ตอนที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการเฝ้ามองสิ่งต่างๆ เฝ้ามองธรรมชาติ เฝ้ามองนกที่โบยบินอย่างอิสระ ไม่อยากจะเสแสร้งเลยว่าตัวเองหวังจะได้ไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น ข้างนอกหน้าต่างนั่น
กับการที่ต้องนอนอยู่บนเตียงอย่างนี้ เฝ้านับหยดน้ำเกลือ มองดูรอยช้ำจากการฉีดยาบนแขน อยู่ในห้องที่ปราศจากเชื้อโรค คงมีเพียงตัวฉันที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค ร่างกายที่ซูบผอมเนื่องจากทานยามากกว่าทานอาหารเป็นตัวบ่งชี้ได้ชัดเจนว่ามีอะไรบ้างบนโลกนี้ที่ยังไม่ได้ทำ มีเยอะมากที่ยังไม่ได้ทำ
ฉันนอนเขียนรายการสิ่งที่ยังไม่ได้ทำทุกวัน และดูเหมือนว่าหัวข้อเหล่านั้นจะมีมากขึ้น มากขึ้นทุกวัน ไม่เคยเลยที่จะไปเที่ยวหาความสุขกับธรรมชาติ ยังไม่ได้รู้เลยว่ากลิ่นของธรรมชาตินั้นหอมหวานขนาดไหน ไม่เคยแม้จะสัมผัสกับแสงของพระอาทิตย์ยามโผล่พ้นขอบฟ้า ไม่เคยเลย...
เกือบหลายนาทีที่ต้องอยู่นิ่งๆเพื่อให้เครื่องช่วยหายใจทำงานช่วยร่างกายได้ปกติ จากนั้นก็ลองเขียนสิ่งที่ทำลงไปบ้าง กระดาษหน้านั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยที่ได้ทำลงไป ขณะที่ยาฆ่าเชื้อซึ่งพยาบาลกำลังฉีดให้อยู่แล่นเข้าสู่ร่างกาย ฉันไม่รู้เลยว่าความเจ็บปวดนั้นมาจากฤทธิ์ยาหรือมาจากหัวใจกันแน่ ความรู้สึกเดิมๆก็กลับมาตอกย้ำว่าเกือบครึ่งชีวิต เรียนหนังสือไปทำไม มัวแต่ทำงานไปทำไม ทำไมทุกวันต้องมากังวลกับเงิน แล้วทำไมต้องมากังวลกับความเป็นจริง
ตอนนั้นในวันที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ มีรถยนต์ มีบ้าน มีทุกสิ่งทุกอย่าง ความฝันบ้าๆบอๆที่เคยคิดได้ตายไปจากใจ มันดูไร้สาระในโลกของความเป็นจริง ฉันโยนฝันนั้นทิ้งไว้ลึกที่สุดของหัวใจ
ตอนนี้ในวันที่ทุกอย่างดูเลวร้าย ความฝันบ้าๆบอๆนั้นดูมีค่ายิ่งนัก และน่าโหยหาที่สุด กลับกันในโลกความเป็นจริง ฉันโง่อยู่นานที่มองสิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และตอนนี้ฉันต้องมานั่งค้นหาฝันที่ทิ้งไว้ลึกที่สุดของหัวใจ
ยามว่างจากการร้องครวญครางกับการเจ็บปวดของร่างกาย ฉันจะเขียนบันทึกใส่สมุดให้มากที่สุดเท่าที่ร่างกายจะทนไหว แต่ว่าความคิดของคนป่วยคงไม่โลดแล่นเท่าไหร่นัก จะทำอย่างไรได้นอกจากพยายาม
ครบรอบสี่เดือนแล้วบนเตียงที่มีผ้าปูที่นอนสีขาว ฝนที่ตกพร่ำๆข้างนอกนั้นเรียกร้องให้ความเศร้าที่มีอยู่มากพอแล้ว เพิ่มเท่าทวีคูณ ครอบครัวและญาติพี่น้องแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้งพร้อมกับสีหน้าเศร้าสลด ฉันได้แต่ภาวนาให้เห็นพวกเขาในเสื้อผ้าสีอื่นบ้าง ฉันไม่อยากเห็นพวกเขาในชุดเสื้อผ้าสีเขียวปลอดเชื้อนี่อีกแล้ว
