คือนักการเมืองกัดกัน นี่เรื่องธรรมดาครับ ในความเห็นของผม
หมายถึงว่า พวกมันกัดกันมานานมากแล้ว
และมันก็ออกจะเป็นธรรมชาติ เป็นวิถีของการเมือง
ประเทศไหนๆของโลก นักการเมืองมันก็กัดกันเป็นธรรมดา
แต่ในประเทศที่เจริญแล้ว นักการเมืองกัดกัน
ประชาชนเขาก็ไม่กัดกันนะครับ
อันนี้น่าคิด
ทำไมสังคมที่เจริญแล้ว เขาอยู่ท่ามกลางความแตกต่างนี้ได้อย่างสันติ
แล้วทำไม ประชาชนคนไทยอย่างเราๆท่านๆ ต้องมานั่งกัดกันด้วย
กะอีแค่ ความต่าง
ซึ่งแสนจะเป็นปรากฏการณ์ที่ธรรมดามากๆของสังคมประชาธิปไตย
ทำไมหนอ
เราต้องทะเลาะกัน ขนาดนี้
ผมให้นำหนักไว้ 2 เรื่อง
เรื่องแรก คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน ที่อาจจะ "เข้มข้น" หรือ "อิน" กันเอาเป็นเอาตายไปหน่อย
ซึ่งอาจจะต้องมาขบคิด ตกผลึกกันให้ได้ในภายภาคหน้า
ว่าทำไม เราต้อง "อิน" กับมันขนาดนี้ ในขณะที่ วันๆเราก็ยุ่งตาย5ไปกับการทำมา หากิน
มันเหมือนกับการที่เรา "ตื่น" จากการหลับไหล
ลงจากเตียงมา ยังงงงงอยู่ แล้วเราก็กระโดดลงมา "อิน" กับการเมือง ในสภาวะที่ยัง ง่วงอยู่
ประมาณนี้อ่ะครับ
และเรากลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง แบบจงใจ เต็มใจกันไปเลย
ทั้งยังมีความจงรักภักดี กับนักการเมือง
พร้อมที่จะไปปกป้องมันทุกอย่าง และฆ่าฟัน เพื่อนร่วมชาติที่เห็นต่าง และไม่ชื่นชมนักการเมืองคนเดียวกับเรา
แรงไปป่าวอ่ะครับ...
ผมอยู่มา 50 ขวบแล้ว ประเทศไทยไม่เคยเป็นอย่างนี้นะครับ
และบอกตรงๆ ผมเสียใจ ผมเสียดายที่คนไทยด้วยดันต้องมาเป็นกันอย่างนี้
กับเรื่องที่สอง คือ ภาคการเมืองมันมีแผนก "สร้างความเกลียดชัง" เอาไว้ดึงมวลชน
คือ สมัยก่อน การเมืองมันไม่สาดโคลนกันเท่าวันนี้
ดังนั้น ประชาชน ผู้ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่อย่างเรา
จึงถูกบังคับให้กลายเป็นผู้ชม นั่งริงไซด์ ในมหกรรมการสาดโคลนประจำปี
เราจึงกลายเป็นผู้บริโภค "ความรุนแรง" ไปโดยไม่รู้สึกตัว
ด้วยการฟังคำพูด คำด่า แรงๆ ของไอ้พวกแกนนำทั้งหลาย
ที่สร้างความเกลียดชัง ภายในสังคมคนไทยด้วยดัน
คนไทยจึงกลายเป็น "Monster" ที่พวกมันสร้าง และเป็นทาสรับใช้ของมัน
สั่งให้ทำโน่น ทำนี่ เดินขบวนไปยึดโน่น ยึดนี่ ราดน้ำมันเผาโน่น เผานี่
ดีๆทั้งนั้น...
ในบรรดาความเสียหายของชาติตลอด 10 ปีที่ผ่านมานี้
ผมว่า ไม่มีอะไรที่ "แพง" และสูงค่าไปกว่า สามัคคีของคนในชาติ
นี่ความเห็นส่วนตัวนะครับ
มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มันได้แต่รู้สึก
และเวลาที่มันพังทลายลงไป จะไปเอางบประมาณ หรือกู้เงินมาสร้างขนาดไหน
ก็ไม่ได้ !
