อ้ายซินเจว์หลอ อี้ซิน หรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกงที่ 1 (กงหวังชั้นที่ 1) พระราชสมภพเมื่อ 11 มกราคม 1833 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 6 ของจักรพรรดิเต้ากวง และเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาของจักรพรรดิเสียนเฟิง และเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดาของฉุนหวัง (อี้ซวน) อีกด้วย ทรงมีเชื้อสายมองโกลเนื่องจากพระมารดามาจากตระกูลบอร์จิกิด ซึ่งสืบเชื้อสายราชวงศ์หยวน ทรงได้รับการขนานพระนามว่า "มาร 6" ด้วย
ทรงได้รับการเลี้ยงดูโดย จูปิงเทียน และ เจียเจิน และเป็นที่รู้ว่าทรงค่อนข้างขยันและร่างเริง เมื่อจักรพรรดิเต้ากวงทรงเลือกรัชทายาท ทรงเลือกไม่ถูกว่าจะทรงเลือกเจ้าฟ้าชายอี้ชินหรือเจ้าฟ้าชายอี้จู่ (ต่อมาคือจักรพรรดิเสียนเฟิง) แต่ในที่สุดทรงเขียนพินัยกรรมลับประกาศรัชทายาท สามปีต่อมา จักรพรรดิเต้ากวงทรงรับสั่งสร้างสุสานสำหรับพระมารดาของเจ้าฟ้าชายอี้ซิน และรับสั่งให้ฝังหลังพระนางสิ้นพระชนม์ ส่อให้เห็นว่าทรงจะไมเลือกอี้ซินเป็นรัชทายาทแน่นอน (ซึ่งตามธรรมเนียมของราชวงศ์ชิงคือ เมื่อพระจักรพรรดินีทรงสิ้นพระชนม์ก่อนพระราชสวามี จะไม่มีการฝังพระศพจนกว่าพระราชสวามีจะทรงเสด็จสวรรคต จึงจะฝังพร้อมกัน ซึ่งพระจักรพรรดิจะทรงแต่งตั้งพระราชมารดาให้เป็นพระจักรพรรดินีหลังพระราชมารดาทรงสิ้นพระชนม์)
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1850 ก่อนจักรพรรดิเต้ากวงทรงเสด็จสวรรคต ทรงเปิดเผยพินัยกรรมลับพระองค์ที่ทรงพระอักษรในปี 1846 ซึ่งระบุให้เจ้าฟ้าชายอี้จู่ขึ้นเป็นรัชทายาท ส่วนเจ้าฟ้าชายอี้ซินเป็นกงหวังชั้นที่ 1 และสมรสกับบุตรสาวของกุ้ยเหลียง ซึ่งมาจากสกุล กูวาลจียา ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเอ๋าป้าย หลายๆคนมองว่าพระจักรพรรดิเต้ากวงทรงสนับสนุนกงหวัง แต่จริงๆทรงทำไปเพื่อ "ชดเชย" การที่กงหวังเสียตำแหน่งรัชทายาทให้เจ้าฟ้าชายอี้จู่
เมื่อเจ้าฟ้าชายอี้จู่เป็นจักรพรรดิเสียนเฟิง อี้ซินและพระมารดาได้ร่วมกันปลอมพระราชโองการให้พระมารดาขึ้นเป็นจักรพรรดินี แม้องค์ฮ่องเต้จะทรงไม่พอพระทัยกับการกระทำของพระอนุชา แต่ทรงทำอะไรไม่ได้เพราะเกรงจะเกิดความไม่พอใจจากประชาชน ต่อมา 8 วันหลังจากนั้น พระมารดาทรงสิ้นพระชนม์และเฉลิมพระยศเป็นพระจักรพรรดินี กงหวังไม่ได้ทรงมีบทบาทใดๆในทางการเมืองเลยและทรงทำหน้าที่เป็นเสนาบดีกรมทหารในช่วงปี 1853-1855
ปี 1860 ระหว่างสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตผู้มีอำนาจเต็มของพระจักรพรรดิ และรับพระราชโองการให้ประทับในกรุงปักกิ่งเพื่อเจรจากับกองกำลังต่างชาติในนามของรัฐบาลชิง ส่วนพระจักรพรรดิทรงแปรพระราชฐานไปที่พระราชวังเฉิงเต๋อในเมืองเหอหนาน ด้านกงหวังทรงประสบความสำเร็จในการเจรจากับกองกำลังทหารต่างชาติ แต่ทว่าพระจักรพรรดิทรงสวรรคตในปี 1861 ในพระราชวังเฉิงเต๋อ พระราชโอรสของพระองค์ได้เป็นจักรพรรดิถงจื้อต่อจากพระองค์ ก่อนทรงสวรรคต ทรงแต่งตั้งให้ ไจ้หยวน,ต้วนหัว และ ชูฉุน และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ห้าคนสำเร็จราชการให้พระโอรสของพระองค์