อาการที่หนักขึ้นเรื่อยๆ พอกันกับสภาพอากาศแสนอึมครึม ไม่ต้องนับรวมกับความรู้สึกของหลายคนในครอบครัวตอนนี้ มีหลายวันในสัปดาห์นี้ที่ฉันไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หมอบอกว่าอาการหมดสตินี้จะมีมากขึ้นเรื่อยๆจนร่างกายทนไม่ไหว แล้วคงไม่ต้องย้ำว่าจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
สายยางในลักษณะต่างๆเพิ่มมากขึ้นทั่วร่างกายฉัน เครื่องต่างๆก็มากขึ้นเช่นกัน จากการตรวจดูอาการทุกๆสองวัน กลายเป็นหนึ่งวัน สิบสองชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงจนเหลือครึ่งชั่วโมง ที่แย่กว่านั้นตอนนี้ลมหายใจไม่ใช่ของฉันอีกแล้วที่ยังคงอยู่เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายแต่เป็นออกซิเจนจากเครื่อง น้ำตาอุ่นๆที่เอ่อล้นเยื่อตาที่แห้งผากทั้งแสบทั้งคันนั้นไหลเป็นทาง มันควบคุมไม่ได้ น้ำตานั้นไหลมาจากจุดไหน ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันไหลมาจากหัวใจนะ หัวใจที่ตื้นตันในความโง่เง่าของตัวเอง ตอนที่ฉันใกล้จะตายนี้ ทำไมถึงไม่เคยเลยที่นึกอยากมีเงินเยอะๆ มีทุกอย่างเพียบพร้อม แต่ตอนที่ใกล้ตายนี้ทำไมฉันนึกถึงเพียงอากาศที่สดชื่นของหมู่มวลแมกไม้ ต้องการเพียงสายลมสัมผัสผิวกายที่แสนอบอุ่น อยากเฝ้ามองเพียงดวงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้า มีคนที่เรารักนั่งเคียงข้าง ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นใจ ถ้าฉันมีแรงพอขยับแขนตัวเองได้ ฉันคงตีอกชกตัวให้กับความโง่เง่าที่เคยดูถูกความฝันตัวเอง
การตัดสินใจเกิดขึ้นรวดเร็วมาก แม้แต่สมองยังสั่งงานไม่ทันหัวใจ เสียงเครื่องวัดต่างๆ เสียงเครื่องวัดชีพจรดังเตือนขึ้นเสียงดัง เมื่อฉันพยายามสะบัดดึงสายที่รั้งตัวไว้กับเตียงออกด้วยแรงครั้งสุดท้าย ฉันตะเกียกตะกายไปที่หน้าต่าง กระชากบานหน้าต่างออก
ในสติสุดท้าย มีใครสักคนรั้งชายเสื้อฉันไว้
ในสติสุดท้าย ฉันมองออกไปยังธรรมชาติข้างนอก สูดดมสายลมแห่งความฝัน ผิวที่สัมผัสกับแสงอาทิตย์ที่อบอุ่น
ในสติสุดท้าย เสียงเพลงที่ฉันชอบมากดังกังวานอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ปะปนกับเสียงร้องไห้และเสียงตะโกนเรียก ชื่อฉัน
ไม่ต้องร้องไห้หรือเป็นห่วงฉันหรอกนะ ดีใจกับฉันเถอะที่อย่างน้อยวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ ฉันได้รู้ว่าความฝันนั้นคือสิ่งที่ฉันต้องการมาทั้งชีวิต ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง
