ฝันหวาน ....(เรื่องสั้นในวันยุ่งๆ)

กระทู้สนทนา
มีคนมากมายปรารถนาจะจมดิ่งอยู่ในโลกแห่งความฝันอันสุขสม พวกเขามีประสบการณ์สวยงามที่น่าจดจำและเรียกมันว่า ‘ฝันหวาน’ บางคนเฝ้ารอเวลาพลบค่ำมาเยือน เพื่อเพลิดเพลินกับเรื่องสนุกสนานในยามที่ปิดเปลือกตาลง

                “วันนี้ไม่ไปแน่นะฝัน” ใครคนหนึ่งเรียกให้ฉันหันไปมอง และเธอก็เป็นอีกคนที่หลงใหลยามหลับมากกว่ายามตื่น เธอเคยเล่าความฝันแสนหวานให้ฉันฟังบ่อยๆ เธอฝันถึงผู้ชายในฝันของเธอ ฝันว่าได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แม้ในโลกแห่งความเป็นจริงเธออาจไม่เคยได้รู้จักผู้ชายในฝันเลยด้วยซ้ำไป

              “ไม่ล่ะ วันนี้รู้สึกเหนื่อยๆ” ฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ จึงปฏิเสธเพื่อนสาวผู้หวังดี แนนคงเห็นว่าฉันหน้าบูดมาตั้งแต่เช้า ครั้นเลิกงานจึงเอ่ยปากชวนให้แวะไปร่วมสนุกกันกับกลุ่มเพื่อนอีกสามสี่คน ถ้าในยามที่ใจปกติ ฉันคงตอบรับความหวังดีของแนน การร้องคาราโอเกะเป็นกิจกรรมแสนโปรดของฉัน แต่คงไม่ใช่วันนี้

                 “อย่าคิดมากน่ะฝัน มันก็แค่ฝันร้าย ไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย” แนนยิ้มปลอบแล้วผละไปกับกลุ่มเพื่อน สีหน้าและแววตาสดใสของแนนยังเปี่ยมไปด้วยความสุข ซึ่งมันต่างกับฉันในเวลานี้เหลือเกิน
    
            ฉันชื่อ ‘ฝันหวาน’ ใครต่อใครก็หวังให้ฝันของตัวเองหวานเหมือนชื่อของฉัน แรกรู้จัก ทุกคนมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทุกค่ำคืนของฉันคงมีแต่ความสุขสม มิเช่นนั้นคงไม่ชื่อฝันหวานเป็นแน่แท้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้วฝันของฉันเป็นเช่นไร

           คราใดที่หลับตาฉันก็เหมือนทุกคนที่อยากจมอยู่ในภวังค์ฝันแสนสุข แต่ฉันไม่เคยได้รู้สึกเช่นนั้น ฝันของฉันกลับตาลปัตรสวนทางกับชื่อหวานๆ ของตัวเองลิบลับ ฉันต้องผวาตื่นขึ้นมาหอบหายใจ บางวันต้องร้องไห้โฮอย่างแสนทรมาน ในทุกครั้งที่ฝัน ฉันฝันร้าย ใช่! ชีวิตของฉันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
    
            ฉันนั่งรถประจำทางมาลงที่สวนสาธารณะเพราะยังไม่อยากกลับบ้าน นึกถึงช่วงเวลาพักผ่อนยามค่ำคืนแล้วหดหู่หัวใจ ฉันไม่อยากกลับไปจมอยู่กับความฝันอันแสนปวดร้าว ไม่อยากทุกข์ ร้องไห้ หรือหวาดผวา กับเรื่องราวในฝัน ที่สะเทือนความรู้สึกของฉันได้อย่างเสมือนจริง
    
          “ขอโทษครับ คุณนั่งทับกระดาษของผม” ฉันนั่งเหม่อบนสนามหญ้า แหงนหน้ามองฟ้าอยู่ราวห้านาทีก่อนเสียงทุ้มๆ ของใครคนหนึ่งจะตรึงหัวใจที่ล่องลอยให้กลับมาอยู่ในที่ของมัน

                 ฉันก้มลงมองกระดาษแผ่นนั้นที่เขาอ้างแล้วอุทานเบาๆ เพราะนั่งทับกระดาษของเขาจริงๆ

            “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทันได้มอง มันเปรอะมากรึเปล่าคะ”