เดือนพฤศจิกายน 1861 ทรงวางแผนร่วมกับพระนางซูสีและซูอันในการทำรัฐประหารผู้สำเร็จราชการหรือรัฐประหารซินโหย่ว เพื่อยึดอำนาจ ขณะที่ผู้สำเร็จราชการนำโลงพระศพจักรพรรดิเสียนเฟิงเข้าสู่กรุงปักกิ่งก็ถูกขัดขวางและจับกุม ไจ้หยวนกับต้วนหัวถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย ส่วนชูฉุนถูกประหาร และผู้สำเร็จราชการที่เหลือถูกขับออกจากตำแหน่ง
หลังจากนั้น พระนางทั้งสองทรงเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมกันปกครองแผ่นดิน ส่วนกงหวังทรงได้เป็นสมเด็จเจ้าฟ้าผู้สำเร็จราชการ หรือ อี้เจิ้งหวัง และคุมอำนาจทั้งในราชสำนักและบ้านเมืองทั้งหมดด้วย ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการมาตลอดรัชสมัยจนถึงยุคจักรพรรดิกวางซวี่ ปี 1861 ทรงก่อตั้ง กระทรวง "ซ่งหลี่เหย่อเหมิน" ซึ่งทำหน้าที่เป็นกระทรวงต่างประเทศโดยพฤตินัย ในฐานะที่ทรงเป็นผู้นำอย่างยาวนาน ทรงรับผิดชอบสร้างความเข้มแข็งและเป็นหัวหอกในการปฏิรูปต่างๆ และดำเนินการพัฒนาปฏิรูปประเทศจีนในยุคนั้น นอกจากนี้ทรงยังก่อตั้งตงเหวินกวานเพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาภาษาต่างประเทศและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
ปี 1865 ทรงถูก ไค่ โช่วฉี กล่าวหาว่าพระองค์ "ผูกขาดอำนาจรัฐ,รับสินบน,สะสมพรรคพวก และ แสดงความไม่เคารพต่อองค์จักรพรรดิ จนทำให้พระนางซูสีทรงสงสัยและทรงถอดพระองค์ออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังเป็นผู้มีอำนาจในราชสำนัก ปี 1869 อันเต๋อไห่ หัวหน้าขันทีและพรรคพวกผู้ใกล้ชิดพระนางซูสี ถูกประหารโดย ติง เป่าเจิ้น ระหว่างเดินทางไปซานตง เพราะขันทีไม่สามารถออกจากวังได้โดยไม่ได้รับอนุญาต พระนางซูสีทรงเชื่อว่า ติง เป่าเจิ้น ถูกยุยงโดยกงหวัง ทรงไม่พอพระทัยอย่างมากกับกงหวัง ต่อมา ปี 1873 อี้ซินคัดค้านการก่อสร้างพระราชวังฤดูร้อนแห่งใหม่ ทำให้พระนางทรงพิโรธพระองค์มาก
ปี 1884 เมื่อสงคราม จีน-ฝรั่งเศสประทุขึ้น กงหวังทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหาร ซึ่งไม่เป็นระเบียบและไม่แน่ใจว่าจะสู้หรือสงบ ส่งผลทำให้จีนแพ้สงครามและทรงเสียศักดิ์ศรีมาก หลังจากนั้นเอง ทรงถูกพระนางซูสีขับออกจากตำแหน่งพร้อมกับพรรคพวกของพระองค์และให้ฉุนหวัง (อี้ซวน พระอัยกาของจักรพรรดิผู่อี๋) ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารแทน ส่วนกงหวังทรงถูกรับสั่งให้ประทับอยู่ในบ้านเพื่อพักฟื้นพระอาการประชวร เหตุการณ์นี้รู้จักกันดีในเหตุการณ์ "การเปลี่ยนแปลงเจียเชิ้น" (ซึ่งตรงกับปีเจียเชิ้นพอดี)