ความปรองดอง สมานฉันท์ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง
หากคนไทยด้วยกัน ไม่ต้องการสมานฉันท์ ด้วยใจจริง แต่ต้องการชนะ มากกว่า
ความปรองดอง สมานฉันท์ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง
หากคนไทย ไม่สำนึกว่า คนไทยด้วยกันได้ร่วมมือกันทำให้ ความสามัคคี มันล่มสลาย แตกหัก
และ ไม่สนใจ สำนึกที่จะมองเห็นคุณค่า ของความสามัคคี
งานนี้ ยาวครับ ผมว่า
ผมเป็นห่วง ผมหวัง แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้
ผมว่าเผลอๆท่านก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย
มันเป็นวิวัฒนาการของประชาธิปไตย ที่เดินทางมาถึงขวบปีที่ 80 (หลังจาก 2475)
ประเทศอื่น เขาผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านวิบัติ มามากกว่าเรา จนเขาได้ประชาธิปไตยที่มั่นคง
เราคงต้องใช้เวลา และอุตสาหะกว่านั้น หลายเท่า
เราจึงเป็นได้มากสุดแค่ประจักษ์พยานของปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ภายในรอบชีวิตของเรา
ฉะนั้น ผมไม่แคร์เลยครับ
พรรคไหน จะป็นอะไร เป็นอย่างไร
กำนันท่ง กำนันเทพ เสื้อดง เสื้อแดง แมลงสาบ อะไร
ไม่ลุ้น ไม่แช่ง ไม่อะไรทั้งนั้น
ผมดูการเมืองเหมือนบอลห่วยๆคู่นึง ที่ไม่มีทีมที่เราเชียร์เล่นอยู่ในสนาม เท่านั้นเอง
แต่ผมเสียดาย ที่กองเชียร์ชาติเดียวกัน อาจจะต้องจับอาวุธมาประหัต ประหารกัน เท่านั้นจริงๆ
และหากคนไทยจะต้องแบ่งแยกเป็นฝัก เป็นฝ่ายจริงๆนะครับ
ผมอยากเห็นคนไทยแบ่งเป็นภาคประชาชน กับภาคการเมืองครับ
ประชาชนร่วมกันให้แน่นๆ ปึ๊ก ไม่เป็นเครื่องมือพรรคไหน
แล้วตั้งอก ตั้งใจ เช็คบิล ภาคการเมือง ให้เข้มข้น
เอาให้พวกแม่มกระดิกไม่ออกไปเลย
ให้พวกมันเป็น ข้า พวกเราจริงๆซะที
ไม่ใช่เรา ที่ต้องไปเป็น ข้า พวกมันครับ
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบครับผม
ขอให้มีความสุขทุกท่านครับ
ผมว่าการเมืองภาคประชาชนบ้านเรานี่ ขัดแย้ง หนักยิ่งกว่าพวกนักการเมืองซะอีก
หมายถึงว่า พวกมันกัดกันมานานมากแล้ว
และมันก็ออกจะเป็นธรรมชาติ เป็นวิถีของการเมือง
ประเทศไหนๆของโลก นักการเมืองมันก็กัดกันเป็นธรรมดา
แต่ในประเทศที่เจริญแล้ว นักการเมืองกัดกัน
ประชาชนเขาก็ไม่กัดกันนะครับ
อันนี้น่าคิด
ทำไมสังคมที่เจริญแล้ว เขาอยู่ท่ามกลางความแตกต่างนี้ได้อย่างสันติ
แล้วทำไม ประชาชนคนไทยอย่างเราๆท่านๆ ต้องมานั่งกัดกันด้วย
กะอีแค่ ความต่าง
ซึ่งแสนจะเป็นปรากฏการณ์ที่ธรรมดามากๆของสังคมประชาธิปไตย
ทำไมหนอ
เราต้องทะเลาะกัน ขนาดนี้
ผมให้นำหนักไว้ 2 เรื่อง
เรื่องแรก คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน ที่อาจจะ "เข้มข้น" หรือ "อิน" กันเอาเป็นเอาตายไปหน่อย
ซึ่งอาจจะต้องมาขบคิด ตกผลึกกันให้ได้ในภายภาคหน้า
ว่าทำไม เราต้อง "อิน" กับมันขนาดนี้ ในขณะที่ วันๆเราก็ยุ่งตาย5ไปกับการทำมา หากิน
มันเหมือนกับการที่เรา "ตื่น" จากการหลับไหล
ลงจากเตียงมา ยังงงงงอยู่ แล้วเราก็กระโดดลงมา "อิน" กับการเมือง ในสภาวะที่ยัง ง่วงอยู่
ประมาณนี้อ่ะครับ
และเรากลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง แบบจงใจ เต็มใจกันไปเลย
ทั้งยังมีความจงรักภักดี กับนักการเมือง
พร้อมที่จะไปปกป้องมันทุกอย่าง และฆ่าฟัน เพื่อนร่วมชาติที่เห็นต่าง และไม่ชื่นชมนักการเมืองคนเดียวกับเรา
แรงไปป่าวอ่ะครับ...