              ฉันรีบลุกขึ้นก้มหน้าก้มตาเก็บกระดาษแผ่นนั้นยื่นคืนให้เขาว่องไว กังวลอยู่ไม่น้อยว่าอาจทำงานศิลปะของเขาเสียหาย แอบเห็นคร่าวๆ มันคือรูปวาดของผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาทีเดียว แล้วหัวใจก็กระตุกวูบราวว่าใครกระชากแล้วลักเอาไปซ่อน ฉันหาเสียงของตัวเองไม่เจอเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับบุรษนิรนาม ความหนาวสะท้านไต่ไล่ขึ้นมาจากข้อเท้า ลามเรื่อยขึ้นมาถึงแผ่นหลัง รับรู้ได้ด้วยสันชาตญาณว่าหน้าฉันคงซีดเป็นไก่ต้ม ผิดกับผู้ชายตรงหน้าที่เบิกตาตื่นตะลึงแล้วคลายยิ้มออกมาอย่างแสนยินดี ส่วนฉันน่ะหรือ แข้งขาหมดแรงจนทรุด ร้อนให้เขาต้องพยุงให้ค่อยๆ นั่งลง

            “เป็นอะไรรึเปล่าครับ เหมือนคุณจะไม่สบาย” ดูเขาจะเป็นห่วงเป็นใยแต่ใจฉันสั่นสะท้านไปด้วยอาการหวาดกลัว มือไม้เฉียบเย็นฉับพลัน ขนลุกขนชันอย่างไม่อาจควบคุม

             ครั้นสติเริ่มมาก็ออกแรงผลักไสมือไม้หวังดีของเชาออกจากตัวแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ฉันตบหน้าตัวเองแรงๆ ให้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป ผู้ชายคนนั้นมีตัวตน เขามีชีวิตอยู่บนโลกของความเป็นจริง

             ฉันกลับมาถึงบ้านด้วยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตา ทิ้งกระเป๋าอย่างไม่แยแสแล้วทรุดนั่งหมดแรงที่โซฟานุ่มหน้าทีวี หัวใจยังไม่หยุดระรัวจังหวะ ขายังสั่นพอๆ กับมือไม้ที่ยังไม่อุ่นขึ้นเลยสักนิด

             “เป็นไปไม่ได้” นั่นสินะ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ตลอดหนึ่งอาทิตย์ฉันทนทรมานกับฝันร้ายหลอกหลอน ฝันถึงคนเดิมๆ เค้าเรื่องเดิมๆ แต่โหดร้ายเหลือเกินสำหรับผู้หญิงอย่างฉัน ไม่เคยฝันร้ายมารธอนอย่างคราวนี้เลย

             ฉันยกมือกุมขมับ ยอมหลับตาเพื่อทบทวนให้แน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นคือคนที่อยู่ในฝันของฉันจริงๆ เหตุการร์ร้ายๆ เริ่มลำดับให้เห็นเป็นฉากเป็นตอน ในโลกของความฝัน ฉันสวมบทเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกพ่อแม่ขายให้กับนายจ้าง หน้าที่ของฉันคือใช้แรงงานแลกข้าวแลกน้ำและเศษเงิน พนักงานระดับล่างมีกันอยู่ไม่กี่คน และฉันก็รู้สึกดีๆ กับผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นพนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเรียนรู้งาน และฉันเองก็มีโอกาสได้ช่วยสอนงานบางส่วน แต่ไม่ใช่แค่ฉันที่สนใจเขา สาวๆ คนอื่นก็ทอดสะพานพร้อมให้เขาก้าวเขามาเช่นกัน

             ฉันได้แต่แอบมอง เวลาเขาพูดคุย หัวเราะ หรือยิ้มให้ และหัวใจเต้นแรงเมื่อเขาเองก็คล้ายจะหยิบยื่นไมตรีราวว่าฉันสำคัญกว่าใคร ยอมรับอย่างน่าไม่อายว่าฉันมีความสุข แต่พริบตาความสุขก็มลายกลืนไปสายลมเมื่อเสียงของผู้ชายคนหนึ่งประกาศก้องขึ้นในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขากำลังเติบโตงดงาม

            “หน้าที่ของเธอคือรับใช้ฉัน หมดเวลาอ้อยอิ่งแล้ว” ไม่ใช่แค่เสียงวางอำนาจที่ชวนให้สะท้านแต่เรี่ยวแรงมหาศาลที่ตรงเข้าฉุดกระชากแขนเล็กของฉันยังพัดพาความเจ็บปวดมาฝากไว้เป็นรอยช้ำ ฉันน้ำตาคลอ มองหน้าผู้ชายที่แอบมีใจคล้ายขอความช่วยเหลือ