หลังจากที่ทรงถูกขับออกจากตำแหน่ง ทรงยังคงประทับอยู่ในวัดเจียไต้แถวตะวันตกของปักกิ่ง ปี 1894 กงหวังในวัยชราภาพ ทรงเข้าทำงานในกรมทหารและกรมต่างประเทศ จนทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ในวันที่ 29 พฤษภาคม 1898 สิริพระชนมายุ 65 พรรษา
พระบรมฉายาลักษณ์ของอี้ซิน
ประวัติกงหวัง ปรปักษ์ของพระนางซูสี
ทรงได้รับการเลี้ยงดูโดย จูปิงเทียน และ เจียเจิน และเป็นที่รู้ว่าทรงค่อนข้างขยันและร่างเริง เมื่อจักรพรรดิเต้ากวงทรงเลือกรัชทายาท ทรงเลือกไม่ถูกว่าจะทรงเลือกเจ้าฟ้าชายอี้ชินหรือเจ้าฟ้าชายอี้จู่ (ต่อมาคือจักรพรรดิเสียนเฟิง) แต่ในที่สุดทรงเขียนพินัยกรรมลับประกาศรัชทายาท สามปีต่อมา จักรพรรดิเต้ากวงทรงรับสั่งสร้างสุสานสำหรับพระมารดาของเจ้าฟ้าชายอี้ซิน และรับสั่งให้ฝังหลังพระนางสิ้นพระชนม์ ส่อให้เห็นว่าทรงจะไมเลือกอี้ซินเป็นรัชทายาทแน่นอน (ซึ่งตามธรรมเนียมของราชวงศ์ชิงคือ เมื่อพระจักรพรรดินีทรงสิ้นพระชนม์ก่อนพระราชสวามี จะไม่มีการฝังพระศพจนกว่าพระราชสวามีจะทรงเสด็จสวรรคต จึงจะฝังพร้อมกัน ซึ่งพระจักรพรรดิจะทรงแต่งตั้งพระราชมารดาให้เป็นพระจักรพรรดินีหลังพระราชมารดาทรงสิ้นพระชนม์)
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1850 ก่อนจักรพรรดิเต้ากวงทรงเสด็จสวรรคต ทรงเปิดเผยพินัยกรรมลับพระองค์ที่ทรงพระอักษรในปี 1846 ซึ่งระบุให้เจ้าฟ้าชายอี้จู่ขึ้นเป็นรัชทายาท ส่วนเจ้าฟ้าชายอี้ซินเป็นกงหวังชั้นที่ 1 และสมรสกับบุตรสาวของกุ้ยเหลียง ซึ่งมาจากสกุล กูวาลจียา ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเอ๋าป้าย หลายๆคนมองว่าพระจักรพรรดิเต้ากวงทรงสนับสนุนกงหวัง แต่จริงๆทรงทำไปเพื่อ "ชดเชย" การที่กงหวังเสียตำแหน่งรัชทายาทให้เจ้าฟ้าชายอี้จู่
เมื่อเจ้าฟ้าชายอี้จู่เป็นจักรพรรดิเสียนเฟิง อี้ซินและพระมารดาได้ร่วมกันปลอมพระราชโองการให้พระมารดาขึ้นเป็นจักรพรรดินี แม้องค์ฮ่องเต้จะทรงไม่พอพระทัยกับการกระทำของพระอนุชา แต่ทรงทำอะไรไม่ได้เพราะเกรงจะเกิดความไม่พอใจจากประชาชน ต่อมา 8 วันหลังจากนั้น พระมารดาทรงสิ้นพระชนม์และเฉลิมพระยศเป็นพระจักรพรรดินี กงหวังไม่ได้ทรงมีบทบาทใดๆในทางการเมืองเลยและทรงทำหน้าที่เป็นเสนาบดีกรมทหารในช่วงปี 1853-1855
ปี 1860 ระหว่างสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตผู้มีอำนาจเต็มของพระจักรพรรดิ และรับพระราชโองการให้ประทับในกรุงปักกิ่งเพื่อเจรจากับกองกำลังต่างชาติในนามของรัฐบาลชิง ส่วนพระจักรพรรดิทรงแปรพระราชฐานไปที่พระราชวังเฉิงเต๋อในเมืองเหอหนาน ด้านกงหวังทรงประสบความสำเร็จในการเจรจากับกองกำลังทหารต่างชาติ แต่ทว่าพระจักรพรรดิทรงสวรรคตในปี 1861 ในพระราชวังเฉิงเต๋อ พระราชโอรสของพระองค์ได้เป็นจักรพรรดิถงจื้อต่อจากพระองค์ ก่อนทรงสวรรคต ทรงแต่งตั้งให้ ไจ้หยวน,ต้วนหัว และ ชูฉุน และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ห้าคนสำเร็จราชการให้พระโอรสของพระองค์