ผมอยู่มา 50 ขวบแล้ว ประเทศไทยไม่เคยเป็นอย่างนี้นะครับ
และบอกตรงๆ ผมเสียใจ ผมเสียดายที่คนไทยด้วยดันต้องมาเป็นกันอย่างนี้
กับเรื่องที่สอง คือ ภาคการเมืองมันมีแผนก "สร้างความเกลียดชัง" เอาไว้ดึงมวลชน
คือ สมัยก่อน การเมืองมันไม่สาดโคลนกันเท่าวันนี้
ดังนั้น ประชาชน ผู้ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่อย่างเรา
จึงถูกบังคับให้กลายเป็นผู้ชม นั่งริงไซด์ ในมหกรรมการสาดโคลนประจำปี
เราจึงกลายเป็นผู้บริโภค "ความรุนแรง" ไปโดยไม่รู้สึกตัว
ด้วยการฟังคำพูด คำด่า แรงๆ ของไอ้พวกแกนนำทั้งหลาย
ที่สร้างความเกลียดชัง ภายในสังคมคนไทยด้วยดัน
คนไทยจึงกลายเป็น "Monster" ที่พวกมันสร้าง และเป็นทาสรับใช้ของมัน
สั่งให้ทำโน่น ทำนี่ เดินขบวนไปยึดโน่น ยึดนี่ ราดน้ำมันเผาโน่น เผานี่
ดีๆทั้งนั้น...
ในบรรดาความเสียหายของชาติตลอด 10 ปีที่ผ่านมานี้
ผมว่า ไม่มีอะไรที่ "แพง" และสูงค่าไปกว่า สามัคคีของคนในชาติ
นี่ความเห็นส่วนตัวนะครับ
มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มันได้แต่รู้สึก
และเวลาที่มันพังทลายลงไป จะไปเอางบประมาณ หรือกู้เงินมาสร้างขนาดไหน
ก็ไม่ได้ !
ความปรองดอง สมานฉันท์ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง
หากคนไทยด้วยกัน ไม่ต้องการสมานฉันท์ ด้วยใจจริง แต่ต้องการชนะ มากกว่า
ความปรองดอง สมานฉันท์ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง
หากคนไทย ไม่สำนึกว่า คนไทยด้วยกันได้ร่วมมือกันทำให้ ความสามัคคี มันล่มสลาย แตกหัก
และ ไม่สนใจ สำนึกที่จะมองเห็นคุณค่า ของความสามัคคี
งานนี้ ยาวครับ ผมว่า
ผมเป็นห่วง ผมหวัง แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้
ผมว่าเผลอๆท่านก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย
มันเป็นวิวัฒนาการของประชาธิปไตย ที่เดินทางมาถึงขวบปีที่ 80 (หลังจาก 2475)
ประเทศอื่น เขาผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านวิบัติ มามากกว่าเรา จนเขาได้ประชาธิปไตยที่มั่นคง
เราคงต้องใช้เวลา และอุตสาหะกว่านั้น หลายเท่า
เราจึงเป็นได้มากสุดแค่ประจักษ์พยานของปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ภายในรอบชีวิตของเรา
ฉะนั้น ผมไม่แคร์เลยครับ
พรรคไหน จะป็นอะไร เป็นอย่างไร
กำนันท่ง กำนันเทพ เสื้อดง เสื้อแดง แมลงสาบ อะไร
ไม่ลุ้น ไม่แช่ง ไม่อะไรทั้งนั้น
ผมดูการเมืองเหมือนบอลห่วยๆคู่นึง ที่ไม่มีทีมที่เราเชียร์เล่นอยู่ในสนาม เท่านั้นเอง
แต่ผมเสียดาย ที่กองเชียร์ชาติเดียวกัน อาจจะต้องจับอาวุธมาประหัต ประหารกัน เท่านั้นจริงๆ
และหากคนไทยจะต้องแบ่งแยกเป็นฝัก เป็นฝ่ายจริงๆนะครับ
ผมอยากเห็นคนไทยแบ่งเป็นภาคประชาชน กับภาคการเมืองครับ
ประชาชนร่วมกันให้แน่นๆ ปึ๊ก ไม่เป็นเครื่องมือพรรคไหน
แล้วตั้งอก ตั้งใจ เช็คบิล ภาคการเมือง ให้เข้มข้น
เอาให้พวกแม่มกระดิกไม่ออกไปเลย
ให้พวกมันเป็น ข้า พวกเราจริงๆซะที
ไม่ใช่เรา ที่ต้องไปเป็น ข้า พวกมันครับ
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบครับผม
ขอให้มีความสุขทุกท่านครับ