            สีหน้าของเขาดูตกใจแต่ก็จนใปัญญาเพราะไม่อาจขัดคำสั่งของผู้เป็นนาย ประกาศิตร้ายกาจเช่นนั้นใครกันจะกล้าเสนอหน้าเข้ามาเจ็บตัว

            “อย่ามาแส่ นี่มันคนของฉัน”

            ฉันเป็นสาวรับใช้ เป็นคนของเขาที่ต้องก้มหน้ารับชะตากรรมโหดร้าย ผู้เป็นนายหันมาตวาดเมื่อฉันร้องไห้แล้วบ่นยืดยาวอย่างไม่พอใจเมื่อฉันขัดขืนดิ้นรน

            ในสภาพนั้นฉันปวดหัวใจพิลึก ชีวิตสิ้นหวังถูกเหยียบย่ำรังแกและไร้ทางสู้ ไม่มีทางใดให้ฉันเลือกเลย ฉันเป็นแค่สาวรับใช้ที่ต้องแลกงานกับเงินและปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านาย ถ้าริอาจปากดีต่อต้านร่างกายฉันต้องถูกทำร้าย

             เพียะ! นั่นล่ะคือบทลงโทษ เขาตบหน้าฉันเป็นการสั่งสอนแล้วสั่งให้ฉันหุบปาก เลิกร้องครวญครางให้รำคาญหูเสียที ฉันไร้ทางสู้ทำได้แค่ร้องไห้เงียบๆ แล้วปล่อยให้ร่างกายปลิวไปตามแรงฉุดกระชากของเขา

             สายตาคู่นั้นที่ตวัดจ้องฉันไม่อาจตีความเข้าข้างตัวเองได้ว่าเขาหึงหวง เขามองเห็นฉันเป็นสิ่งของเพียงหนึ่งชิ้น และทำเช่นนี้ทุกครั้งเมื่อมีผู้ชายอีกคนเข้ามาใกล้ อย่างเช่นครั้งนี้ เขาประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคนว่าฉันเป็นคนของเขา วางท่าห้ามใครแตะต้อง และสิ่งที่เขาทำคือลากฉันเข้ามาในห้อง ปิดประตูแน่นหนาแล้วผลักฉันล้มลงบนที่นอน

             ฉันยังร้องไห้ สมเพชชะตาชีวิตต่อจากนี้ เขาพูดราวว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันต้องทำ เหมือนว่าฉันโชกโชนและพร้อมเสมอเมื่อเขาต้องการ แต่เพราะฝันหวานคนนี้ไม่เคยทำจึงร้องไห้ เกิดมาทั้งชีวิตยังไม่รู้สึกสิ้นเกียรติ สิ้นศักดิ์ศรี และอับจนซึ่งหนทางเท่าครานี้เลย

             “สอนไม่เคยจำ” เขาตวาดเมื่อฉันทำอะไรไม่ถูกใจ คงเพราะฉันเอาแต่นั่งกอดเข่าอยู่บนที่นอนและไม่ไหวติงยินดียินร้ายแม้เขาจะเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วก็ตาม

               ท่าทีของผู้ชายใจร้ายดูหัวเสียมากทีเดียว เขาจ้องตาฉันอย่างหมาดหมายคาดโทษ ไร้เมตตาปราณีอย่างที่เพื่อนมนุษย์พึงมีแก่กัน  ฉันสะอื้นหวาดกลัวเมื่อเขาย่างสามขุมตรงเข้ามาหา ส่ายศีรษะและหน้าเปื้อนน้ำตา แต่ไม่อาจขยับขาหนีเขาไปได้ เขาเปลื้องผ้าเช็ดตัวที่พันเอวจนเปลือยเปล่าแล้วตรึงสองแขนของฉันเอาไว้แน่น

              ฉันกัดปากจนเจ็บ ร้องไห้เงียบๆ แสนทรมาน จ้องตาเขาอย่างวิงวอน จดจำโครงหน้า แววตา กระทั่งรอยยิ้มของเขาได้อย่างขึ้นใจ และจำได้แม่นยำจวบจนฉันลืมตาตื่นขึ้นจากฝันร้าย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่