เดือนพฤศจิกายน 1861 ทรงวางแผนร่วมกับพระนางซูสีและซูอันในการทำรัฐประหารผู้สำเร็จราชการหรือรัฐประหารซินโหย่ว เพื่อยึดอำนาจ ขณะที่ผู้สำเร็จราชการนำโลงพระศพจักรพรรดิเสียนเฟิงเข้าสู่กรุงปักกิ่งก็ถูกขัดขวางและจับกุม ไจ้หยวนกับต้วนหัวถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย ส่วนชูฉุนถูกประหาร และผู้สำเร็จราชการที่เหลือถูกขับออกจากตำแหน่ง
หลังจากนั้น พระนางทั้งสองทรงเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมกันปกครองแผ่นดิน ส่วนกงหวังทรงได้เป็นสมเด็จเจ้าฟ้าผู้สำเร็จราชการ หรือ อี้เจิ้งหวัง และคุมอำนาจทั้งในราชสำนักและบ้านเมืองทั้งหมดด้วย ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการมาตลอดรัชสมัยจนถึงยุคจักรพรรดิกวางซวี่ ปี 1861 ทรงก่อตั้ง กระทรวง "ซ่งหลี่เหย่อเหมิน" ซึ่งทำหน้าที่เป็นกระทรวงต่างประเทศโดยพฤตินัย ในฐานะที่ทรงเป็นผู้นำอย่างยาวนาน ทรงรับผิดชอบสร้างความเข้มแข็งและเป็นหัวหอกในการปฏิรูปต่างๆ และดำเนินการพัฒนาปฏิรูปประเทศจีนในยุคนั้น นอกจากนี้ทรงยังก่อตั้งตงเหวินกวานเพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาภาษาต่างประเทศและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
ปี 1865 ทรงถูก ไค่ โช่วฉี กล่าวหาว่าพระองค์ "ผูกขาดอำนาจรัฐ,รับสินบน,สะสมพรรคพวก และ แสดงความไม่เคารพต่อองค์จักรพรรดิ จนทำให้พระนางซูสีทรงสงสัยและทรงถอดพระองค์ออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังเป็นผู้มีอำนาจในราชสำนัก ปี 1869 อันเต๋อไห่ หัวหน้าขันทีและพรรคพวกผู้ใกล้ชิดพระนางซูสี ถูกประหารโดย ติง เป่าเจิ้น ระหว่างเดินทางไปซานตง เพราะขันทีไม่สามารถออกจากวังได้โดยไม่ได้รับอนุญาต พระนางซูสีทรงเชื่อว่า ติง เป่าเจิ้น ถูกยุยงโดยกงหวัง ทรงไม่พอพระทัยอย่างมากกับกงหวัง ต่อมา ปี 1873 อี้ซินคัดค้านการก่อสร้างพระราชวังฤดูร้อนแห่งใหม่ ทำให้พระนางทรงพิโรธพระองค์มาก
ปี 1884 เมื่อสงคราม จีน-ฝรั่งเศสประทุขึ้น กงหวังทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหาร ซึ่งไม่เป็นระเบียบและไม่แน่ใจว่าจะสู้หรือสงบ ส่งผลทำให้จีนแพ้สงครามและทรงเสียศักดิ์ศรีมาก หลังจากนั้นเอง ทรงถูกพระนางซูสีขับออกจากตำแหน่งพร้อมกับพรรคพวกของพระองค์และให้ฉุนหวัง (อี้ซวน พระอัยกาของจักรพรรดิผู่อี๋) ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารแทน ส่วนกงหวังทรงถูกรับสั่งให้ประทับอยู่ในบ้านเพื่อพักฟื้นพระอาการประชวร เหตุการณ์นี้รู้จักกันดีในเหตุการณ์ "การเปลี่ยนแปลงเจียเชิ้น" (ซึ่งตรงกับปีเจียเชิ้นพอดี)
หลังจากที่ทรงถูกขับออกจากตำแหน่ง ทรงยังคงประทับอยู่ในวัดเจียไต้แถวตะวันตกของปักกิ่ง ปี 1894 กงหวังในวัยชราภาพ ทรงเข้าทำงานในกรมทหารและกรมต่างประเทศ จนทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ในวันที่ 29 พฤษภาคม 1898 สิริพระชนมายุ 65 พรรษา
พระบรมฉายาลักษณ์ของอี้ซิน