เขียนโดย: แลคต้ากับรถตัดหญ้าที่น่ากลัว
ฉากที่ 1 เขียนโดย แลคต้ากับรถตัดหญ้าที่น่ากลัว
กับการที่ต้องนอนอยู่บนเตียงอย่างนี้ เฝ้านับหยดน้ำเกลือ มองดูรอยช้ำจากการฉีดยาบนแขน อยู่ในห้องที่ปราศจากเชื้อโรค คงมีเพียงตัวฉันที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค ร่างกายที่ซูบผอมเนื่องจากทานยามากกว่าทานอาหารเป็นตัวบ่งชี้ได้ชัดเจนว่ามีอะไรบ้างบนโลกนี้ที่ยังไม่ได้ทำ มีเยอะมากที่ยังไม่ได้ทำ
ฉันนอนเขียนรายการสิ่งที่ยังไม่ได้ทำทุกวัน และดูเหมือนว่าหัวข้อเหล่านั้นจะมีมากขึ้น มากขึ้นทุกวัน ไม่เคยเลยที่จะไปเที่ยวหาความสุขกับธรรมชาติ ยังไม่ได้รู้เลยว่ากลิ่นของธรรมชาตินั้นหอมหวานขนาดไหน ไม่เคยแม้จะสัมผัสกับแสงของพระอาทิตย์ยามโผล่พ้นขอบฟ้า ไม่เคยเลย...
เกือบหลายนาทีที่ต้องอยู่นิ่งๆเพื่อให้เครื่องช่วยหายใจทำงานช่วยร่างกายได้ปกติ จากนั้นก็ลองเขียนสิ่งที่ทำลงไปบ้าง กระดาษหน้านั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยที่ได้ทำลงไป ขณะที่ยาฆ่าเชื้อซึ่งพยาบาลกำลังฉีดให้อยู่แล่นเข้าสู่ร่างกาย ฉันไม่รู้เลยว่าความเจ็บปวดนั้นมาจากฤทธิ์ยาหรือมาจากหัวใจกันแน่ ความรู้สึกเดิมๆก็กลับมาตอกย้ำว่าเกือบครึ่งชีวิต เรียนหนังสือไปทำไม มัวแต่ทำงานไปทำไม ทำไมทุกวันต้องมากังวลกับเงิน แล้วทำไมต้องมากังวลกับความเป็นจริง
ตอนนั้นในวันที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ มีรถยนต์ มีบ้าน มีทุกสิ่งทุกอย่าง ความฝันบ้าๆบอๆที่เคยคิดได้ตายไปจากใจ มันดูไร้สาระในโลกของความเป็นจริง ฉันโยนฝันนั้นทิ้งไว้ลึกที่สุดของหัวใจ
ตอนนี้ในวันที่ทุกอย่างดูเลวร้าย ความฝันบ้าๆบอๆนั้นดูมีค่ายิ่งนัก และน่าโหยหาที่สุด กลับกันในโลกความเป็นจริง ฉันโง่อยู่นานที่มองสิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และตอนนี้ฉันต้องมานั่งค้นหาฝันที่ทิ้งไว้ลึกที่สุดของหัวใจ
ยามว่างจากการร้องครวญครางกับการเจ็บปวดของร่างกาย ฉันจะเขียนบันทึกใส่สมุดให้มากที่สุดเท่าที่ร่างกายจะทนไหว แต่ว่าความคิดของคนป่วยคงไม่โลดแล่นเท่าไหร่นัก จะทำอย่างไรได้นอกจากพยายาม
ครบรอบสี่เดือนแล้วบนเตียงที่มีผ้าปูที่นอนสีขาว ฝนที่ตกพร่ำๆข้างนอกนั้นเรียกร้องให้ความเศร้าที่มีอยู่มากพอแล้ว เพิ่มเท่าทวีคูณ ครอบครัวและญาติพี่น้องแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้งพร้อมกับสีหน้าเศร้าสลด ฉันได้แต่ภาวนาให้เห็นพวกเขาในเสื้อผ้าสีอื่นบ้าง ฉันไม่อยากเห็นพวกเขาในชุดเสื้อผ้าสีเขียวปลอดเชื้อนี่อีกแล้ว
