกวนเค้ามันบาป หากสิ้นพ่อไปแล้วจะลำบากเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก "
คำพูดของปู่ในวันนั้นที่พูดกับอาว์ผู้หญิงผมยังจำได้จนบัดนี้ (2525) ปู่และย่าได้จากพวกเราไปนานแล้ว และขณะนี้ ขณะที่ผมกำลังรอนายศุภชัย หรือไอ้เล็กเมื่อครั้งกระโน้น ผู้ที่กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อไปเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาในวันนี้ครับ หากปู่ยังมีชีวิตอยู่คงดีใจที่ไอ้หลานขี้โรคจะเป็นบัณฑิต ทำไมผมถึงเกิดคิดถึงปู่ขึ้นมาเวลานี้หรือครับ ก็คุณดูที่บันไดตรงแม่บันไดนั่น ยังมีรอยมีดจักตอกของปู่เกือบยี่สิบรอย ซึ่งผมกล้ารับรองได้เลยว่าบ้านญาติผมทุกหลังในบริเวณนี้ ต้องมีรอยมีดจักตอกของปู่ประทับอยู่มิใช่น้อย แต่ที่แน่ๆ มันไม่มีรอยเพิ่มขึ้นอีกเลย