อาการที่หนักขึ้นเรื่อยๆ พอกันกับสภาพอากาศแสนอึมครึม ไม่ต้องนับรวมกับความรู้สึกของหลายคนในครอบครัวตอนนี้ มีหลายวันในสัปดาห์นี้ที่ฉันไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หมอบอกว่าอาการหมดสตินี้จะมีมากขึ้นเรื่อยๆจนร่างกายทนไม่ไหว แล้วคงไม่ต้องย้ำว่าจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
สายยางในลักษณะต่างๆเพิ่มมากขึ้นทั่วร่างกายฉัน เครื่องต่างๆก็มากขึ้นเช่นกัน จากการตรวจดูอาการทุกๆสองวัน กลายเป็นหนึ่งวัน สิบสองชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงจนเหลือครึ่งชั่วโมง ที่แย่กว่านั้นตอนนี้ลมหายใจไม่ใช่ของฉันอีกแล้วที่ยังคงอยู่เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายแต่เป็นออกซิเจนจากเครื่อง น้ำตาอุ่นๆที่เอ่อล้นเยื่อตาที่แห้งผากทั้งแสบทั้งคันนั้นไหลเป็นทาง มันควบคุมไม่ได้ น้ำตานั้นไหลมาจากจุดไหน ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันไหลมาจากหัวใจนะ หัวใจที่ตื้นตันในความโง่เง่าของตัวเอง ตอนที่ฉันใกล้จะตายนี้ ทำไมถึงไม่เคยเลยที่นึกอยากมีเงินเยอะๆ มีทุกอย่างเพียบพร้อม แต่ตอนที่ใกล้ตายนี้ทำไมฉันนึกถึงเพียงอากาศที่สดชื่นของหมู่มวลแมกไม้ ต้องการเพียงสายลมสัมผัสผิวกายที่แสนอบอุ่น อยากเฝ้ามองเพียงดวงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้า มีคนที่เรารักนั่งเคียงข้าง ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นใจ ถ้าฉันมีแรงพอขยับแขนตัวเองได้ ฉันคงตีอกชกตัวให้กับความโง่เง่าที่เคยดูถูกความฝันตัวเอง
การตัดสินใจเกิดขึ้นรวดเร็วมาก แม้แต่สมองยังสั่งงานไม่ทันหัวใจ เสียงเครื่องวัดต่างๆ เสียงเครื่องวัดชีพจรดังเตือนขึ้นเสียงดัง เมื่อฉันพยายามสะบัดดึงสายที่รั้งตัวไว้กับเตียงออกด้วยแรงครั้งสุดท้าย ฉันตะเกียกตะกายไปที่หน้าต่าง กระชากบานหน้าต่างออก
ในสติสุดท้าย มีใครสักคนรั้งชายเสื้อฉันไว้
ในสติสุดท้าย ฉันมองออกไปยังธรรมชาติข้างนอก สูดดมสายลมแห่งความฝัน ผิวที่สัมผัสกับแสงอาทิตย์ที่อบอุ่น
ในสติสุดท้าย เสียงเพลงที่ฉันชอบมากดังกังวานอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ปะปนกับเสียงร้องไห้และเสียงตะโกนเรียก ชื่อฉัน
ไม่ต้องร้องไห้หรือเป็นห่วงฉันหรอกนะ ดีใจกับฉันเถอะที่อย่างน้อยวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ ฉันได้รู้ว่าความฝันนั้นคือสิ่งที่ฉันต้องการมาทั้งชีวิต ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง
เขียนโดย: แลคต้ากับรถตัดหญ้าที่น่ากลัว